ความไม่รู้ในชีวิต

ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์อย่างไรก็ชั่วขณะที่กรรมนั้นๆ ให้ผลเท่านั้นเอง ถ้าหมดผลของกรรมนั้น คนที่เป็นสุขก็เป็นทุกข์ หรือคนที่เป็นทุกข์ก็เป็นสุข แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกรรมใดต่อไป เพราะว่าทุกคนโดยมากไม่ได้พิจารณาเลยสักนิดว่า ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้ามีมาได้อย่างไร มาจากไหน อะไรเป็นสภาพธรรมที่ทำให้เกิดรูปวัตถุร่างกายตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า แต่ถ้าเป็นผู้ที่พิจารณาก็จะรู้ได้จริงๆ ว่า กรรมเป็นปัจจัย ใครจะไปเอาดิน เอาน้ำ เอาไฟ เอาลมที่ไหนมาทำให้เป็นรูปร่างกายตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าไม่ได้เลย แต่กรรมซึ่งทุกคนมองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้ว่ากรรมอะไร แต่ว่ากรรมนั้นได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยทำให้รูปนี้เกิดขึ้น ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า แม้ว่ารูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเมื่อวานนี้ก็ดับหมดไปแล้ว รูปขณะเมื่อกี้นี้ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าก็ดับหมดไป โดยที่ไม่มีใครรู้ แต่ว่าอะไรทำให้ยังคงรู้สึกเมื่อกระทบสัมผัสยังมีอยู่ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เพราะเหตุว่ากรรมยังคงเป็นปัจจัยทำให้รูปนี้เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ปรากฏเมื่อกระทบสัมผัสเท่านั้นเอง ถ้าขณะใดที่ไม่กระทบสัมผัส รูปนั้นมี ก็เสมือนไม่มี โดยสมุฏฐานต่างๆ คือ โดยกรรมบ้าง โดยจิตบ้าง โดยอุตุบ้าง โดยอาหารบ้าง
นี่คือ ความไม่รู้ในชีวิต ชาติหนึ่งๆ คือ ไม่รู้แม้แต่สิ่งซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แต่ก็มายึดครองว่าเป็นเรา โดยที่ไม่ได้สอบสวนใคร่ครวญเลยว่า เราที่ว่าเป็นเรามาจากไหน อะไรเป็นปัจจัยทำให้รูปแม้แต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แข็ง อ่อน เย็น ร้อน ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเกิดขึ้น หรือแม้แต่การเห็น การได้ยิน ซึ่งจะต้องยังคงมีอยู่ตลอดชีวิต ใครที่มีชีวิตแล้ว จะไม่เห็น ไม่ได้ยิน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้ใคร่ครวญว่า แม้แต่เห็น แม้แต่ได้ยินนี้ มีปัจจัยเกิดได้อย่างไร เพราะเหตุว่าจะต้องอาศัยจักขุปสาทซึ่งกรรมอีกนั่นแหละเป็นสมุฏฐานก่อตั้งให้จักขุปสาทเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เห็นกรรม แล้วก็ไม่รู้ว่ามีชีวิตมาในโลกนี้ได้อย่างไร แล้วก็อยู่ในโลกนี้แต่ละขณะได้อย่างไร แต่ถ้าพิจารณาโดยเรื่องของกรรมแล้วจะเห็นได้ว่า ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของของตน ทุกขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ที่มีชีวิตอยู่ จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง ทุกภพทุกชาติ


