Thai-Hindi 28 June 2025
Thai-Hindi 28 June 2025
- (คุณอาช่า - อยากสนทนาเรื่องอริยสัจจ์ ๔ ต่อจากคราวที่แล้ว) ดีมาก เพราะเหตุว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังมีเดี๋ยวนี้ ได้ยินแต่คำได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่รู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่คำไม่ใช่ชื่อแต่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทั้งหมด จริงไหม (จริง) ถูกต้อง เริ่มรู้ว่าจริงแต่ยังไม่รู้สิ่งที่มีจริง
- ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้สามารถรู้ได้ จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อสามารถรู้ได้ ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้สามารถรู้ได้แน่นอนจึงเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกนานไหมกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (นานมาก) เพราะฉะนั้นการเข้าใจอย่างนี้สำคัญกว่าการจะรู้จักชื่อและจำนวน จริงไหม (จริง) นี้คือสัจจบารมี
- สัจจบารมีคือ ปัญญาที่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ว่าจริง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงด้วยคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งให้เข้าใจถูกต้องว่า แม้เพียง ๑ ที่มีก็รู้ยาก
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้จะพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่จะทำให้เข้าใจขึ้น เคยได้ฟังธรรมมาแล้ว คิดว่าพอหรือยัง (ยัง) แสดงว่าต้องฟังอีก ทุกคำที่เคยได้ยินมาแล้ว ฟังอีกเพื่อเข้าใจขึ้น เพราะสิ่งที่เราได้ฟังแล้วกำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ประมาทแม้แต่เพียงคำเดียว ทุกคำที่เคยได้ยินแล้ว ฟังอีกๆ เพื่อที่จะได้รู้ความจริง
- ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่จะพูดถึงมีเดี๋ยวนี้ จะเป็นประะโยชน์ไหม แต่สิ่งที่มีจริงแม้เดี๋ยวนี้ก็ต้องฟังจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ๔๕ พรรษา มีความลึกซึ้งตามลำดับ
- เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นเวลาที่จะกล่าวถึงธรรมคำหนึ่งเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมนั้น เพื่อละความไม่รู้และการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มิฉะนั้นไม่ชื่อว่า ศึกษาธรรม คำไหนก็ได้ ขอเชิญ ๑ คำที่จะกล่าวถึงต่อไปจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นจะได้เข้าใจขึ้น
- คุณอาช่าเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (เคารพ) ยังไม่พอจนกว่าจะเข้าใจขึ้นอีก เพราะฉะนั้นจะได้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นเมื่อเข้าใจขึ้นในคำที่คุณอาช่ากำลังจะพูดถึง
- (คุณอาช่า - กิเลส) กิเลสมีจริงไหม (มี) ทำไมรู้ว่ามี (รู้จากการที่สังเกตการกระทำทางกายทางวาจาของคนอื่น) วันนี้มีกิเลสอะไร (มีตลอดเวลาทั้งวัน เห็นอะไรที่ไม่พอใจก็โกรธ) ถามว่า วันนี้มีกิเลสอะไร (ความเป็นตัวตน) เมื่อไหร่ (เช่นตอนนี้คิดเรื่องไม่มีน้ำ เป็นห่วงว่าจะทำอย่างไรต่อ แม้จะฟังธรรมก็คิดเรื่องอื่น) ยาวมาก
- (คุณอาช่า - ตอนนี้ “ฉัน” กำลังฟังอยู่) เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่พูดเป็นอาช่าใช่ไหม เป็นอาช่าเพราะไม่รู้ว่า ขณะนั้นไม่รู้ความจริง ขณะใดที่ไม่รู้แต่มีความเป็นอาช่าขณะนั้นเป็น “ทิฏฐาสวะ” เห็นไหม มีกิเลสตลอดเวาที่ไม่รู้ จริงไหม แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เมื่อทรงบำเพ็ญพระบารมี
- ถ้าไม่เห็นโทษของความไม่รู้ก็จะไม่เห็นประโยชน์ของการที่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็อยากรู้นั่น อยากรู้นี่ แต่ไม่ฟังด้วยการเห็นประโยชน์ว่า แต่ละคำต้องรู้ ไม่ใช่เรื่องยาวๆ ความไม่รู้ทำให้สนใจที่จะรู้เรื่องยาวๆ เป็นอย่างนั้นใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นเราพูดถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เพื่อจะได้ไม่อยากรู้เรื่องยาวๆ การคิดเรื่องยาวๆ เป็นคุณอาช่าทั้งหมด แต่การเริ่มรู้ความจริงของธรรมแต่ละ ๑ จะรู้ว่า ไม่มีคุณอาช่าที่อยากจะรู้เรื่องยาวๆ
- เดี๋ยวนี้กำลังเบื่อที่จะรู้ธรรมที่ละ ๑ ใช่ไหม (คุณอาช่า - ไม่รู้สึกว่าเบื่อ) เริ่มเห็นประโยชน์ขอบการที่จะเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ทีละ ๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องธรรมที่ละ ๑ เดี๋ยวนี้ว่าอย่างไร อะไรบ้าง
- (คุณอาช่า - กิเลสคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่) กิเลสๆ ๆ ๆ กิเลสอะไร (ทิฏฐาสวะเป็นกิเลสหนึ่งที่ท่านอาจารย์กล่าว แต่วันนี้ยกเรื่องกิเลสขึ้นมาเพราะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร) เดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม (มี) รู้ไหม (ไม่) ความไม่รู้มีจริงไหม (มีจริง) เป็นอริยสัจจธรรมหรือเปล่า (เป็น) ถ้าไม่ถามจะคิดถึงไหม (ไม่) กำลังมีก็ไม่รู้จึงต้องถามให้รู้
- ความไม่รู้มากไหม (มาก) ไม่รู้อะไรบ้าง (ไม่รู้ความจริง) อะไรบ้าง (เช่น มีเสียงตอนนี้ ไม่เข้าใจ มีเห็น ไม่เข้าใจ มีสี ไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นไม่เข้าใจทั้งวันใช่ไหม (เป็นอย่างนั้น) ทุกวันใช่ไหม (ใช่) จึงมีคำว่า “มหาอวิชชา” ในพระไตรปิฎก กำลังเรียนอริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ เดี๋ยวนี้ใช่ไหม
- นอนหลับมีอาสวะไหม (ไม่มี) ไม่มีอาสวะแล้วมีอะไร (มีอนุสัย) ถูกต้องเพราะฉะนั้นกิเลสมีหลายระดับ กำลังนอนหลับไม่มีอาสวะแต่มีอนุสัย ตื่นขึ้นมีอะไร (มีอาสวะ) ถูกต้อง แล้วเวลาที่กำลังอยากได้อยากอื่นเป็นอาสวะหรือเปล่า (มีอาสวะรู้ว่าต้องการ) เวลาต้องการ รู้ว่าต้องการ ไม่ใช่อาสวะ เป็นกิเลส
- เพราะฉะนั้นตื่นขึ้นมาเหมือนไม่ได้มีกิเลสแต่มีแล้วใช่ไหม นั่งเดี๋ยวนี้ อยากได้อะไรหรือเปล่า (มี) ขณะนั้นเป็นกิเลสอะไร ระดับไหน (น่าจะเป็นอาสวะ) ถ้าชอบ รู้ว่าชอบแล้ว ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นตื่นขึ้นมาอาสวะตลอดจนกว่าจะรู้สึกว่าชอบอะไร ขณะนั้นก็ไม่ใช่อาสวะเพราะว่าปรากฏอาการของกิเลส
- ขณะที่กำลังฟังธรรม เข้าใจธรรมและช่วยเหลือคนอื่นทำสิ่งที่ดี ขณะนั้นมีอาสวะไหม (ไม่มี) ถูกต้อง แล้วมีอะไร (มีอนุสัย) แต่ไม่มีอาสวะขณะนั้นใช่ไหม (ใช่) ทำไมไม่มีอาสวะ (เพราะเป็นกุศล) ง่ายดีนะ แล้วอะไรเป็นกุศลขณะนั้น (ไม่รู้ ประมาณเอา) พระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไว้หรือว่า ขณะนั้นเป็นอะไร (พระพุทธองค์ชี้ให้ทราบว่ามีกุศลจิตและกุศลเจตสิกต่างๆ)
- เพราะฉะนั้นเจตสิกที่เป็นกุศลขณะนั้นมีอะไรบ้าง (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) เท่านั้นหรือ เรากำลังศึกษาธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษาโดยละเอียดยิ่งเพราะรู้ว่า เพียงเท่านี้ไม่พอ (นอกจาก ๓ เจตสิกนั้นแล้วมีสติด้วย) ๔ แล้ว เห็นไหม ถ้าเราไม่พูดถึงธรรม จะรู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ลืมไปเลย เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม
- สติคืออะไร (เป็นเจตสิก) เท่านั้นหรือ ทุกอย่างเป็นเจตสิกเท่านั้นหรือ (เป็นเจตสิกที่เกิดเฉพาะกับกุศลจิต) แต่โสภณเจตสิกเกิดร่วมกันเท่านั้นหรืแไม่มีต่างกันแต่ละหนึ่งๆ หรือจะได้รู้ว่า ไม่ใช่เรา เป็นขั้นเริ่มต้นถ้าไม่มีความเข้าใจละเอียดมั่นคง จะไม่มีอริยสัจจะที่ ๒ อริยสัจจะที่ ๓ ได้เลย
- ถ้าไม่พูดให้เข้าใจขึ้นว่า เดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไรบ้างจะสามารถค่อยๆ ละความเป็นเราได้ไหม ทุกอย่างเป็นธรรมก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่เป็นเจตสิกก็ไม่รู้แล้วจะรู้อะไร รู้แต่ชื่อไม่มีประโยชน์เลย
- เพราะฉะนั้นโสภณเจตสิกที่ดีไม่ใช่มีแต่อโลภะ อโทสะ อโมหะ ขณะที่เป็นกุศลไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นกุศลมีเจตสิกอะไรบ้างจึงเป็นกุศล ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นทุกวันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อะไรเป็นโสภณเจตสิก เพียงบอกว่า เป็นโสภณเจตสิกไม่พอเพราะ “มหาอวิชชา” มากเหลือเกิน
- เพราะฉะนั้นถ้าเราเริ่มฟังเรื่องเจตสิกจะค่อยๆ รู้ว่า ขณะที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เรา เป็นเจตสิกนั้นเท่านั้น ฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจอริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ เป็นธรรมที่มีจริงเป็น “สัจจธรรม” จนกว่าประจักษ์ความจริงจึงเป็น ”อริยสัจจธรรม“ เดี๋ยวนี้กำลังศึกษาสัจจธรรมของกุศลธรรม
- เพราะฉะนั้นอโลภะ อโทสะ อโมหะ ไม่พอต้องมีอีกที่เป็นโสภณเจตสิกและโสภณเจตสิกเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีโสภณเจตสิกอื่นๆ อาศัยกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสนทนาธรรมเพื่อที่จะได้รู้ว่า ขณะนี้มีโสภณเจตสิกอะไรบ้าง
- โสภณเจตสิกทั้งหมดมีเท่าไหร่ (คุณอาช่า - ไม่ทราบ) ใครทราบบอกด้วย มีหลายคนที่นี่ใครที่ทราบโสภณเจตสิกมีเท่าไหร่ บอกด้วย โสภณเจตสิกต้องอาศัยกันเกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม เป็นสังขารขันธ์
- สังขารขันธ์เป็นสังขารธรรมหรือเปล่า (เป็น) สังขารธรรมเป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องชัดเจน นี่คือเดี๋ยวนี้เพื่อเข้าใจความจริงของธรรมแต่ละ ๑ ไม่ปะปนกัน
- ถามว่า สังขารธรรมอะไรเป็นโสภณ (คุณอาช่า - นึกได้ ๔ อย่าง อโลภะ อโทสะ อโมหะ สติ) มากกว่า ๔ ดีไหม เราจะได้เข้าใจขึ้น เคยได้ยินคำว่า ศรัทธา ไหม (เคยได้ยิน) เป็น ๕ แล้วใช่ไหม
- ศรัทธากับสติต่างกันอย่างไร (คุณอาช่า - สติเป็น awareness ศรัทธาเป็นความเชื่อมั่นในกุศล) นี่เป็นสิ่งที่เราคิดแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร
- ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่สะอาดผ่องใส เพราะฉะนั้น ศรัทธาเกิดแล้วอกุศลเข้ามาใกล้หรือเกิดร่วมด้วยไม่ได้เลยเพราะอกุศลไม่สะอาด มีคำอุปมาที่พอจะเข้าใจได้ ศรัทธาเหมือนสารส้มที่ทำให้สิ่งที่เกิดร่วมด้วย เช่น น้ำ สะอาดแความสะอาดของศรัทธายากที่จะรู้ได้แเพราะฉะนั้นต้องศึกษาธรรมโดยละเอียด คนส่วนใหญ่คิดว่า ศรัทธาเป็นความเชื่อ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยธรรมอื่นจึงสามารถที่จะเริ่มเข้าใจศรัทธาได้
- คนไทยใช้คำภาษาบาลีที่ยังไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดและคิดว่าภาษาอื่นก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นศรัทธาเกิดพร้อมโสภณเจตสิกอื่นๆ โสภณเจตสิกเกิดพร้อมกันอย่างน้อยกี่ประเภท (ไม่เคยได้ยิน) ไม่เคยไม่เป็นไร แต่ต้องรู้จักโสภณเจตสิกที่ละ ๑ ไม่ใช่จำเพียงจำนวนและชื่อ
- คุณอาช่าเคยได้ยินคำว่า ศรัทธา ไหม เคยพูดคำว่า ศรัทธา ไหม (คุณอาช่า - คำว่า ศรัทธาเป็นคำที่ใช้กันเยอะในอินเดีย ส่วนใหญ่หมายถึงความเชื่อ) เพราะฉะนั้นความเชื่อผิดมีไหม (ผิดก็มี) เพราะฉะนั้นความเชื่อที่เขาคิดว่าเป็นศรัทธาไม่ใช่ศรัทธาแน่นอนเพราะศรัทธาต้องเป็นโสภณ
- ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมจะพูดผิดๆ เพราะเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจ ศรัทธาเป็นเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่สะอาด ขณะใดที่ศรัทธาเกิดจะมีอกุศลใดๆ เกิดกับจิตไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อไม่ศรัทธาแน่นอน สงสัยไหม เข้าใจหรือยัง
- ขอให้คุณอาช่ายกตัวอย่างของคนที่ใช้คำว่าศรัทธาผิด (เช่น ชาวพุทธส่วนใหญ่นับถือพระพุทธองค์แต่ไม่มีความเข้าใจ แล้วเอาดอกไม้ไปถวายพระพุทธรูป) เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า ขณะใดที่เป็นอกุศลขณะนั้นไม่ใช่ศรัทธา
- เพราะฉะนั้นมีโสภณเจตสิกเท่าไหร่แล้ว (๕) อะไรบ้าง (อโลภะ อโทสะ อโมหะ สติ ศรัทธา) และเคยได้ยินคำอื่นไหมที่เป็นโสภณเจตสิก (กรุณา) กรุณาคืออะไร เมื่อไหร่ (เวลาเห็นใจคนอื่นว่า ขาดอะไร เช่น ขาดทรัพย์ ไม่มีความเข้าใจธรรมว่า ว่าไม่มีอะไรและอยากจะช่วย)
- เดี๋ยวนี้คุณอาช่ากรุณาใครหรือเปล่า (ไม่มีกรุณา) แล้วมีกรุณาบ้างไหม เมื่อไหร่ (มีบ้าง) พระสัมมาสัมพทุธเจ้าทรงมีกรุณาไหม (มี) เมื่อไหร่ (ตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เพราะกรุณาถึงทรงสอนสัตว์โลก) ตรัสรู้อะไร (ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง) แน่นอน พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้สิ่งที่ไม่มีจริงได้หรือ
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร (รูปนามที่เกิดแล้วดับ) ลืมอริยสัจจธรรม ๔ หรือ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีกรุณาไหม (มี) เมื่อไหร่ (พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสรู้เพื่อพระองค์เองแต่ทรงแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้เข้าใจ) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมี “พระมหากรุณา”
- เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาขณะที่ทรงแสดงพระธรรมไหม (มี) ทรงมีเมตตาไหม (มี) ทรงมีมุทิตาไหม (มี) เมื่อไหร่ (เมื่อพระองค์ทราบว่าได้ผลที่ดีจากการที่ฟัง) เมื่อพระอัญญาโกญทัญญะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม และเมื่อสัตว์โลกรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเพราะสัตว์โลกไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงให้สัตว์โลกรู้
- คุณอาช่ามีมหากรุณาไหม (ไม่ได้) ไม่มี มีกรุณาแต่ไม่มีพระมหากรุณา มีเจตสิกเท่าไหร่แล้วที่เป็นโสภณเจตสิก (๖) อะไรบ้าง (อโลภะ อโทสะ อโมหะ สติ กรุณา ศรัทธา) มุทิตาไม่มีหรือ พระพุทธเจ้าทรงมีมุทิตาไหม รู้จักมุทิตาแล้วใช่ไหม (คุณสุคิน - รวมมุทิตาเป็น ๗)
- แล้วมีอะไรที่ลืมบ้างไหม (คุณอาช่า - อุเบกขา) เป็นเจตสิกหรือเปล่า เป็นเจตสิกอะไร ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก เขาเข้าใจแล้วใช่ไหม (คุณสุคิน - ยกตัวอย่างไปว่า ส่วนใหญ่เราจะเดือดร้อนตอนที่เห็นคนอื่นเดือดร้อน แสดงว่าตอนนั้นจิตหวั่นไหวไม่ได้เป็นกุศล ถ้าเป็นกุศลก็ไม่หวั่นไหว นั่นคือกิจของตัตรมัชฌัตตตา) เขาเข้าใจดีแล้วนะคะ
- เวลาให้ของเพื่อวันเกิดเป็นตัตรมัชฌัตตตาหรือเปล่า (ไม่) เพราะอะไร (เพราะรู้สึกดีใจ) ดีใจเป็นกุศลได้ไหม (เข้าใจว่า ความรู้สึกสุขเวทนาเกิดกับกุศลก็ได้อกุศลก็ได้ ตอนที่ให้ของเพื่อนมีความติดข้องมีตัตรมัชฌัตตตาไม่ได้) นี่เป็นเหตุที่เราต้องศึกษา ถ้าเราถามไม่พูดถึงตัวอย่าง เขาก็อาจจะไม่เข้าใจความละเอียด
- เวลาที่ให้แล้วหวังว่าจะเกิดในสวรรค์เป็นตัตรมัชฌัตตตาหรือเปล่า (คุณอาช่า - ไม่มีเพราะว่าเป็นโลภะทำด้วยความติดข้อง) เพราะฉะนั้นธรรมละเอียดมากต่างขณะ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ละเอียดขึ้นๆ จะละอกุศลไม่ได้
- คุณอาช่ามีตัตรมัชฌัตตตามากไหม (มีน้อยมาก) เวลานอนหลับมีตัตรมัชฌัตตตาไหม (เป็นไปได้) อย่าใช้คำว่าเป็นไปได้ (มีตัตรมัชฌัตตตา) ถูกต้อง เพราะอะไร (อยู่ในภูมิมนุษย์เป็นผลของกรรมที่ดี) นั่นสิ แล้วทำไมเวลาหลับสนิทถึงได้มีโสภณเจตสิกเกิด (เพราะว่าผลของกุศลที่ทำให้เกิดเป็นโสภณเจตสิกที่เกิดด้วย)
- เวลาหลับสนิทอกุศลเจตสิกเกิดด้วยได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเวลานอนหลับสนิทโสภณเจตสิกเกิดได้ไหม (ได้) เพราะอะไร ต่างกันอย่างไร (เพราะถ้าเป็นผลของกุศลกรรม เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตต้แงเป็นโสภณ) แล้วที่เป็นผลของอกุศลกรรมหล่ะ (เป็นอกุศลเจตสิก)
- เพราะฉะนั้นก็ให้เขาคิดแล้วคราวหน้าตอบ ก็ยินดีในกุศลนะคะ สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์
กราบอนุโมทนาคณะอาจารย์ เจ้าหน้าที่ มศพ. อาสาสมัครทุกท่าน
ยินดีในส่วนกุศลของผู้ร่วมสนทนาและผู้ฟังทุกๆ ท่านครับ
ถ้าไม่เห็นโทษของความไม่รู้ก็จะไม่เห็นประโยชน์ของการที่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็อยากรู้นั่น อยากรู้นี่ แต่ไม่ฟังด้วยการเห็นประโยชน์ว่า แต่ละคำต้องรู้ ไม่ใช่เรื่องยาวๆ ความไม่รู้ทำให้สนใจที่จะรู้เรื่องยาวๆ เป็นอย่างนั้นใช่ไหม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ บารมีทุกประการของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยครับที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ



