ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๘

 
khampan.a
วันที่  3 ส.ค. 2568
หมายเลข  50570
อ่าน  2,802

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๘





~ คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้โลกซึ่งมืดด้วยความไม่รู้ ได้เข้าใจความจริงทั้งหมดทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์สำหรับศึกษาสำหรับฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะลึกซึ้ง ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน

~ ตกอยู่ในความมืดมานาน ไม่รู้อะไรเลยทุกชาติไปในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะได้มีโอกาสฟังพระธรรมซึ่งแต่ละคำก็เป็นแสงสว่างที่ส่องให้เห็นความจริงของสิ่งที่กำลังมีทุกขณะ

~ ประโยชน์ของการมีชีวิต คือ เพื่ออบรมเจริญปัญญา จากที่ไม่เคยเข้าใจความจริง จากที่เต็มไปด้วยความมืดคืออวิชชา ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้น เมื่อมีปัญญาเจริญขึ้น ก็จะทำให้เป็นผู้มีชีวิตที่ดำเนินไปด้วยปัญญาตามที่ตนมี เปลี่ยนจากที่เคยอยู่ด้วยอกุศลประการต่างๆ มากมาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นผู้อยู่ด้วยกุศลที่เพิ่มขึ้น

~ เมื่อมีเรา ก็สารพัดอย่างที่จะห่วง ที่จะกลัว ที่จะอยากได้ แต่ว่าเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม แม้แต่ความอยากได้เกิดขึ้นก็เป็นธรรมแล้วก็หมดไป ให้ทราบว่าทุกอย่างหมดไม่เหลือ ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองสิ่งที่กำลังปรากฏเกิดเเล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกไม่เหลือเลย ถ้าเข้าใจในความไม่เหลือแล้วก็จะรู้ว่าไปติดข้องในสิ่งที่ไม่มีมานานแสนนาน จนกว่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ลองคิดดูว่าไม่มีแล้วยังติดข้อง เพราะหลงเข้าใจว่ายังมี

~ ถ้าเป็นผู้มีอโลภะ (ความไม่ติดข้อง) แรง ผู้นั้นมักจะให้ได้ง่ายๆ ให้ได้บ่อยๆ เป็นผู้ที่มีจิตเมตตา สละวัตถุเพื่อเกื้อกูลบุคคลอื่นได้โดยไม่ยาก ถ้าเป็นผู้ที่มีอโทสะ (ความไม่โกรธ) แรง ก็เป็นผู้ที่ไม่โกรธ ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นหรือมีสิ่งซึ่งไม่น่าพอใจสักเพียงใด บุคคลนั้นก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องหวั่นไหวไปด้วยความโกรธ ตรงกันข้ามกับคนที่มีโทสะแรง ซึ่งโกรธได้บ่อยๆ โกรธได้ง่ายๆ และโกรธเสมอ สำหรับอโมหะ (ความไม่หลง) เป็นเรื่องของปัญญา ถ้าผู้ใดสามารถเข้าใจธรรมได้โดยรวดเร็ว โดยกว้างขวาง โดยลึกซึ้ง ก็หมายความว่า ขณะที่ประกอบกุศลนั้น เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างดี

~ ต้องอดทนที่จะฟังจนกว่าจะเข้าใจและเป็นผู้ตรงที่มั่นคงต่อความจริงด้วย ในเมื่อมีโอกาสจะได้ยินได้ฟังความจริง จะฟังไหมหรือจะไม่ฟัง? ฟังแล้วเป็นประโยชน์หรือเสียประโยชน์? การได้เข้าใจความจริงไม่เสียประโยชน์ เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ได้ ไม่ว่าในยามคับขันอย่างไร วิกฤตอย่างไรซึ่งแต่ละคนอาจเป็นห่วง ก่อนจะตายจะทำอย่างไรดี เดี๋ยวนี้จะตายก็ได้แล้วจะทำอย่างไรตอนนี้ นอกจากฟังแล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

~ ชีวิตประจำวันก็พิสูจน์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของใคร ขณะไหนทุกข์ยากลำบากทั้งหลายความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหมด มาจากอะไร ถ้าผลไม่ดีต้องมาจากเหตุที่ไม่ดี แต่ว่าเราเผินคือไม่รู้ว่าเวลาที่เหตุไม่ดีให้ผล ให้ผลเมื่อไหร่และอย่างไร แต่ถ้าเห็นตามความเป็นจริงก็สามารถที่จะทำให้เราเข้าใจในความเป็นธรรม ในความเป็นอนัตตา ในความเป็นธาตุซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครนอกจากธรรม

~ ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์นี้ก็เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่จะสามารถบำเพ็ญความดีหรือทำความดีได้ทุกโอกาส แล้วก็ไม่ควรประมาทแม้ความดีเพียงเล็กน้อยด้วย เพราะขณะใดก็ตามที่กุศลจิตไม่เกิดขณะนั้นเป็นอกุศล แล้วก็ไม่ใช่ขณะเดียว แต่เพิ่มขึ้นๆ แต่ละขณะมากมายมหาศาล และก็อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรืออยากจะมีสิ่งที่เป็นโลกธรรมฝ่ายดีโดยที่อกุศลยังเต็มอยู่ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าอกุศลกรรมได้กระทำแล้วก็เป็นปัจจัยที่จะให้ทุกอย่างที่รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ

~ เกิดมาเพราะกุศลกรรมทำให้เป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นมนุษย์ที่ทำความดี เป็นคนดี ทำความดีและเข้าใจธรรม มิฉะนั้น ก็เป็นแต่เพียงเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเป็นอย่างไร ถ้าไม่เป็นคนดี ขณะนั้นก็เป็นอกุศล และอกุศลทำอะไร อกุศลก็ทำสิ่งที่เป็นความไม่ดี เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางที่จะสามารถดับกิเลสได้

~ เวลาที่ไม่โกรธ เป็นกุศลหรือเปล่า? ไม่แน่ เพราะถ้าโทสะไม่เกิด โลภะอาจจะเกิดได้ และวันหนึ่งๆ ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่โทสมูลจิต (จิตที่มีโทสะเป็นมูล) ที่เกิด แต่เป็นโลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) นั่นเอง ที่เกิดจนชิน จนไม่รู้สึกตัว เพราะฉะนั้น ถ้าโทสะไม่เกิด ไม่มีโทสะ ก็อย่าเพิ่งคิดว่าดีแล้ว เพราะต้องพิจารณาต่อไปด้วยความเป็นผู้ตรงจริงๆ ว่า เมื่อโทสะซึ่งเป็นอกุศลชนิดหนึ่งไม่เกิด อกุศลอื่น เช่น โลภะ เกิดหรือเปล่า ถ้าขณะนั้นเป็นโลภะ ก็ขาดศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ และตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก เพราะขณะนั้นอกุศลจิตเกิด

*** ~ บุคคลใดก็ตามที่มีความเมตตาแก่คนทั้งปวง ไม่ว่าจะพบเห็นบุคคลใดทั้งคนดีและคนชั่ว ขณะนั้นจึงจะเป็นเหมือนกับน้ำที่เอิบอาบ ทำความเย็นแแก่ทุกคนที่ผ่านไปในชีวิตซึ่งขณะนั้นก็จะทำให้จิตคลายจากอกุศล คือ โทสะ เพราะว่าถ้าขณะใดที่เมตตาไม่เกิด ขณะนั้นก็อาจจะขุ่นเคืองในบุคคลอื่นได้***

~ ถ้าท่านจะพิจารณาชีวิตในวันหนึ่งๆ และเทียบเคียงกำเนิดของมนุษย์ กำเนิดของสัตว์ดิรัจฉาน จะเห็นได้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ในเรื่องที่สามารถจะเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้นได้ ถ้าเป็นการเกิดเป็นดิรัจฉานซึ่งท่านก็มองเห็นอยู่ว่าเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่สามารถที่จะเจริญยิ่งขึ้นในพระธรรมวินัย แม้ว่าจะไม่ต้องทรมานอย่างสาหัสเหมือนอย่างในนรก

~ ธรรมที่ท่านได้ฟังจากพระวินัยปิฎกก็ดี พระสุตตันตปิฎกก็ดี พระอภิธรรมปิฎกก็ดี จะเห็นได้ถึงพระมหากรุณาคุณอย่างยิ่งของพระผู้มีพระภาคที่ทรงเกื้อกูลพุทธบริษัททุกโอกาส แม้แต่ธรรมปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นโอวาทที่ทรงพร่ำสอนเพื่อที่จะให้พุทธบริษัทเจริญกุศล เป็นผู้ที่ไม่ประมาททั้งสิ้น

~ สำหรับทางวาจา กิเลสก็มีกำลังที่จะทำให้กระทำวจีทุจริตได้ มุสาวาท พูดสิ่งที่ไม่จริง กุศลจิตจะทำอย่างนี้ไหม ไม่เลย มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดสิ่งที่ไม่จริง แต่เพราะอกุศลจิตมีกำลัง จึงทำให้พูดในสิ่งที่ไม่จริง ใครรู้ว่ากำลังพูดสิ่งที่ไม่จริง คนที่กำลังพูดทราบใช่ไหมว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่จริง ในขณะนั้นเป็นอกุศลจิต สติไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อหลงลืมสติขณะใด ก็กระทำทุจริตกรรมได้

~ เมื่อจากไปแล้วจะไปสู่กำเนิดอะไร? แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นมารดา จะเป็นบิดา จะเป็นผู้เป็นที่รัก แต่ก็จากไปแล้วจากความเป็นบุคคลนี้ ไปสู่ความเป็นบุคคลอื่น มีกำเนิดอื่น มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นต่อไป ทำไมจึงจะคร่ำครวญเศร้าโศกถึงผู้ที่ตาย เพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาธรรมจริงๆ พระธรรมที่ได้พิจารณาแล้วจะดับความเศร้าโศกของบุคคลทั้งหลายได้ และจะน้อมประพฤติปฏิบัติตามหนทางที่จะทำให้พ้นจากความเศร้าโศกพ้นจากความทุกข์ได้จริงๆ

*** ~ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ความเจ็บไข้ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นความเป็นธรรมดาอย่างนี้ ก็จะคลายความกลัวตาย เป็นบุคคลที่ไม่กลัวตายจริงๆ เพราะว่าได้อบรมเจริญกุศลธรรมมาพอสมควรที่จะไม่หวั่นไหวในความตาย และรู้ความจริงของสภาพนามธรรมและรูปธรรมว่าตายแล้วต้องเกิดอีกซึ่งแล้วแต่ว่าจะเกิดในภพใดภูมิใด ก็ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อเป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลอยู่ ก็ย่อมไม่หวั่นไหว***



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ 727



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 3 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 3 ส.ค. 2568

กราบ อนุโมทนาสาธุ สาธุสาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 3 ส.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ
หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา
กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา
อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 3 ส.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 4 ส.ค. 2568

ตกอยู่ในความมืดมานาน ไม่รู้อะไรเลยทุกชาติไปในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะได้มีโอกาสฟังพระธรรมซึ่งแต่ละคำก็เป็นแสงสว่างที่ส่องให้เห็นความจริงของสิ่งที่กำลังมีทุกขณะ

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Lai
วันที่ 10 ส.ค. 2568

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ