สัจจบารมีต้องมั่นคงแค่ไหน?

[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม 9 ภาค 3 - หน้าที่ 611
อนึ่ง พึงพิจารณาความถึงพร้อมแห่งสัจจบารมี โดยนัยมีอาทิว่า เพราะเว้นสัจจะเสียแล้ว ศีลเป็นต้นก็มีไม่ได้. เพราะไม่มีการปฏิบัติอันสมควรแก่ปฏิญญา. เพราะรวมธรรมลามกทั้งปวง ในเพราะก้าวล่วงสัจจธรรม. เพราะผู้ไม่มีสัจจะเป็นคนเชื่อถือไม่ได้. เพราะนำถ้อยคำที่ไม่ควรยึดถือต่อไปมาพูด. เพราะผู้มีสัจจะสมบูรณ์เป็นผู้ตั้งมั่นในคุณธรรมทั้งปวง. เพราะเป็นผู้สามารถบำเพ็ญโพธิสมภารทั้งปวงให้บริสุทธิ์ได้. เพราะกระทำกิจแห่งโพธิสมภารทั้งปวง ด้วยไม่ให้ผิดสภาวธรรม และเพราะสำเร็จในการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ ดังนี้.
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม 9 ภาค 3 - หน้า 379
การบริจาคมหาทานเมื่อก่อนบวช และการสละราชสมบัติเป็นต้น ของพระมหาสัตว์นั้นเป็นทานบารมี. การสำรวมกายวาจาเป็นศีลบารมี. การบรรพชาและการบรรลุฌานเป็นเนกขัมมบารมี. ปัญญาเริ่มต้นด้วยทำมนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง จนบรรลุอภิญญาเป็นที่สุด และปัญญากำหนดธรรมเป็นอุปการะและไม่เป็นอุปการะแห่งทานเป็นต้น เป็นปัญญาบารมี. ความเพียรยังประโยชน์นั้นให้สำเร็จในที่ทั้งปวง เป็นวีริยบารมี. ญาณขันติและอธิวาสนขันติ เป็นขันติบารมี. การไม่พูดผิดจากคำปฏิญญา ชื่อว่า สัจจบารมี. การตั้งใจสมาทานอันไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง ชื่อว่า อธิษฐานบารมี.
อ.วิชัย: คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ ก็ต้องไตร่ตรอง และพิจารณาที่จะเป็นเหตุให้ปัญญาความเห็นที่ถูกต้องค่อยๆ เกิดขึ้น และค่อยๆ เจริญขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้กุศล คือคุณความดีค่อยๆ เจริญขึ้นครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ในช่วงแรกครับ เมื่อวานนี้มีการสนทนาเรื่องของ การสะสมบารมีทีละน้อย ครับ ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมได้มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ก็พิจารณาได้ว่าวันๆ หนึ่งก็มีอกุศลเกิดมาก ทั้งเป็นไปด้วยความติดข้องพอใจ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้แต่คิดเรื่องในสิ่งที่น่าพอใจ ก็เริ่มเข้าใจว่าเป็นไปด้วยความติดข้องครับ หรือแม้แต่จะประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าปราถนาก็มีความขัดเคืองมีความไม่พอใจ ซึ่งอกุศลก็มากจริงๆ ครับ
แต่เมื่อมีโอกาสได้มาศึกษาพระธรรมก็รู้ว่า ความดี ซึ่งเป็นธรรมะฝ่ายดีเป็นกุศลธรรม ก็เป็นธรรมะที่เป็นประโยชน์ แล้วก็นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นสุขไม่มีโทษเลยครับ แต่ประเด็นที่จะกราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ซึ่งกระผมก็ได้พบข้อความที่กล่าวว่า "เมื่อเห็นคุณของความดี มีหรือที่จะไม่ทำดี" ซึ่งข้อความนี้เราก็มีโอกาสที่จะได้ศึกษาว่า กุศลธรรมมีลักษณะอย่างไร อย่างศรัทธา อย่างสติ อย่างปัญญา ก็รู้ว่าเป็นธรรมที่เป็นประโยชน์ แต่ดูเหมือนเป็นการศึกษาเพื่อเข้าใจในลักษณะของธรรมฝ่ายดี การที่จะเห็นคุณความดีจริงๆ อย่างเล็กๆ น้อยๆ อย่างช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็จะไม่มีปัจจัยของการที่จะเห็นว่า เป็นความดีครับท่านอาจารย์
ดังนั้น การที่จะเห็นคุณความดีจริงๆ ทุกประการ คือจะเห็นได้อย่างไรครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: มั่นคงอย่างที่พูดไหม? พูดว่าอย่างไร?
อ.วิชัย: ก็คือว่า เมื่อเห็นคุณของความดี มีหรือที่จะไม่ทำดี แต่ว่าอกุศลก็มากในแต่ละวัน การที่จะเห็นความดีจริงๆ แม้จะทำดีก็ยากมากครับ
ท่านอาจารย์: พูดอย่างนี้ใช่ไหม?
อ.วิชัย: ครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: จริงไหม?
อ.วิชัย: จริงครับ
ท่านอาจารย์: จริงก็เป็นสัจจบารมี เริ่มมั่นคงว่า ไม่มีหนทางอื่นเลย นอกจากทุกขณะในสังสารวัฏฏ์ที่ไม่รู้ความจริง มีแต่ความไม่ดี แม้วันนี้ก็มากมายมหาศาล
เพราะฉะนั้น ค่อยๆ รู้ความจริงว่า กว่าจะหมดความไม่ดีได้ ต้องอาศัยแต่ละขณะที่ดีเพื่อขณะนั้นจะได้ละความไม่ดีใช่มั้ย?
อ.วิชัย: ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ถ้าใช่ ก็คือสัจจบารมี ไม่เปลี่ยนเลย แม้ว่าขณะนี้จะไม่ได้รู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เข้าใจว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นแน่ ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
แม้สัจจบารมีก็อีกนานเท่าไหร่กว่าจะมั่นคง เริ่มเห็นคุณของพระรัตนตรัยไหม? มหาศาลแค่ไหน จากสิ่งที่ได้สะสมมาแสนโกฏกัปป์ที่ไม่รู้ความจริง และไม่ดีมากมายทุกวันๆ ทุกขณะ ก็จะค่อยๆ ละ จนกระทั่งหมดได้ หมดได้ จริงไหม?
อ.วิชัย: จริงครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: สัจจบารมีต้องมั่นคงแค่ไหน?
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า บารมี ประมาทไม่ได้เลย คิดว่ามีแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ลองพิจารณาดู จากคำพูดนี่ มั่นคงแค่ไหน? และถ้าไม่มั่นคงจริงๆ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ หาทางอื่น ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่บารมี เพราะไม่จริงต่อความจริง
อดทนไหม?
อ.วิชัย: เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ ก็อดทนขึ้นครับท่านอาจารย์
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ไม่พูดผิดจากคำปฏิญญา ชื่อว่า สัจจบารมี [จริยาปิฎก]
ผู้ไม่มีสัจจะเป็นคนเชื่อถือไม่ได้ [จริยาปิฎก]
ขอเชิญฟังได้ที่..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ




