รู้บัญญัติทางมโนทวาร

 
สารธรรม
วันที่  2 ส.ค. 2568
หมายเลข  50558
อ่าน  119

ปัญญาต้องรู้ตามความเป็นจริงก่อน คือ รู้ว่ารูปารมณ์ทางปัญจทวารเป็นอย่างไร ต่างกับบัญญัติอย่างไร จึงสามารถที่จะละคลายการยึดถือรูปารมณ์ที่กำลังปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุ เป็นที่ตั้งของความพอใจ และรู้ว่าในขณะที่เห็นเป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ นั้น เป็นนิมิตหรือบัญญัติทางมโนทวาร และอาศัยปัญญาที่สามารถรู้ความจริงของปรมัตถธรรม ทำให้สามารถรู้ได้ว่า เวลาที่รู้ว่าวัตถุสิ่งนั้นบัญญัติอย่างไร เป็นอะไร ขณะนั้นไม่ใช่ ทางจักขุทวาร หรือทางปัญจทวาร แต่เป็นทางมโนทวาร


รับฟัง ... เป็นผู้ถือนิมิต

อัฏฐสาลินี นิกเขปกัณฑ์ อธิบายนิทเทสอินทริยอคุตตทวารตาทุกะ ข้อ ๑๓๕๒ อธิบายในนิทเทสแห่งความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีข้อความว่า

คำว่า เป็นผู้ถือนิมิต คือ ย่อมถือนิมิตว่าหญิง ชาย

ใช้คำว่า นิมิต เวลาที่ถือว่าเป็นหญิง เป็นชาย แสดงว่าไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น ทุกท่านเห็นหญิงเสมอ เห็นชายเสมอ ให้ทราบว่า ในขณะนั้นถือนิมิตหรือบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เพียงแต่สี คือ ปรมัตถธรรม แต่ว่ามีบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ คือ นิมิต

คือ ย่อมถือนิมิตว่าหญิง ชาย หรือนิมิตอันเป็นวัตถุแห่งกิเลส มีสุภนิมิต เป็นต้น ด้วยอำนาจฉันทราคะ

ถ้าชอบบัญญัติ คือ เข็มขัด หมายความว่าเข็มขัดนั้นมีสุภนิมิต จึงเกิดความชอบด้วยอำนาจฉันทราคะ ถ้าเข็มขัดไม่สวย ไม่ใช่สุภนิมิต ก็ไม่ชอบ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น สีเท่านั้น แต่เป็นบัญญัติด้วยนิมิตต่างๆ ไม่ดำรงอยู่ในรูปารมณ์เพียงแค่เห็นเท่านั้น นี่เป็นสิ่งซึ่งสติปัฏฐานจะต้องเจริญจริงๆ จนสามารถรู้ความต่างกันของปรมัตถธรรมและบัญญัติได้

ข้อความต่อไปมีว่า

คำว่า เป็นผู้ถืออนุพยัญชนะ คือ ถืออาการอันต่างด้วยมือ เท้า การยิ้ม การหัวเราะ การเจรจา การมองไป และการเหลียวซ้ายแลขวา เป็นต้น ซึ่งได้โวหารว่า อนุพยัญชนะ เพราะเป็นเครื่องปรากฏของกิเลส คือ กระทำกิเลสให้ปรากฏ

อนุพยัญชนะนี่ไม่ยากที่จะรู้ได้ เพราะเป็นเครื่องปรากฏของกิเลส คือ กระทำกิเลสให้ปรากฏ

ที่ว่าชอบเข็มขัด เพราะนิมิตและอนุพยัญชนะด้วย ใช่ไหม ถ้าทุกคนเห็นเข็มขัดเหมือนกันหมด ไม่ต้องทำให้วิจิตรต่างๆ ก็ไม่ต้องมีอนุพยัญชนะ แต่เข็มขัดมีมากมายหลายประเภท ต่างกันด้วยอนุพยัญชนะ เพราะฉะนั้น สำหรับอนุพยัญชนะนั้น เป็นเครื่องปรากฏของกิเลส

ขณะใดที่กำลังมีอนุพยัญชนะ และขณะนั้นไม่ใช่โมหมูลจิต ให้ทราบว่า ในขณะนั้นอนุพยัญชนะนั้น กระทำกิเลสให้ปรากฏ แล้วแต่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

ถ. ถ้าไม่ให้ติดในบัญญัติ ก็จะไม่ทราบว่านี่คือปากกา

สุ. นั่นผิด ไม่ใช่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏแล้วดับไป และการรู้บัญญัติทางมโนทวารก็เกิดต่อ นี่เป็นชีวิตตามความ เป็นจริง

เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องรู้ตามความเป็นจริงก่อน คือ รู้ว่ารูปารมณ์ทาง ปัญจทวารเป็นอย่างไร ต่างกับบัญญัติอย่างไร จึงสามารถที่จะละคลายการยึดถือ รูปารมณ์ที่กำลังปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุ เป็นที่ตั้งของความพอใจ และรู้ว่าในขณะที่เห็นเป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ นั้น เป็นนิมิตหรือบัญญัติทางมโนทวาร และอาศัยปัญญาที่สามารถรู้ความจริงของปรมัตถธรรม ทำให้สามารถรู้ได้ว่า เวลาที่รู้ว่าวัตถุสิ่งนั้นบัญญัติอย่างไร เป็นอะไร ขณะนั้นไม่ใช่ ทางจักขุทวาร หรือทางปัญจทวาร แต่เป็นทางมโนทวาร

ยังไม่ต้องไปประจักษ์การเกิดดับของจิตหรือของรูปอะไร ถ้ายังไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริงให้ถูกต้อง แต่จะ ต้องอบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ [ตอนที่ 1351]

รับฟัง ... บัญญัติเป็นธัมมารมณ์


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ