อยู่ในโลกของความไม่รู้มหาศาล

 
เมตตา
วันที่  20 ก.ค. 2568
หมายเลข  50441
อ่าน  387

อ.ณภัทร: ได้ฟังก็รู้สึกซาบซึ้งในหน้าที่ของการเป็นผู้ฟัง อย่างท่านพระอุปติสสะหรือท่านพระสารีบุตรครับ ที่เป็นหน้าที่ของเราที่จะพิจารณาไตร่ตรองในพระธรรมที่ได้ฟัง ดังนั้น ที่กล่าวว่าซาบซึ้งก็คือว่า ก็เป็นเครื่องเตือนครับ ที่จะเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว พระธรรมก็มีความละเอียดลึกซึ้ง ดังนั้น หน้าที่ของผู้ฟัง ก็คือพิจารณาไตร่ตรอง เพราะว่าพระธรรมละเอียด แล้วก็เพื่อที่จะรู้ความจริงของพระธรรมที่ได้ฟังขณะนั้น

กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าเป็นความละเอียดของแต่ละบุคคลจริงๆ ที่ว่า การที่พิจารณาไตร่ตรองย่อมไม่เหมือนกันเพราะว่าการสะสมมาของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกัน ดังนั้น ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เมื่อมีการพิจารณาการไตร่ตรองแล้ว ละเอียดขึ้นอีกๆ ๆ ๆ ความละเอียดขึ้นอีก คงปราศจากปัญญาไม่ได้เลย เพราะว่า ถ้าไม่มีปัญญาที่เข้าใจ ความละเอียดก็จะ ละเอียดขึ้นอีกๆ ไม่ได้ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า ปัจจัยของความเข้าใจจะอุปการะทำให้เป็นผู้ที่ ละเอียดขึ้นอีกๆ ๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้อย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: ฟังแล้วเมื่อกี้นี้ ละเอียดขึ้นอีกแล้วใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: นั่นล่ะ!! พอไหม?

อ.ณภัทร: ไม่พอครับ

ท่านอาจารย์: นั่นล่ะ ก็ต้องละเอียดขึ้นอีกลึกซึ้งขึ้นอีก เพราะสิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ละเอียดแค่ไหนที่จะรู้ว่า อยู่ในโลกของความไม่รู้มหาศาลนานมาแล้วด้วย

เพราะฉะนั้น ความรู้จะปรากฏอย่างที่กำลังไม่รู้อย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็มีความมั่นคงในความลึกซึ้งของความเป็นจริงของธรรมะ

แต่ละคำ ผู้พูดจะพูดอย่างไรก็ตาม หน้าที่ของผู้ฟังไม่ใช่เชื่อไม่ใช่คล้อยตามโดยไม่ไตร่ตรองโดยไม่เข้าใจ แต่เห็นความถูกต้องตามความเป็นจริงครบถ้วนแค่ไหน

เพราะฉะนั้น ปัญญาขั้นฟังยังเห็นว่า ขณะนี้เป็นความจริงซึ่งสิ่งที่มีไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

แล้วอย่างไร น่าอนาถใจไหม? อยู่มาในโลกที่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเลย กว่าจะรู้ว่าความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏ ไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏขั้นฟัง แล้วจะถึงปรากฏไม่ใช่ขั้นฟัง ประจักษ์แจ้ง น่าอัศจรรย์ไหม? เปลี่ยนจากโลกของอัตตาทั้งหมดเลยตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ เป็นสิ่งที่ไม่มีที่จะเหลือความเป็นเราได้ เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่แค่พูด รวดเร็วระดับไหน?

เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่มั่นคงต่อการที่ว่า ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรเลย แต่มีความเคารพสูงสุดในสัจจะในความจริง เปลี่ยนไมได้

เพราะฉะนั้น ต้องอดทนระดับไหนที่รู้ว่า วันนี้ได้ฟังเรื่องของธาตุรู้ แต่ก็ยังไม่รู้จักธาตุรู้ แล้วฟังอีก ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้จักก็รู้จักไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีฟังต่อไปๆ ด้วยความอดทน จะถึงเวลาที่ความเข้าใจนั้นจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏขณะนั้น เปิดเผยความเป็นธาตุรู้

เปิดเผยความเป็นธาตุรู้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ถูกปกปิดด้วยการไม่คิดถึงเลย ได้แต่ฟัง รู้ว่าต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา แม้สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงก็ไม่รู้ แต่เริ่มรู้ว่า ความจริงจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้แน่นอน

และอีกนานเท่าไหร่? ก็แล้วแต่กำลังของความเข้าใจที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในแต่ละอย่างที่จะทำให้ความไม่รู้สิ่งนั้นค่อยๆ ลดน้อยลง จนกว่าจะถึงเวลาที่สภาพธรรมะจะปรากฏเมื่อได้เข้าใจมาเท่าไหร่แล้ว? คิดดู!! ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ไม่มีทางที่สภาพธรรมะนั้นจะปรากฏอย่างที่ได้ฟัง แต่ได้ฟังอย่างนี้แหละ แต่เมื่อไหร่จะปรากฏตามความเป็นจริง พอหรือยังที่จะปรากฏ? ถ้ายังไม่พอ ก็คือว่าปรากฏไม่ได้กับปัญญาที่ไม่พอที่จะรู้ความจริง

เพราะฉะนั้น ปัญญาเท่านั้นที่เป็นสภาพธรรมที่ประเสริฐสุดในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหลาย มีหลายระดับมากมายแต่ละขั้น ลึกซึ้งขึ้นๆ ๆ ๆ จนกระทั่งรู้ว่า ถ้าไม่มีการฟังด้วยความเคารพตั้งแต่ต้นอย่างมั่นคงอย่างอดทนอย่างเพียรที่จะละความไม่รู้โดยการที่ค่อยๆ เข้าใจเมื่อไหร่ ปัญญาทำหน้าที่ค่อยๆ ละเมื่อนั้น

เพราะฉะนั้น ชีวิตจึงเป็นปกติธรรมดา ผิดปกติไม่ได้เลย ถ้าผิดปกติความไม่รู้แน่นอนต้องการจนกระทั่งทำอะไร ไม่ได้รู้สิ่งที่เกิดแล้ว

เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มั่นคงขึ้น เป็นเครื่องวัดสอบความเข้าใจ เข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ อีกนานไหม? เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ก็ต้องมั่นคงว่า ไม่ใช่ใครจะไปทำได้ แต่ทั้งๆ ที่มีสิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ กว่าจะถึงการค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง เฉพาะหนึ่งที่เป็นสิ่งที่มีจริงขณะนั้น ก็ต้องอดทนไป หน้าที่การฟัง เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะกล่าวมากมายสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ปัญญาสามารถที่จะเข้าถึงความจริง คนอื่นทำให้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของผู้ฟัง

อ.ณภัทร: กราบเท้าท่านอาจารย์จริงๆ ครับ เพราะว่าฟังแต่ละประโยค แต่ละถ้อยคำที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมด ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า นี่คือหนทางจริงๆ ที่จะนำไปสู่การเข้าใจความจริง ไม่ใช่หนทางอื่น แต่ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจในขั้นการฟังเลย เพราะว่าการที่จะเป็นผู้ละเอียดขึ้นได้ถ้าไม่เริ่มต้นจากการฟังให้เข้าใจ ไม่สามารถจะ ละเอียดขึ้นๆ ได้เลย

เพราะฉะนั้น ก็เป็นประโยชน์ กราบเท้าท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่า เป็นการเพิ่มความมั่นคงขึ้นๆ ๆ ความเป็นธรรมะที่เป็นอนัตตาที่บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ทุกอย่างต้องเกิดเพราะมีเหตุมีปัจจัยให้เป็นไปอย่างนั้นครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 24 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะน้องเมตตา ยินดียิ่งในกุศลทุกประการนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ