Thai-Hindi 05 July 2025
Thai-Hindi 05 July 2025
- (คุณสุคิน - คุณอาช่าประสงค์ให้ท่านอาจารย์สนทนาถึงธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเพราะวันหนึ่งต้องมีคนมาถามและสนทนาถึงพระสูตรนี้) ไม่ว่าจะเป็นธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรหรืออะไรก็ตาม ทุกคำเพื่อเข้าใจใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณอาช่าอ่านธรรมจักกัปปวัตตนสูตรหรือเข้าใจคำไหนพอหรือยังจะได้สนทนากัน
- (คุณอาช่า - ไม่ได้อ่านจนจบแต่รู้คร่าวๆ ว่า กล่าวถึงอริยสัจจ์ ๔ และการเจริญบารมี) เพราะฉะนั้นอาจจะเริ่มสนทนาแบบที่เรากำลังสนทนาก็ได้ ธรรมคืออะไร จักกะคืออะไร (ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับเป็นธรรม จักกะคือล้อหมุน ทำไมพระพุทธองค์ถึงใช้คำนี้เพื่อแสดงอะไร) ธรรมเกิดแล้วดับหรือเปล่า สิ่งที่หมุนเกิดแล้วดับหรือเปล่าจึงหมุน นี้เป็นการที่จะเริ่มเข้าใจว่า ธรรมเกิดดับๆ ไม่สิ้นสุดหมุนไปตลอด เข้าใจแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้ใช่ไหม
- เดี๋ยวนี้เข้าใจธรรมหรือยัง (ยัง) นี่เป็นเหตุที่ฟังเพื่อเข้าใจธรรมไม่ว่าจะสูตรไหน ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมายของคำนี้เต็มๆ ทั้งหมด “ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร” เราพูดคำว่า ธรรม คำว่า จักกะ แต่ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ดีไหมศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้และคำที่ใช้ ขอเชิญคุณคำปั่นให้คำแปลของคำว่า ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร
- (อ.คำปั่น - กราบเท้าท่านอาจารย์ ธรรมจักกัปปวัตตนสูตรมีคำว่า “ธมฺมจกฺก (ธรรมจักร) ” “ปวตฺตน (ปวัตตนะ) ” และ “สุตฺต (สูตร) ” พระสูตรที่ยังกงล้อแห่งธรรมให้เป็นไป นี่ก็คือความหมายของธรรมจักกัปปวัตตนสูตรซึ่งเป็นการแสดงพระธรรมครั้งแรกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งคำว่า “ธรรมจักร” มีความละเอียดด้วยที่ทรงแสดงไว้ในปฐมตถาคตสูตรซึ่งหมายถึงปัญญาที่แทงตลอดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงและปัญญาที่เป็นไปในการแสดงความเป็นจริงของธรรม) คุณสุคินจะแปลก่อนไหม
- (คุณสุคิน - ขอถามคุณคำปั่นว่า สรุปแล้วธรรมจักกัปปวัตตนสูตรหมายถึงปัญญาที่รู้ความจริงด้วยใช่ไหม)
- (อ.คำปั่น - ใช่ เพราะว่าพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งความจริงก่อนแล้ว และพระองค์ทรงแสดงธรรมให้เป็นไป คือ ทั้ง “ปฏิเวธญาณ” ปัญญาที่แทงตลอดธรรมตามความเป็นจริงและ “เทศนาญาณ” ปัญญาเป็นไปในการแสดงความเป็นจริงของธรรม)
- (คุณสุคิน - ปวัตตนะหมายถึงอะไร) (อ.คำปั่น - ปวัตตนะ คือ ให้เป็นไป) เราไม่ได้พูดภาษาบาลี เราไม่ได้รู้ความหมายของคำแต่สามารถจะรู้ความจริงได้ในทุกภาษา เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมไม่ใช่พูดตามคำ พูดตามคำแต่ไม่เข้าใจความหมายเลยได้ใช่ไหม ถามคุณปรียาก็ได้
- (คุณอาช่า - เป็นไปได้ที่พูดถูกใช้คำถูกแต่ไม่มีความเข้าใจ) เพราะฉะนั้นไม่ว่าในภาษาไหน เพื่อเข้าใจความจริง ถ้าพูดตามคำแปลแต่ไม่รู้จักธรรมจะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสได้ไหม
- สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จริงไหม แต่ไม่จบมีธรรมที่เกิดต่อทุกขณะ ธรรมเมื่อกี้นี้ดับแล้วไม่กลับมาอีกแต่เดี๋ยวนี้มีธรรมที่เกิดอีกแล้วก็ดับไปอีก นี่คือความหมายของ “ธรรมจักร” ไม่ว่าจะใช้คำว่า เหมือนล้อของธรรมก็คือ เกิดแล้วก็ดับๆ หมุนไปไม่จบ
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจ) เข้าใจอะไร (เข้าใจสิ่งที่มีจริง) เพื่อเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับไม่รู้จบ ธรรมเกิดดับตั้งแต่เกิด เดี๋ยวนี้กำลังเกิดดับ เกิดเห็น เกิดได้ยิน เกิดได้กลิ่น เกิดลิ้มรส เกิดรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เกิดคิดนึกแล้วก็หลับแล้วก็ตื่น จบหรือยัง เมื่อไหร่จะจบ (เมื่อบรรลุนิพพาน) แล้วจะบรรลุได้อย่างไร
- (คุณอาช่า - เดินทางที่เกี่ยวกับการดับกิเลส ดับทุกอย่าง) (คุณสุคิน - ทำไมไม่พูดว่าเป็นหนทางเจริญปัญญา) (คุณอาช่า- เพราะว่าไม่ใช่แค่ปัญญาอย่างเดียว พูดถึงบารมีด้วย เพราะฉะนั้นอาจจพูดว่า เป็นหนทางของปัญญาก็ไม่พอ) ก็เลยไปกันใหญ่ ”ศึกษาธรรม“ ไม่ใช่ไปกันใหญ่ (คุณสุคิน - อาช่าบอกว่า มีเหตุผลที่ไปกันใหญ่เพราะใกล้ถึงวันที่จะต้องไปพูดเรื่องนี้ ตามประสบการณ์แล้วคนจะถามเยอะ ถ้าความรู้น้อยเกินไปจะทำให้ไม่สามารถตอบได้ จึงอยากจะให้พูดถึงทุกอย่าวที่อยู่ในพระสูตร) เพื่อจะพูดตามใช่ไหม
- (คุณอาช่า - จะพูดตามเท่าที่ตัวเองเข้าใจ แต่จะพยายามให้เข้าใจมากที่สุด) พูดตามที่เรากำลังพูดอย่างนี้ดีกว่าไหม (คุณอาช่า - แต่ถึงเวลาคนถามจะถามหลาย) คนถามรู้อะไรไหม (เข้าใจว่า วิธีนี้ดีที่สุดแล้ว) เพราะฉะนั้นทำอย่างนี้ดีไหม
- เพราะฉะนั้นวันสำคัญทุกวันก็คือ วันที่ได้รู้จักธรรม มีคำว่า ”ธรรมจักร“ ต้องให้เขารู้จักธรรม คุณอาช่าจะพูดธรรมวันอาสาฬหบูชาเพื่ออะไร (เพื่อให้คนเข้าใจธรรม) เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จักธรรม ก็เริ่มให้เขาเข้าใจก่อน คนส่วนใหญ่ประมาทความลึกซึ้งของธรรม รู้ไหมถ้าไม่รู้ความลึกซึ้งของธรรม ไม่มีวันรู้จักธรรมเลย
- เพราะฉะนั้นไม่ว่าวันไหนหรือวันอาสาฬหบูชาก็เพื่อให้รู้จักธรรมให้เข้าใจธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นวันนั้นและวันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่คุถอาช่าจะแนะนำให้คนรู้จักความลึกซึ้งของธรรม ไม่อย่างนั้นเขาจะฟังเรื่องธรรมรู้จักเรื่องธรรมแต่ไม่รู้จักธรรมเลย เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ คุณอาช่าก็เริ่มกับเขาเหมือนเริ่มเดี๋ยวนี้เลยเพื่อปลูกฝังความเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม ไม่ต้องรีบร้อนพูดเรื่องอะไรมากมายโดยไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พูดเรื่องธรรมเป็นการเตือนให้เห็นความลึกซึ้งของธรรม
- เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีเห็น) เห็นมีจริงไหม (มี) เห็นเป็นอะไร (เป็นธรรม เป็นนามธาตุที่รู้ที่เกิดแล้วดับ) เห็นเดี๋ยวนี้เป็นอะไร (เป็นธรรม) ธรรมคืออะไร ธรรมมีเยอะแยะ ทำไมเห็นเป็นธรรม (เพราะว่าเกิดตอนนี้) รู้จักเห็นหรือยัง (ยัง) นั่นแหละจะได้ไม่ลืมว่า กำลังเห็นก็ไม่รู้จักเห็น
- เพราะฉะนั้นจะพูดเรื่องอื่นหรือว่าให้เข้าใจเห็นจนกว่าจะรู้จักเห็น (ก็ควรจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงตอนนี้) เพราะฉะนั้นไม่ไปไหนใช่ไหม เพราะกำลังเห็นก็ยังไม่รู้จักเห็นแล้วจะไปไหน ถ้าพูดเรื่องเห็นอีก ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเป็นประโยชน์ไหม นี่คืออริยสัจจธรรม ๓ รอบ
- ฟังให้รู้ว่าเห็นคืออะไรอย่างละเอียดยิ่ง เห็นลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้ง) เพราะอะไรจึงลึกซึ้ง (ในนัยที่ว่าเกิดอยู่มีอยู่แต่ไม่เข้าใจ) เห็นเกิดแล้วเห็นดับไม่รู้ แล้วจะรู้ได้ไหม เพราะฉะนั้นจะรู้ได้เพราะมีจริงเป็นปัญญาบารมี
- ปัญญาบารมีรู้อื่นหรือรู้เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้น (ปัญญาบารมีเข้าใจเห็นจนกระทั่งรู้จักเห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจเห็นเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจะเป็นบารมีให้ประจักษ์เห็นที่กำลังเกิดดับได้ไหม (ถ้าไม่เจริญความเข้าใจก็ไม่เป็นระดับนั้น
- ถ้าอ่านพระไตรปิฎกจบ พระสูตรเป็นเรื่องๆ จบ แต่ไม่รู้จักเห็นเดี๋ยวนี้เป็นบารมีหรือเปล่า (เป็นไปไม่ได้) เริ่มรู้จักธรรม เริ่มรู้ว่าต้องเข้าใจธรรมนั่นคือปัญญาบารมี
- ธรรมไม่ได้มีแต่เห็น ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจธรรมจริงๆ แต่ละหนึ่งอย่าง จะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมได้ไหม (ไม่ได้) แน่ใจไหม (แน่ใจ) นั่นคือสัจจบารมี ถ้าความเข้าใจไม่เปลี่ยนที่จะต้องมั่นคง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดที่กำลังเป็นธรรมที่เกิดดับนั่นคือหนทางเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔ ในอริยสัจจธรรม ๔
- เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนี้เป็นความเข้าใจอริยสัจจธรรมใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่คุณอาช่ากำลังเข้าใจเดี๋ยวนี้ก็จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจอย่างนี้ด้วย นี่คือ ธรรมจักกัปปวัตตนสูตรใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ เพียงพูดเรื่องธรรมจักกัปปวัตนสูตรเป็นธรรมจักกัปปวัตตนสูตรจริงๆ หรือเปล่า (ถ้ารู้แต่คำก็ไม่สามารถพูดได้ว่ากำลังพูดถึงธรรมจักกัปปวัตตนสูตร) เป็นประโยชน์ไหม
- เมื่อคุณอาช่าเข้าใจประโยชน์ของการฟังธรรมก็เป็นวันที่คุณอาช่าจะให้คนที่มาฟังในวันอาสาฬหบูชาได้เข้าใจประโยชน์ที่แท้จริงของการฟังธรรมด้วย เพราะฉะนั้นต้องเป็นความเข้าใจของคุณอาช่าเองจึงจะสามารถทำให้คนอื่นเห็นประโยชน์และเข้าใจธรรมได้
- เพราะฉะนั้นตอนนี้มีอะไรที่คุณอาช่าอยากจะสนทนาให้เข้าใจขึ้น เชิญถามได้เลย (คุณอาช่า - อยากจะคุยเรื่องอริยสัจจ์ที่ ๑ ที่ ๒ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ต่อเรื่องอริยสัจจ์ที่ ๓ และ ๔) ก็ดีที่ฟังแล้วรู้ว่า เราพูดแล้วเรื่องอริยสัจจ์ที่ ๑ ที่ ๒ และ ที่ ๔ เพราะฉะนั้นอริยสัจจะที่ ๓ ต้องต่างกับ ๑, ๒, ๔ ใช่ไหม
- หมายความว่าที่เราพูดมาแล้วเป็นอริยสัจจ์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ เพื่ออะไร (เพื่อความเข้าใจ) ง่ายจัง เพื่อให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจจะที่ ๑ และที่ ๒ ที่หมุนไปไม่หยุดเลย เห็นโทษไหม เห็นโทษของอะไร (คุณอาช่า - ที่เกิดแล้วดับไม่มีความหมายแต่ถ้าเจอความเข้าใจและบรรลุนิพพานขณะนั้นถึงจะพูดว่ามีควาหมาย)
- มีความหมาย ไม่มีความหมาย หมายความว่าอย่างไร ถามเขาสั้นๆ ให้เขาตอบสั้นๆ เขาจะได้คิด สั้นๆ ไปเรื่อยๆ ยาวๆ บางทีคิดไม่ออกแล้วก็ลืม รู้จักคำว่าประโยชน์ไหมภาษาฮินดี เพราะฉะนั้นโทษคือตรงกันข้ามกับประโยชน์ เวลาป่วยไข้เป็นโทษหรือเปล่า
- ไม่มีคำว่าโทษกับประโยชน์ในภาษาฮินดีหรือ เพราะฉะนั้นขอให้ยกตัวอย่างสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ (ขอตัวอย่างในนัยของธรรม) ธรรมทุกภาษามีความหมาย (คุณสุคิน - คุณอาช่ายกตัวอย่างเช่น ดื่มน้ำที่สกปรกเป็นโทษ) เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักความหมายของโทษคือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมแล้วเห็นโทษของธรรมที่เกิดดับหยุดไม่ได้หรือยัง (เห็นโทษน้อยมาก) ก็ยังดีกว่าไม่เห็นใช่ไหม ถ้าเข้าใจขึ้นค่อยๆ เห็นโทษเพิ่มขึ้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะเห็นโทษของเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับไม่หยุดไหม ฟังธรรมเท่านี้เห็นโทษแค่นี้ใช่ไหม (ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งเห็นโทษ) เพราะฉะนั้นเข้าใจเพียงเท่านี้พอไหม (ไม่พอ) นี้เป็นเหตุต้องฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจขึ้นจนกว่าจะเข้าใจว่า พระองค์ทรงกำลังแสดงความจริงของเดี๋ยวนี้
- เดี๋ยวนี้มีคุณอาช่าไหม (ไม่) แล้วมีอะไร (มีแต่ธรรม) อย่างนี้ทุกที ถามทีไรก็ธรรมๆ ๆ (มีเสียง) เสียงเป็นคุณอาช่าหรือเปล่า เสียงเป็นนกหรือเปล่า เสียงเป็นอะไร (เป็นรูปที่เกิดแล้วต้องดับ) เดี๋ยวนี้มีรูปอะไร (มีเสียง) มีอะไรอีก (มีหู มีกาย มีแข็ง มีร้อน) เกิดดับหรือเปล่า เดี๋ยวนี้หรือเปล่า รู้ได้ไหม (เวลานี้ยังไม่รู้) คำถามว่ารู้ได้ไหม (รู้ได้) จะรู้ได้อย่างไร (หนทางคืออย่างที่เราฟัง ฟังธรรมสนทนาธรรม) เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔ ใช่ไหม ถ้าไม่ใช่อริยสัจจ์ที่ ๔ เป็นอริยสัจจ์ที่ ๒ ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นกำลังมีอริยสัจจธรรมที่ ๒ หรือที่ ๔ (อริยสัจจ์ที่ ๒) นี่กำลังเป็นธรรมจักกัปปวัตตนสูตรหรือเปล่า ไม่รู้จบจนกว่าจะรู้หนทางที่จะจบ และจบคืออะไร (จบคือหมดเหตุ คือ นิพพาน) ก็เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๓ ถ้าเพียงบอกชื่อไม่เข้าใจแน่ แต่ต้องเข้าใจก่อนแล้วจึงจะรู้ว่า ชื่ออะไร ที่ไหน อย่างไร
- ผู้ที่รู้จักอริยสัจจธรรมที่ ๓ ถึงอริยสัจจธรรมที่ ๓ มีไหม (พระพุทธองค์) เท่านั้นหรือ (ทุกคนที่ฟังแล้วบรรลุนิพพานขั้นอรหัตตมรรค) ก่อนจะถึงอรหัตต์ต้องถึงอะไรก่อน (ถึงอนาคามี ก่อนอนาคามีถึงสกทาคามี ก่อนสกทาคามีถึงโสดาบัน) ก่อนโสดาบัน (ปุถุชน)
- จากปุถุชนจะเป็นโสดาบันได้อย่างไร (หนทางคือฟังธรรมแล้วเจริญความเข้าใจ) พูดชัดๆ (เข้าใจว่าหนทางคือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ) อยู่ไหน (ความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏแต่ละระดับ) ระดับไหน เดี๋ยวนี้เองขั้นไหน ระดับไหนของความเข้าใจ (เมื่อไหร่เกิดความเข้าใจก็เป็นขั้นปริยัติ) ไม่ใช่ค่ะ ถามว่า ความเข้าใจเดี๋ยวนี้อยู่ขั้นไหนระดับไหน (ขั้นปริยัติ)
- รู้จักปริยัติอะไรบ้าง (เริ่มเข้าใจ) ดีแล้ว เข้าใจอะไรบ้างทีละ ๑ (เข้าใจว่าที่ตอนนี้มีก็คือมีแต่ธรรม) เดี๋ยวก่อน ”มีแต่ธรรม“ ต้องธรรมทีละ ๑ ไม่ใช่มีแต่ธรรมแล้วไม่รู้อะไรเท่าไหร่ (ก่อนฟังไม่รู้ว่าเห็นมีจริง) รู้จักธรรม ๑ แล้ว หนึ่งเดียวเอง (เสียงที่ได้ยินก็เลือกไม่ได้…) กำลังจะนับว่า รู้จักธรรมอะไรบ้าง (คุคุณสุคิน - ถามเขาแล้วเขาพยายามนึกๆ ๆ แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจอย่างไร)
- ไม่ได้ถามอย่างนั้นเลย ถามว่า รู้จักธรรมอะไรกี่อย่างแล้วเดี๋ยวนี้ อย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร จะได้นับว่ารู้จักเท่าไหร่แล้ว (เห็น สี ตา ได้ยิน หู มีจับโทรศัพท์มือถือ) ได้อย่างไร โทรศัพท์มือถือ (คุณสุคิน - เขากำลังยกตัวอย่าง) ไม่ คุณสุคิณ ดิฉันกำลังต้องการรู้ว่า เขารู้ธรรมอะไร กี่อย่างบ้าง ชื่อบอกมาที่ละหนึ่งๆ จะได้นับถูกว่ารู้เท่าไหร่แล้ว นับใหม่ทีละ ๑
- (คุณอาช่า - เห็น) ๑ (สี) ๒ (ตา) ๓ นับได้สามเอง บอกมาเลยเท่าไหร่แล้ว มีแค่สาม (มีได้ยิน มีเสียง) ๔ ๕ (ความร้อน) ๖ (เจ็บขา) มีขาด้วยหรือ (รู้สึกเจ็บที่ขา) เพราะฉะนั้นเจ็บเป็น ๗ (กลิ่น) ๘ (รส) ๙ (รู้กลิ่น) ๑๐ (มีจมูก) มีเหรอ (หมายถึงปสาทรูป) ๑๑ (มีกายด้วย) ๑๒ (มีคิดด้วย) แล้วคิดเป็นอะไร (เป็นสิ่งที่มีจริง) แล้วเป็นอะไร (จิต) ๑๓ (คุณอาช่า - แค่นี้ก่อน จะให้นึกถึงแล้วตอบ…) ไม่ใช่ๆ ให้รู้ว่ามีธรรมอะไร มีก็ไม่รู้ไม่ได้บอก ทั้งๆ ที่กำลังมีแล้วจะรู้จักธรรมหรือ แค่นี้พอหรือ
- (คุณอาช่า - มีเคลื่อนไหว) เคลื่อนไหวเป็นอะไร ธาตุลม เท่าไหร่แล้ว ๑๔ แล้ว (ความรู้สึก) รู้สึกอะไร (ความรู้สึกที่ดีที่ฟังธรรมแล้วมีความสุข) ไม่ใช่ (คุณสุคิน - ไม่เข้าใจตรงนี้) ความรู้สึกไม่รู้จักหรือ ไม่มีหรือ (พูดถึงความรู้สึกเวลานี้มีความรู้สึก) ความรู้สึกอะไร รู้สึกอะไร รู้สึกอย่างไร (อย่างที่พูดแล้วว่า ฟังธรรมแล้วมีความสุข)
- ความสุขใช่ไหม ความรู้สึกเป็นสุขใช่ไหม แล้วอะไรอีก นี่เท่าไหร่แล้ว ๑๕ แล้ว (จำ) ๑๖ (มีความโกรธ) ๑๗ (ความไม่รู้ก็แน่นอน) ๑๘ (ความเป็นตัวตน) ๑๙ ทิฏฐิ (สัมผัสทางกาย) เป็นอะไร (เป็นจิต) ๒๐ (ตอนนี้รู้สึกหิว ความติดข้อง) หิวเป็นอะไรถ้าไม่พูด รู้จักไหม (คุณสุคิน - หิวเป็นความรู้สึก) รู้สึกอะไร (เป็นทุกขเวทนา) ถูกต้อง ทางกาย
- เพราะฉะนั้นมีทุกอย่างแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมก็เป็นเรา กว่าจะรู้ว่าหิวไม่ใช่เรา หิวเป็นหิว หิวเป็นธรรมจักกัปปวัตตนสูตรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาคุณอาช่าจะให้คนเข้าใจคุณอาช่าก็ต้องให้เขาเข้าใจธรรม ไม่ใช่ไปบอกเขาว่า ธรรมจักกัปปวัตตนสูตรคืออะไรแล้วเขาไม่รู้
- คุณอาช่าหิวหรือยัง (หิว) หิวไม่จบ หิวแล้วก็หิวอีกๆ ๆ ไม่สิ้นสุดจนกว่าจะเห็นโทษของทุกอย่างที่เกิดดับสืบต่อไม่รู้จบ เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์ไหม (เป็น) ทุกข์อะไร (เช่น เห็นเกิดแล้วดับ) ทุกข์อะไร (เป็นอริยสัจจ์ที่ ๑) เป็นอริยสัจจ์ที่ ๑ ที่เป็นทุกขทุกข อยากจะพ้นหรือยัง (ธรรมดาของคนที่ยังเข้าใจน้อยก็คงอยากจะไม่มี แต่การที่อยากจะไม่มีทุกข์ก็ไม่ได้เป็นหนทาง)
- ฟังไป ฟังไป ฟังไป จนกว่าจะเห็นโทษ เป็นอริยสัจจะหรือปล่า (เป็น) สัจจะไหน (อริยสัจจ์ที่ ๔) ถูกต้องค่ะ ยินดีด้วยในกุศลของทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลผู้ร่วมฟัง ร่วมสนทนาธรรมทุกๆ ท่านครับ