ทำร้ายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
เมตตา
วันที่  19 ก.ค. 2568
หมายเลข  50436
อ่าน  472

[เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม 4 ภาค 1 - หน้าที่ 132 - 133

บาทคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา มีความว่า เบญจขันธ์ชื่อว่า ธรรมมีเหตุเป็นแดนเกิด. พระเถระแสดงทุกขสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น.

บาทคาถาว่า เตสํ เหตุํ ตถาคโต อาห มีความว่า สมุทยสัจ ชื่อว่าเหตุแห่งเบญจขันธ์นั้น พระเถระแสดงว่า พระตถาคตตรัสสมุทยสัจนั้นด้วย.

บาทคาถาว่า เตสฺจ โย นิโรโธ จ มีความว่า พระตถาคตตรัสความดับคือความไม่เป็นไปแห่งสัจจะแม้ทั้ง ๒ นั้นด้วย พระเถระแสดงนิโรธสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น. ส่วนมรรคสัจ แม้ท่านไม่ได้แสดงรวมไว้ในคาถานี้ ก็เป็นอันแสดงแล้วโดยนัย. เพราะว่าเมื่อกล่าวนิโรธ มรรคซึ่งเป็นเหตุให้ถึงนิโรธนั้น ก็เป็นอันกล่าวด้วย.


อ.วิชัย: ได้ฟังการสนทนาเมื่อสักครู่ที่ท่านพระอัสสชิได้กล่าวกับอุปติสสปริพาชกครับ ซึ่งเป็นข้อความแม้สั้นๆ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้ครับ และเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็ได้ให้ความเข้าใจว่า การที่จะรู้ว่า ธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยทั้งหมดเลย ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ก็แสดงความเป็นเหตุปัจจัยของสภาพธรรมะโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงครับ

ในช่วงนี้ก็กราบเรียนท่านอาจารย์ให้ แนวทางในการที่จะศึกษาธรรมะส่วนละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของปัจจัย ครับ ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า การที่จะเข้าใจความเป็นปัจจัยของธรรมะ ไม่ใช่เป็นการนึกถึงชื่อ เรียงเป็นปัจจัยๆ ไปเลย แต่ว่าการที่มีโอกาสได้ศึกษาก็มีคำที่กล่าวถึงปัจจัย และก็รู้ว่าการที่จะเข้าใจความเป็นปัจจัยโดยไม่เข้าใจสภาพธรรมะเป็นไปไม่ได้เลย

ดังนั้น การที่จะเข้าใจความเป็นปัจจัยอย่าง ได้ฟังมาว่า จิต เจตสิก เกิดขึ้นอาศัยกันและกันโดยสหชาตปัจจัยบ้าง อัญญมัญญปัจจัยบ้าง สัมปยุตตปัจจัยบ้าง อย่างนี้ครับ ก็ดูเหมือนกับเป็นการนึกถึงสิ่งที่เคยศึกษาเคยเล่าเรียนมาครับ แต่ก็ไม่ได้เป็นการน้อมไปที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้ที่เกิดขึ้น อาศัยกันและกันเป็นไปด้วยปัจจัยดังที่กล่าวมาแล้วครับ เพราะธรรมะเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏ

ดังนั้น การที่จะเข้าใจความเป็นปัจจัยที่จะมั่นคงในการที่จะรู้ว่า ธรรมะไม่ใช่ตัวเราครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ให้แนวทางในการที่จะศึกษาสภาพธรรมะโดยเฉพาะความเป็นปัจจัยของธรรมะซึ่งเป็นส่วนละเอียดมากครับ

ท่านอาจารย์: แล้วท่านอุปติสสะจะไปศึกษาต่อที่ท่านพระอัสสชิกล่าวหรือ?

อ.วิชัย: ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจก็ศึกษาทันทีตามที่ท่านได้สะสมมาครับ

ท่านอาจารย์: ต้องฟังคำถาม แล้วท่านอุปติสสะศึกษาขณะที่ท่านพระอัสสชิกล่าวถึงปัจจัยต่างๆ ท่านศึกษาปัจจัยต่างๆ ในขณะนั้นหรือ?

อ.วิชัย: ท่านไม่ได้ศึกษาเป็นเรื่องราวต่างๆ ครับ เพราะมีคำเพียงเท่านั้นครับท่านอาจารย์ แต่ว่าปัญญาท่านรู้ความเป็นจริงของธรรมะที่เกิดเพราะมีเหตุปัจจัยครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษามามากมหาศาลทุกปัจจัย จะสามารถรู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้เกิดตามปัจจัยโดยไม่ต้องพูด แต่ไม่สงสัยเลย

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้จริงๆ ว่า เราต้องเข้าใจความเป็นขั้นตอน ถ้าไม่ถึงพร้อมอย่างเดี๋ยวนี้ จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน กว่าจะปรากฏเป็นดอกไม้เป็นอะไรอย่างนี้ และขณะนั้นถ้ามีปัญญาจริงๆ รู้ความจริง การประจักษ์แจ้งธรรมะรวดเร็วไหม แค่ไหน?

อ.วิชัย: ก็เร็วที่จะสามารถรู้ความเป็นจริงของธรรมะได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเรื่องปัจจัยต้องมั่นคงมาก่อนใช่ไหม ไม่ใช่มาศึกษาตอนนั้น

อ.วิชัย: ใช่ครับด้วยความเข้าใจถูกต้องด้วยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีการฟัง เพื่ออะไร? เพื่อละความติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในความเป็นเรา ค่อยๆ เข้าใจว่า มีปัจจัยอะไรที่ทำให้แต่ละหนึ่งเกิด มั่นคงปานใดที่จะละความติดข้องเพราะมีความเข้าใจ

ถึงเวลาที่จะเกิดประจักษ์แจ้งความจริง ไม่มีความเข้าใจมาก่อนเลยหรือว่า ทุกอย่างแม้เดี๋ยวนี้ก็เกิดเพราะปัจจัย โดยไม่ต้องไปเรียกชื่อว่าปัจจัยอะไร

อ.วิชัย: ต้องสะสมมามากเพียงพอต่อการที่จะรู้ในความเป็นปัจจัยโดยไม่ได้เป็นการนึกถึงชื่อของปัจจัยเลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คนที่ได้ศึกษามาแล้วในขั้นฟัง แต่ยังไม่ถึงขั้นระดับที่จะค่อยๆ รู้ตัวจริง จะมีปัญญาเท่ากับคนที่ได้ศึกษาตัวจริงๆ เดี๋ยวนี้ไหม?

อ.วิชัย: ไม่มีปัญญาเท่าแน่นอนครับ

ท่านอาจารย์: แล้วคนที่ได้ศึกษาตัวจริงจนกระทั่งมั่นคงหมดความสงสัย จะถึงปัญญาระดับที่เกิดแล้วไม่ต้องมานั่งไตร่ตรองพิจารณาเลย เพราะความเข้าใจนั้นมั่นคงที่จะละ ที่จะละเพราะรู้มาแล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

อ.วิชัย: ก็เป็นเหตุปัจจัยจริงๆ ครับท่านอาจารย์ ที่จะมีปัจจัยที่ทำให้ปัญญาระดับนั้นเกิดขึ้นได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ละจริงๆ เมื่อลักษณะนั้นประจักษ์แจ้ง ชื่อว่า ละ

ยังไม่ประจักษ์แจ้งจะชื่อว่าละไหม?

อ.วิชัย: ไม่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การประจักษ์แจ้งจะรวดเร็วสักแค่ไหน? ไม่ต้องลำดับอย่างที่เรานั่งเรียนกันใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มั่นคงในความเข้าใจว่า ระดับขั้นต้นต้องมั่นคงระดับไหน จะไปคิดเอง ทำเอง พยายามเองทุกอย่าง นั้นคือทำร้ายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำร้ายพระกายของพระองค์

เพราะฉะนั้น ต้องเคารพสูงสุดในการเป็นผู้ตรงต่อความลึกซึ้งของธรรมะ

แต่ละคำ เห็นเกิดเพราะปัจจัย แม้เห็นยังไม่รู้เลย ยังไม่ได้แยกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น กว่าจะฟังจนกระทั่งเข้าใจจนกระทั่งได้ศึกษาว่า แม้แต่เห็น ๑ ขณะ เกิดเพราะปัจจัยอะไรบ้าง นี่ค่อยๆ ละ ค่อยๆ ละๆ ค่อยๆ มั่นคง จนถึงขณะที่ไม่มีความสงสัยในสภาพธรรมะที่ปรากฏ ขณะนั้นต่างกับที่กำลังเรียนกำลังเข้าใจกำลังค่อยๆ ระลึกใช่ไหม?

ห่างไกลกันมากกับปัญญาที่ถึงขณะที่จะรู้แจ้ง ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อคำว่า ปัจจัย ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อคำว่า อนัตตา ไม่ต้องไม่เอ่ยชื่อคำว่า สหชาตะ หรืออะไรเลยทั้งสิ้น ทุกอย่างมีครบถ้วนที่จะประจักษ์แจ้งไม่สงสัย โดยไม่ต้องใช้คำสักคำ

อย่างเวลานี้คนที่รู้จักลักษณะของนามธาตุ นามธรรม เพราะประจักษ์แล้ว กับคนที่ขณะนี้เห็นเป็นธาตุรู้เป็นนามธรรม ต่างกันไหม?

อ.วิชัย: ต่างกันครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นความห่างไกลกันมากกว่าที่จะรู้จริงขั้นประจักษ์แจ้งไม่มีคำ แต่ทุกอย่างเต็มเปี่ยมที่จะรู้ความจริงตามลำดับ

อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์เพิ่มเติมครับ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ขณะที่ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟังจนสามารถประจักษ์แจ้ง หรือรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นก็ไม่ได้เป็นการนึกถึงชื่อ หรือเรื่องตามที่เคยได้ยินได้ฟังมาในขั้นของการสะสมความเข้าใจมา แต่ถ้าพูดถึงขณะนี้ครับ เห็น กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ปัญญายังไม่รู้ในความต่างกันของธรรมะ ๒ อย่างนี้ ครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจะรู้ได้อย่างไร มีหนทางรู้ได้ไหม?

อ.วิชัย: มีหนทางรู้ได้ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้หนทางนั้น จะรู้ได้ไหม?

อ.วิชัย: ถ้าไม่รู้หนทางก็รู้ไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: ก็ไปนั่งทำอย่างอื่นกันใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แต่ถ้ารู้หนทางว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นอะไร? ที่จากไม่เคยคิดถึงเห็นเลย ตั้งแต่เช้ามาก็ไม่เคยคิดถึงได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสอร่อย อะไรทั้งหมดที่เป็นธาตุรู้ ไม่เคยคิดเลยใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แล้วเริ่มไม่ลืมที่จะคิด ไม่ใช่เราไปพยายามตั้งใจ แต่ขณะนั้นก็รู้ว่า ฟังจนรู้ว่า แค่ฟังเข้าใจยังไม่รู้ตรงลักษณะ ยังไม่ได้ศึกษาในความเป็นธาตุรู้ แต่รู้ว่าธาตุรู้หมายความว่าอะไร ห่างไกลกันมาก

อ.วิชัย: ยังไม่ศึกษาความเป็นธาตุรู้ แต่ฟังเรื่องของเขาครับ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ น้อมไปทีละเล็กทีละน้อยครับ

ท่านอาจารย์: ด้วยเหตุนี้ อริยสัจจะจึงมี ๓ รอบ ใครสามารถไปถึงรอบที่ ๓ โดยไม่มีรอบที่ ๑ รอบที่ ๒ บ้าง?

อ.วิชัย: เป็นไปไม่ได้เลยครับ

ท่านอาจารย์: นี่คือความมั่นคงในความเป็นอนัตตา จนกระทั่งเมื่อเป็นอนัตตาจริงๆ ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ นั่นชัดเลยว่า อนัตตาแท้ๆ แม้เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตาทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังของความเข้าใจ ไม่ใช่พยายามไปฝืนไปทำให้เข้าใจเร็วๆ

อ.วิชัย: อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เห็น กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสีสันวรรณะต่างๆ ก็คิดเลยครับว่า เห็นเกิดเพราะมีสีเป็นอารัมมณปัจจัย

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ได้รู้ลักษณะของสี เพราะกำลังคิดเรื่อง

อ.วิชัย: ใช่ครับท่านอาจารย์ แต่ความเร็วก็ปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ ก็ไปคิดเรื่องแล้ว

ท่านอาจารย์: เร็วจนกระทั่งไม่รู้ว่า กี่วาระจิตกี่วิถีจิตที่เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้พรึบเลยในทันที ไม่ต้องพรึบเลยลืมตาก็เป็นไปแล้ว เร็วแค่ไหน? ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงแต่ละหนึ่งขณะจิตแต่ละทาง ให้เป็นปัญญาขั้นแรกขั้นต้นรอบที่ ๑ ว่า ความจริงลึกซึ้งปานนี้ จะไปอาศัยตัวตนพยายามตั้งหน้าตั้งตาจะละกิเลสเพราะไม่รู้ความจริง หลงทาง

อ.วิชัย: ความเป็นเราก็จะมาแฝงเรื่อยๆ ครับ บางครั้งมาแบบไม่รู้ตัวที่จะพยายามเรียนรู้นะ ไปท่องเลยว่า เห็นเกิดเพราะมีสีเป็นอารัมมณปัจจัยบ้าง อาศัยตาเป็นที่เกิดบ้างอะไรอย่างนี้ครับ คุ้นกับการคิดเรื่องในสิ่งที่ได้ยิน แต่ไม่คุ้นที่จะเข้าใจในตัวธรรมะครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มปลูกฝังความคุ้นต่างจากที่เคยคุ้นในความเป็นเราในความเป็นอัตตาจนกว่าไม่เหลืออัตตา คิดดู!! ทั้งวัน ทุกวัน กี่ชาติ ไม่มีเกิดขึ้นได้อีกเลย

อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์มากๆ ที่จะค่อยๆ ฟังแนวทางแม้การศึกษาพระธรรมครับ ก็ต้องเพื่อความเข้าใจจริงๆ

ท่านอาจารย์: ยังดีกว่าเราไม่สนทนา แล้วก็หลงทางใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Wisaka
วันที่ 23 ก.ค. 2568

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 24 ก.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะน้องเมตตา ยินดียิ่งในกุศลทุกประการนะคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ