การตั้งนโม 3 จบ

 
nontacha
วันที่  12 ส.ค. 2568
หมายเลข  50660
อ่าน  137

ขอสอบถามอาจารย์ ดังนี้ ครับ
1. ที่มาของการตั้งนโม 3 จบมีที่มาอย่างไร มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลเลยไหมคับ และท่านใดเป็นผู้กล่าวเป็นท่านแรกครับ
2. ก่อนเริ่มกิจกรรมต่างๆ ในพุทธศาสนา เพราะเหตุใดจึงต้อง “ตั้งนโม 3 จบ” ก่อนเสมอครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 13 ส.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. ที่มาของการตั้งนโม 3 จบมีที่มาอย่างไร มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลเลยไหมคับ และท่านใดเป็นผู้กล่าวเป็นท่านแรกครับ

จากประเด็นคำถามข้อที่ ๑ บทนะโม ๓ จบ พร้อมทั้งคำแปลมีดังนี้

นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
(ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พระองค์นั้น)

นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
(ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พระองค์นั้น)

นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
(ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พระองค์นั้น)

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่นานมาก พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง เป็นผู้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคล ที่ไม่มีใครเสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมากเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด

พระคุณของพระพุทธเจ้า แม้ในบทที่กล่าวนอบน้อม (นโม) นั้น มีความละเอียดลึกซึ้งมากเริ่มจาก คำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า (ภวคโต) หมายถึง ผู้ทรงหักราคะ โทสะ โมหะ และบาปธรรมทั้งหลาย ได้แล้ว, เป็นผู้ถึงที่สุดแห่งภพ, เป็นผู้คลายการไปในภพทั้งหลาย, ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ต่อไป คำว่า ผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส (อรหโต) หมายถึง เป็นผู้ดับกิเลสได้หมดสิ้น, ทำลายข้าศึกคือกิเลสเสียได้, ทำลายซี่กำแห่งสังสารจักรได้, เป็นผู้ควรได้รับทักษิณาทาน มีปัจจัย ๔ เป็นต้น และเป็นผู้ไม่มีที่ลับในการทำบาป และ คำว่า ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (สัมมาสัมพุทธัสสะ) ทรงตรัสรู้สภาพธรรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ ด้วยพระบารมีที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมา และ เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงยังผู้อื่นให้ตรัสรู้ตามด้วย

ความเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสมอกันหมดทุกๆ พระองค์ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง ก็มีการกล่าวคำนอบน้อม ถวายความเคารพบูชาในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน และทรงอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง จึงสรุปได้ว่า "พระพุทธเจ้า พระองค์ใด ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ทรงห่างไกลจากกิเลส ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายความนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น" พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงประกอบด้วยพระคุณอย่างนี้เหมือนกันทั้งหมด

จะเข้าใจถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่ด้วยการกล่าวคำถวายความนอบน้อม แต่ต้องด้วยการฟังคำของพระองค์ คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง

***จากประเด็นคำถามข้อที่ ๑ นั้น เท่าที่ค้นคว้าในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ไม่ได้มีข้อความระบุไว้ว่า ใครเป็นผู้กล่าว นะโม ๓ จบ เป็นคนแรก แต่มีข้อความแสดงไว้มากมายถึงผู้กล่าว นะโม ๓ จบ เช่น ท้าวสักกเทวราช เป็นต้น


2. ก่อนเริ่มกิจกรรมต่างๆ ในพุทธศาสนา เพราะเหตุใดจึงต้อง “ตั้งนโม 3 จบ” ก่อนเสมอครับ

จากคำถามข้อที่ ๒ พิจารณาได้ดังนี้

เวลาได้อ่านพระไตรปิฎกและอรรถกถา จะพบข้อความที่กล่าวถึงจำนวน ที่กล่าวถึง "๓ ครั้ง" อยู่หลายแห่งหลายที่ และไม่ใช่เพียงการกล่าวคำที่แสดงถึงนอบน้อมสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แสดงถึงความหนักแน่นมั่นคงนั่นเอง ในเหตุผลประการต่างๆ อย่างเช่น ในบางพระสูตร เมื่อมีผู้คนมาถามพระองค์ พระองค์ก็จะตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว คือ เมื่อเขาทูลถามพระองค์แม้ถึง ๓ ครั้ง พระองค์ก็ตรัสห้ามและไม่ตอบทั้ง ๓ ครั้ง แสดงถึงความหนักแน่นแม้ของผู้ถามเองที่มีกำลังที่จะต้องการถาม ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงปฏิเสธถึง ๓ ครั้ง ก็ทรงแสดงถึงความหนักแน่นและมีกำลังที่จะไม่ตรัสตอบและเป็นการทรงห้ามการถามนั้น และในบางตัวอย่าง เช่น พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทูลขอบรรพชาเป็นพระภิกษุณีก็ทูลขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๓ ครั้ง พระองค์ก็ตรัสห้ามทั้ง ๓ ครั้งเช่นกัน นั่นแสดงถึงกำลังความหนักแน่นของพระนางมหาปชาบดีโคตมีที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าจึงได้กราบทูลขอบรรพชาทั้ง ๓ ครั้ง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวเลย และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นว่า การบรรพชาเป็นสิ่งที่ยากและพระนางมหาปชาบดีโคตมีจะได้เห็นคุณค่า และประพฤติตามครุธรรม จึงตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง ไม่ใช่ครั้งเดียว ทั้งหมดนั้นแสดงถึงความมีกำลังหนักแน่นในเรื่องนั้นๆ นั่นเอง

ดังนั้น แม้การกล่าวคำที่แสดงถึงนอบน้อมสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่ถึง ๓ ครั้ง ก็แสดงให้เห็นถึงกำลังความหนักแน่นของผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืมว่าต้องมีความเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะนอบน้อมและระลึกถึงพระคุณของพระองค์ได้อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงสักแต่ว่ากล่าวไปเท่านั้น ครับ

... ยินดีในกุศลของคุณ nontacha และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ส.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nontacha
วันที่ 14 ส.ค. 2568

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ จากนี้ในการกล่าว นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจตามที่อาจารย์ได้อธิบายครับ ลึกซึ้ง และละเอียดมากครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ