ชาวกุรุ

 
สารธรรม
วันที่  8 ก.ค. 2568
หมายเลข  50329
อ่าน  193

สำหรับธรรมนั้นไม่ขัดขวางชีวิตในทางโลกเลย อย่างชาวกุรุในสมัยโน้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดง มหาสติปัฏฐาน กับชาวกุรุ เพราะเห็นอินทรีย์ของชาวกุรุว่า สามารถรู้ธรรมลึกซึ้งได้ ก็ไม่สำคัญว่าจะต้องจำกัดแต่เฉพาะชาวกุรุในครั้งอดีต เป็นเรื่องที่ไม่จำกัดการงาน อาชีพ หรือชีวิตในทางโลกเลย


ผู้ใดมีอินทรีย์ที่สามารถจะเข้าใจธรรมลึกซึ้งได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร มีอาชีพอะไรก็ตาม สามารถเจริญสติปัฏฐาน ประพฤติปฏิบัติตามธรรม ไม่ว่าในสมัยโน้น หรือว่าจนกระทั่งถึงในสมัยนี้ โดยที่ไม่จำกัดบุคคลเลย เพราะเหตุว่าผู้ที่เจริญสติ-ปัฏฐานนั้นมีตั้งแต่พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชาไปจนกระทั่งถึงพวกทาสกรรมกรก็เจริญสติปัฏฐานได้ และเรื่องที่เขาคุยกันในสมัยนั้นก็คุยกันในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน เวลาที่พบกันก็ถามกันว่า เจริญสติปัฏฐานอะไร ถ้าใครตอบว่าไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ก็จะต้องถูกติเตียนว่า ชีวิตไม่มีประโยชน์ ตายทั้งเป็น มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย ซึ่งความจริงแล้วถ้ามีชีวิตอยู่แต่ไม่เจริญสติปัฏฐาน ก็สะสมอกุศลไปเรื่อยๆ ทุกขณะที่เห็นได้ยินในวันหนึ่งๆ

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย และผู้ที่คุยกันนั้นก็ยังให้โอวาทตักเตือนกันว่า อย่าได้มีชีวิตอยู่โดยไม่เจริญสติปัฏฐาน และถ้าผู้ใดทราบว่า ใครเจริญสติปัฏฐาน ก็อนุโมทนาสาธุการ แล้วก็ยังเน้นว่า ได้ถึงความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์ของท่านในเรื่องนี้ ซึ่งทุกท่านนั้นจะต้องเจริญสติละกิเลสด้วยตนเอง ผู้อื่นไม่สามารถละกิเลสให้ได้

เป็นเรื่องที่ไม่จำกัดการงาน อาชีพ หรือชีวิตในทางโลกเลย แล้วแต่ว่าจะฝักใฝ่ในทางธรรมได้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นประโยชน์เท่านั้น ส่วนจะตัดสินใจดำเนินชีวิตในทางไหนนั้น ก็เป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละบุคคล อย่างบางท่านไม่อยากพิจารณากิเลส มีเหตุปัจจัยสะสมแล้วเกิดขึ้นปรากฏ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าใครจะมีกิเลสที่น่ารังเกียจ ก็เป็นของจริงที่สะสมมา แล้วก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ระลึกรู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานที่จะละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้นั้น จะต้องพิจารณารู้นามรูปจริงๆ [ตอนที่ 92]


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ