ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๗
~ ตลอดพระชนม์ชีพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ประโยชน์กับคนอื่น จากแต่ละคำ แม้ว่าเขาจะอยู่แสนไกล หรือใกล้ที่จะปรินิพพาน ก็ไม่ทรงละเว้นโอกาสที่จะให้คนอื่นได้รับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เขาต่อไปในสังสารวัฏฏ์
~ เมื่อมีความเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็เป็นการเคารพอย่างยิ่ง บูชาพระองค์ยิ่งกว่าดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะใดๆ ด้วยการฟังธรรมที่ควรฟัง แล้วก็มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ นั่นคือ การบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกเวลา
*** ~ ถ้าไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ และถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ด้วยความละเอียดไตร่ตรองลึกซึ้งจนเป็นความเข้าใจของตัวเอง ผู้นั้น ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากพระพุทธศาสนา***
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ไม่ใช่ให้จำ ไม่ใช่ให้สวด ไม่ใช่ให้ท่อง แต่ให้เข้าใจความจริงว่าแต่ละคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่สามารถที่จะเข้าใจได้เดี๋ยวนี้
~ ทุกคนคิดทุกวัน ไม่มีใครที่ไม่คิด วันนี้คิดแล้วตั้งหลายเรื่อง เวลาที่คิดถึงคนนั้นคนนี้ ถ้าสติไม่เกิดไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคิดถึงด้วยความผูกพันหรือคิดถึงด้วยความขุ่นเคือง ถ้าคิดถึงคนที่เราพอใจ ญาติ ความรู้สึกอย่างหนึ่ง มิตรสหายที่รัก ความรู้สึกอย่างหนึ่ง คิดถึงคนที่โกรธกัน ผู้ร่วมงานที่ไม่ถูกกัน ไม่เข้าใจกัน ความรู้สึกก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น แม้แต่ความคิดก็เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอกุศล ถ้าปัญญาไม่เกิด
~ ขณะที่มีเมตตา มีความเป็นเพื่อน ขณะนั้นเป็นกุศล และถ้าเราเพิ่มความเมตตากับทุกๆ คนขึ้น ที่เราพบปะ นั่นคือการอบรมเจริญความสงบของจิต ไม่ใช่ว่าเราไปนั่งท่องภาวนาอยู่ที่มุมหนึ่งมุมใด แต่พอพ้นจากห้องนั้นแล้ว เห็นคนอื่นก็หมั่นไส้ หรือว่าไม่ชอบ หรือว่ารำคาญ ขณะนั้นการที่เราไปนั่งท่องตั้ง ๒๐ นาที หรือครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีความหมายเลย เพราะว่าไม่ใช่การประพฤติปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
~ เวลาที่เราสะสมอบรมจิตใจที่จะเป็นกุศล เว้นการไม่ฆ่าแม้แต่มดในขณะนั้น เราก็มีทั้งสะสมขันติ ความอดทน สะสมวิริยบารมี ด้วยความเพียร บางคนอาจจะเก็บมดไปทีละตัวๆ ก็ได้ ซึ่งในขณะนั้นจิตจะอ่อนโยนจริงๆ จะมีเมตตาจริงๆ และรู้สึกว่าจะไม่เดือดร้อนใจในการที่เราทำอย่างนั้น
*** ~ เราต้องการแบบไหน เราสามารถสะสมเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ได้ ถ้าต้องการเป็นคนที่ใจดี มีเมตตา ให้อภัย ไม่ผูกโกรธ เสียสละ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนอื่น เราก็เริ่มทำ คือ สะสมเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้***
~ วันนี้ทุกคนคงจะมีความไม่พอใจบ้าง แม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ เช่น ความขุ่นเคืองใจนิดเดียว ก็เป็นสภาพธรรมที่ภาษาบาลีใช้คำว่าโทสะ หรือเวลาที่เห็นคนอื่นและมีจิตใจเอื้อเฟื้อ มีความเป็นมิตร มีความหวังดีเกื้อกูล ขณะนั้นก็ไม่ใช่ตัวท่านบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง คือ เมตตา เพราะฉะนั้น ในแต่ละวันจะไม่พ้นจากสภาพธรรมสักขณะเดียว ขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสัจจธรรม เป็นของจริง เป็นสิ่งซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น จึงอยู่ในความหมายของอนัตตา
~ บุญ คือ จิตที่ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะนั่นเอง ขณะใดที่จิตใจมีเมตตา ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ขณะนั้นเป็นบุญแล้ว ขณะที่สละวัตถุให้บุคคลอื่น เพราะว่าในโลกนี้มีทั้งผู้ที่มีมากมายล้นเหลือและผู้ที่ขาดแคลนยากไร้ ลำบากมาก เพราะฉะนั้น ขณะใดประสบกับผู้ที่กำลังทุกข์ยากเดือดร้อนและมีจิตใจอ่อนโยน มีความเป็นมิตรต้องการที่จะเกื้อกูล ขณะนั้นจิตปราศจากโลภะ ไม่ตระหนี่ และสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น ขณะนั้นเป็นบุญ
*** ~ เขาก็มีอกุศลจิต เราก็มีอกุศลจิต ถ้าใครยังโกรธใครอยู่ หรือไม่ชอบใครก็ตาม ขอให้คิดว่าเราจะเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่เห็นกันอีก เพราะฉะนั้น จะทำอะไร เมื่อเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายแล้ว จะทำดีหรือจะทำชั่วต่อกัน***
~ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย จะต้องอดทนทั้งผู้ที่กล่าว ธรรมเรื่องการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และต้องอดทนทั้งผู้ที่ฟังพระธรรมเพื่ออบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมด้วย
~ สำหรับผู้ที่ขาดวิริยะในทางกุศล ตั้งแต่เกิดมาก็มีวิริยะในทางอกุศลมาก และนับวันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนปัจจัยก็คือว่า เมื่อเห็นประโยชน์ของกุศลก็ไม่ละเลย แต่พากเพียรที่จะเจริญกุศลขึ้น ก็จะทำให้เป็นอุปนิสสยปัจจัยในทางกุศลเพิ่มขึ้น อาศัยแต่ละขณะจิตซึ่งกุศลจิตเกิดจะทำให้ทางฝ่ายอกุศลจิตเบาบางลง
~ กาย วาจาที่ไม่ดีของคนอื่น ขณะใดที่สามารถอดกลั้น อดทน ไม่โกรธ ไม่ขุ่นเคือง ขณะนั้นให้ทราบว่าเพราะขันติ และถ้ามีบ่อยๆ ก็จะเป็นความไม่ยากไม่ลำบากต่อการที่จะกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ หรือว่ากายวาจาที่ไม่ดีของคนอื่น
~ ไม่ว่าเราจะได้รับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือปวดเจ็บ ทุกข์ทรมานอย่างไร ก็ต้องมีกรรมที่ได้ทำแล้วเป็นเหตุที่จะให้เกิดขึ้น ใครก็ตามกำลังได้รับผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว อย่างเช่น อุบัติเหตุ หรือปวดเจ็บต่างๆ เหล่านี้ เขาควรที่จะได้ระลึกถึงว่า ปวดเจ็บมาจากไหน ไม่มีใครทำให้เลย
~ กิเลสเขาทำหน้าที่ของกิเลส คือ โลภะเขาก็มีกิจหน้าที่ของเขา คือ ติดทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นแล้วก็ชอบอยากได้ ได้ยินเสียงก็ติดข้อง มีความยึดมั่นไม่สละ นั่นคือกิจของโลภะ ถ้าโทสะก็เป็นสภาพที่หยาบกระด้าง ขณะใดที่เกิดขึ้นเขาก็แข็งกระด้าง ขุ่นเคือง ทำร้ายทำลายทุกอย่าง นั่นคือลักษณะของโทสะ ส่วนปัญญาก็มีกิจที่ตรงกันข้ามกับอกุศล เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เราทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าเรารู้กิจของปัญญาว่าปัญญาสามารถรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เราก็จะอบรมเจริญปัญญาให้ปัญญาเกิดขึ้น และจึงทำกิจของปัญญาได้ แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด จะอ้อนวอนขอให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ และอยู่ดีๆ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ต้องอบรมเจริญให้ค่อยๆ เกิดขึ้น
*** ~ ต้องตายแน่ อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ วันไหนๆ ก็ได้ เตรียมตัวตาย ก็คือ เดี๋ยวนี้ทำดี ต้องเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็จะมีแต่อกุศลเกิดพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด***
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ 726


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี
ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง
อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก
จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง
*** ~ ถ้าไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ และถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ด้วยความละเอียดไตร่ตรองลึกซึ้งจนเป็นความเข้าใจของตัวเอง ผู้นั้น ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากพระพุทธศาสนา***
ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ





