ตัณหาย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปในอายตนะ ๑๒ [อรรถกถาเอกมูลสูตร]

 
เมตตา
วันที่  30 ก.ค. 2568
หมายเลข  50529
อ่าน  121

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 1 - หน้าที่ 245

๔. เอกมูลสูตร

ว่าด้วยปริศนาธรรม

[๑๔๑] เทวดากราบทูลว่า

บาดาล มีรากอันเดียว มีความวนสอง มีมลทินสาม มีเครื่องลาดห้า เป็นทะเล หมุนไปได้สิบสองด้าน ฤาษีข้ามพ้นแล้ว.

อรรถกถาเอกมูลสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในเอกมูลสูตรที่ ๔ ต่อไป :-

บทว่า เอกมูลํ ได้แก่ อวิชชาเป็นราก (มูล) แห่งตัณหา ทั้งตัณหาก็เป็นราก (มูล) แห่งอวิชชา แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาตัณหา.

ก็ตัณหานั้นย่อมหมุนเป็นไปสองอย่าง คือ ด้วยสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิ เพราะเหตุนั้นตัณหานั้น จึงชื่อว่า มีความหมุนเป็นสอง.

ตัณหานั้น ชื่อว่า มีมลทินสาม มีราคะเป็นต้น.

โมหะ ก็ชื่อว่ามีมลทินในที่นั้น เพราะเป็นเงื่อนแห่งสหชาตของตัณหานั้น.

ราคะโทสะ มีกามคุณห้าเป็นเครื่องลาดของตัณหานั้น เพราะเป็นเงื่อนแห่งอุปนิสสยะ (คือที่อาศัยอย่างมั่นคง) .

ตัณหานั้นแหละแผ่ไปในธรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มีเครื่องลาด ๕.

ก็ตัณหานั้นแหละ ชื่อว่าเป็นสมุทร (ทะเล) เพราะอรรถว่า ไม่รู้จักเต็ม.

ตัณหานั้น ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปในอายตนะ ๑๒ ทั้งภายในและภายนอก เพราะเหตุนั้น ตัณหานั้นจึงชื่อว่าหมุนไปได้ ๑๒ ด้าน.

ก็ตัณหานั้น ท่านเรียกว่า บาดาล เพราะอรรถว่า ไม่ตั้งมั่น.

ฤาษีข้ามแล้ว ข้ามขึ้นแล้ว ย่อมก้าวล่วงซึ่งบาดาล (ตัณหา) นั้นซึ่งมีรากเดียว ฯลฯ .

จบอรรถกถาเอกมูลสูตรที่ ๔


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ