ความไม่รู้มีจริงไหม? [มหาอวิชชาในพระไตรปิฏก] _สนทนาธรรมไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๘

 
เมตตา
วันที่  29 มิ.ย. 2568
หมายเลข  50281
อ่าน  472

อาช่า: อยากสนทนาเรื่องอริยสัจจ์ ๔ ที่เราสนทนากันอาทิตย์ที่แล้วต่อค่ะ

ท่านอาจารย์: ดีมากนะ เพราะเหตุว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังมีเดี๋ยวนี้ ได้ยินแต่คำ ได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่คำไม่ใช่ชื่อ แต่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมด จริงไหม?

อาช่า: จริงค่ะ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เริ่มรู้ว่า จริง แต่ยังไม่รู้สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่รู้ว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้สามารถรู้ได้ จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อสามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้รู้ได้แน่นอน จึงเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อีกนานไหม กว่าจะเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

อาช่า: ใช้เวลานานมากครับ

ท่านอาจารย์: การเข้าใจอย่างนี้ สำคัญกว่าการที่จะรู้จักชื่อ และจำนวน จริงไหม?

อาช่า: จริงค่ะ

ท่านอาจารย์: นี่คือสัจจบารมี สัจจบารมี คือปัญญาที่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ว่าจริง

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ด้วยคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ให้เข้าใจถูกต้องว่า แม้เพียงหนึ่งที่มีก็รู้ยาก

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้จะพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่จะทำให้เข้าใจขึ้น เคยได้ฟังธรรมมาแล้ว คิดว่าพอแล้วหรือยัง?

อาช่า: ไม่พอค่ะ

ท่านอาจารย์: แสดงว่า ต้องฟังอีก ทุกคำที่คุณอาช่าเคยได้ยินมาแล้ว ฟังอีกเพื่อเข้าใจขึ้น เพราะสิ่งที่เราได้ฟังแล้ว กำลังมีเดี๋ยวนี้

ไม่ประมาทแม้แต่เพียงคำเดียว ทุกคำที่เคยได้ยินแล้ว ฟังอีกๆ ๆ เพื่อที่จะได้รู้ความจริง ถ้าไม่รู้ว่า สิ่งที่จะพูดถึงมีจริงเดี๋ยวนี้ จะเป็นประโยชน์ไหม?

อาช่า: ไม่เป็นประโยชน์ค่ะ

ท่านอาจารย์: แต่สิ่งที่มีจริงแม้เดี๋ยวนี้ ก็ต้องฟัง จนประจักษ์แจ้งความจริง

ทุกคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ๔๕ พรรษา มีความลึกซึ้งตามลำดับ เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นเวลาที่จะกล่าวถึง ธรรมคำหนึ่ง เพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมนั้น เพื่อละความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มิเช่นนั้น ไม่ชื่อว่า ศึกษาธรรม

คำไหนก็ได้ค่ะ ขอเชิญ ๑ คำที่จะกล่าวถึงต่อไป จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าใจขึ้น

คุณอาช่าเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม?

อาช่า: เคารพค่ะ

ท่านอาจารย์: ยังไม่พอ จนกว่าจะเข้าใจขึ้นอีก เพราะฉะนั้น จะได้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นเมื่อเข้าใจขึ้น คำที่คุณอาช่าจะพูดถึง เชิญค่ะ คำไหน?

อาช่า: กิเลสค่ะ

ท่านอาจารย์: กิเลสมีจริงไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ทำไมรู้ว่ามี?

อาช่า: รู้จักการที่สังเกตุในชีวิตประจำวันตัวเอง การกระทำทางกาย ทางวาจา กับคนอื่นค่ะ

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่..

มหาอวิชชาอันมีวัฏฏะเป็นมูล [สคาถวรรค]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 29 มิ.ย. 2568

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 304

ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงวิสัชนาปัญหานั้น จึงตรัสคำว่า วิชฺชา อุปฺปตตํ เป็นอาทิ แปลว่า

บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น วิชชา (ความรู้) เป็นประเสริฐ บรรดาสิ่งที่ตกไป อวิชชาเป็นประเสริฐ บรรดาสิ่งที่เดินด้วยเท้า พระสงฆ์เป็นประเสริฐ บรรดาชนผู้แถลงคารม พระพุทธเจ้าเป็นประเสริฐ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิชฺชา ได้แก่ วิชชาในมรรค ๔ เพราะว่าวิชชานั้น เมื่อเกิดย่อมถอนขึ้นซึ่งอกุศลธรรมทั้งปวง.

ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วิชฺชา อุปฺปตตํ เสฏฺา แปลว่า บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น วิชชาเป็นประเสริฐ.

บทว่า อวิชฺชา ได้แก่ มหาอวิชชาอันมีวัฏฏะเป็นมูลเพราะอวิชชาที่ตกไป นั่นเป็นสิ่งประเสริฐกว่าสิ่งที่ตกไป คือที่จมลงไป.


ท่านอาจารย์: วันนี้มีกิเลสอะไร?

อาช่า: ก็มีอยู่ตลอดเวลาทั้งวันตั้งแต่ตื่นมา ตื่นมาก็เห็นอะไรที่ไม่พอใจก็โกรธค่ะ

ท่านอาจารย์: ถามว่า วันนี้มีกิเลสอะไร?

อาช่า: ความเป็นตัวตนค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?

อาช่า: อย่างเช่นตอนนี้ก็นั่งคิดเรื่องไม่มีน้ำ แล้วก็เป็นห่วงว่าจะทำอย่างไรต่อ แม้ว่านั่งฟังธรรมอยู่ แต่ใจก็ไปที่โน่นที่นี่ด้วยความเป็นห่วงค่ะ

ท่านอาจารย์: ยาวมาก

อาช่า: ตอนนี้ก็ขั้นฟังอยู่

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตลอดเวลาที่พูดเป็นอาช่าใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นอาช่า เพราะไม่รู้ว่า ขณะนั้นไม่รู้ความจริง

เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่รู้ แต่มีความเป็นอาช่า ขณะนั้นเป็นทิฏฐาสวะ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม มีกิเลสตลอดเวลาที่ไม่รู้ ใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เมื่อทรงบำเพ็ญพระบารมี ถ้าไม่เห็นโทษของความไม่รู้ ก็จะไม่เห็นประโยชน์ของการที่รู้ความจริง

เมื่อไม่รู้ความจริง ก็อยากรู้นั่นอยากรู้นี่ แต่ไม่ฟังด้วยการเห็นประโยชน์ว่า แต่ละคำต้องรู้ ไม่ใช่รู้เรื่องยาวๆ

ความไม่รู้ ทำให้สนใจที่จะรู้เรื่องยาวๆ เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราพูดถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่อยากรู้เรื่องยาวๆ การคิดเรื่องยาวๆ เป็นอาช่าทั้งหมด

แต่การเริ่มรู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง จะรู้ว่า ไม่มีคุณอาช่าที่อยากจะรู้เรื่องยาวๆ

เดี๋ยวนี้กำลังเบื่อที่จะรู้ธรรมทีละหนึ่งใช่ไหม?

อาช่า: ไม่รู้สึกว่าเบื่อค่ะ

ท่านอาจารย์: เริ่มเห็นประโยชน์ของการที่จะต้องเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องธรรมทีละหนึ่งเดี๋ยวนี้ว่าอย่างไร อะไรบ้าง?

อาช่า: อย่างเช่น กิเลสที่มีจริง แล้วก็มีอยู่

ท่านอาจารย์: กิเลสๆ ๆ ๆ อะไร?

อาช่า: เมื่อกี้ท่านอาจารย์กล่าวถึง ทิฏฐาสวะ เลยเข้าใจว่านั่นคือกิเลสหนึ่ง แต่ที่ยกเรื่องกิเลสขึ้นมาก็เพราะอยากจะฟังเรื่องกิเลส และไม่แน่ใจว่า มันคืออะไรค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีกิเลส?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: รู้ไหม?

อาช่า: ไม่รู้ค่ะ

ท่านอาจารย์: ความไม่รู้มีจริงไหม?

อาช่า: มีจริงค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นอริยสัจจธรรมหรือเปล่า?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ถาม จะคิดถึงไหม?

อาช่า: ไม่ค่ะ

ท่านอาจารย์: กำลังมีก็ไม่รู้ จึงต้องถามให้รู้

ความไม่รู้มากไหม?

อาช่า: มากค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่รู้อะไรบ้าง?

อาช่า: ไม่รู้ความจริงค่ะ

ท่านอาจารย์: อะไรบ้าง?

อาช่า: เช่น มีเสียงตอนนี้ไม่เข้าใจ มีเห็นไม่เข้าใจ มีกลิ่นไม่เข้าใจ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจทั้งวันใช่ไหม?

อาช่า: เป็นอย่างนั้นค่ะ

ท่านอาจารย์: ทุกวันใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: จึงมีคำว่า มหาอวิชชาในพระไตรปิฏก

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: กำลังเรียนอริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ ใช่ไหม เดี๋ยวนี้?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: นอนหลับมีอาสวะไหม?

อาช่า: ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่มีอาสวะ แล้วมีอะไร?

อาช่า: มีอนุสัยค่ะ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เพราะฉะนั้น กิเลสมีหลายระดับ

กำลังนอนหลับไม่มีอาสวะแต่มีอนุสัย ตื่นขึ้นมีอะไร?

อาช่า: มีอาสวะค่ะ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง แล้วเวลาอยากได้อย่างอื่นเป็นอาสวะหรือเปล่า?

อาช่า: มีอาสวะค่ะ เวลาต้องการ

ท่านอาจารย์: เวลาต้องการ ไม่ใช่อาสวะ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นกิเลส เพราะฉะนั้น ตื่นขึ้นมาเหมือนไม่ได้มีกิเลสแต่มีแล้ว ใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: นั่งเดี๋ยวนี้ ชอบอะไรหรือเปล่า อยากได้อะไรหรือเปล่า?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นกิเลสอะไร ระดับไหน?

อาช่า: น่าจะเป็นอาสวะค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าชอบ รู้ว่าชอบแล้วค่ะ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ต่างกันแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ตื่นขึ้นมาอาสวะตลอด จนกว่าจะรู้สึกว่าชอบอะไร ขณะนั้นก็ไม่ใช่อาสวะ เพราะว่าปรากฏอาการของกิเลส

อาช่า: ค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 29 มิ.ย. 2568

ท่านอาจารย์: ขณะที่ฟังธรรม เข้าใจธรรม และช่วยเหลือคนอื่น ทำสิ่งที่ดี ขณะนั้นมีอาสวะไหม?

อาช่า: ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง แล้วมีอะไร?

อาช่า: มีอนุสัยค่ะ

ท่านอาจารย์: แต่ไม่มีอาสวะขณะนั้นใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ทำไมไม่มีอาสวะ?

อาช่า: เพราะเป็นกุศลค่ะ

ท่านอาจารย์: ง่ายดีนะ แล้วอะไรเป็นกุศลขณะนั้น

อาช่า: ไม่รู้ค่ะ ก็ประมาณเอา

ท่านอาจารย์: พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงไว้หรือว่า ขณะนั้นเป็นอะไร?

อาช่า: พระพุทธองค์ชี้ให้ทราบว่า ตอนนั้นจิตก็เป็นกุศล มีเจตสิกที่เป็นกุศลต่างๆ เกิดร่วมด้วยค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เจตสิกที่เป็นกุศลขณะนั้น มีอะไรบ้าง

อาช่า: อโลภะ อโทสะ อโมหะ ค่ะ

ท่านอาจารย์: เท่านั้นเองหรือ? เรากำลังศึกษาธรรม เห็นไหม? ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษาโดยละเอียดยิ่ง เพราะรู้ว่าเพียงแค่นี้ไม่พอ

อาช่า: นอกจาก อโลภะ อโทสะ อโมหะ แล้ว ก็มีสติด้วยค่ะ

ท่านอาจารย์: ๔ แล้วนะ เห็นไหมว่าถ้าเราไม่พูดถึงธรรม เราจะรู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ลืมไปเลย

อาช่า: ถ้าไม่รู้ธรรมต่างๆ ก็ไม่มีวันหมดความเป็นตัวตน

ท่านอาจารย์: ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม สติคืออะไร?

อาช่า: เป็นเจตสิกค่ะ

ท่านอาจารย์: เท่านั้นหรือ? ทุกอย่างเป็นเจตสิกเท่านั้นหรือ?

อาช่า: เป็นเจตสิกที่เกิดพร้อบกับกุศลจิตค่ะ

ท่านอาจารย์: ใช่ค่ะ แต่โสภณเจตสิกเกิดร่วมกันเท่านั้นหรือ ไม่มีต่างกันแต่ละหนึ่งๆ หรือ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรา นี่เป็นอริยสัจจธรรมรอบแรกใช่ไหม?

ถ้าไม่พูดให้เข้าใจขึ้นว่า เดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไรบ้าง จะสามารถค่อยๆ ละความเป็นเราได้ไหม? ทุกอย่างเป็นธรรมก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่เป็นเจตสิกก็ไม่รู้

แล้วจะรู้อะไร รู้แต่ชื่อ ไม่มีประโยชน์เลย

เพราะฉะนั้น โสภณเจตสิกที่ดี ไม่ใช่มีแต่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

ขณะที่เป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นกุศลมีเจตสสิกอะไรบ้าง จึงเป็นกุศล?

ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้น ทุกวันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อะไรเป็นโสภณเจตสิก เพียงบอกว่าเป็นโสภณเจตสิก ไม่พอ เพราะมหาวิชชามากเหลือเกิน

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเริ่มฟังเรื่องเจตสิก จะค่อยๆ รู้ว่า ขณะที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เรา เป็นเจตสิกนั้นเท่านั้น

ฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจอริยสัจจธรรมรอบที่ ๑ เป็นธรรมที่มีจริงเป็นสัจจธรรม จนกว่าประจักษ์ความจริงจึงเป็นอริยสัจจธรรม

เดี๋ยวนี้กำลังศึกษาสัจจธรรมของกุศลธรรม

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 29 มิ.ย. 2568

เดี๋ยวนี้กำลังศึกษาสัจจธรรมของกุศลธรรม

เพราะฉะนั้น อโลภะ อโทสะ อโมหะ ไม่พอค่ะ มีอีกที่เป็นโสภณเจตสิก และโสภณเจตสิกเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีโสภณเจตสิกอื่นๆ อาศัยการเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น สนทนาธรรมที่จะได้รู้ว่า นี้มีโสภณเจตสิกอะไรบ้าง?

โสภณเจตสิกทั้งหมดมีเท่าไหร่?

อาช่า: ไม่ทราบค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่ทราบ ใครทราบ ตอบด้วย มีหลายคนที่นี่ ใครทราบว่าโสภณเจตสิกมีเท่าไหร่ บอกเลย?

โสภณเจตสิกต้องอาศัยกันเกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม

สังขารขันธ์เป็นสังขารธรรมหรือเปล่า?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: สังขารธรรมเป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า?

อาช่า: เข้าใจแล้วค่ะว่า สังขารธรรม ไม่ใช่ว่าต้องเป็นสังขารขันธ์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องชัดเจนนะ นี่คือเดี๋ยวนี้ เพื่อเข้าใจความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกัน

ถามว่า สังขารธรรมอะไรเป็นโสภณะ?

อาช่า: อโลภะ อโทสะ อโมหะ แล้วก็สติ ที่เป็นสังขารธรรมที่เป็นโสภณะค่ะ

ท่านอาจารย์: มากกว่า ๔ ดีไหม จะได้เข้าใจขึ้น?

อาช่า: ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: เคยได้ยินคำว่า ศรัทธา ไหม?

อาช่า: เคยได้ยินค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็น ๕ แล้วใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ศรัทธา กับสติต่างกันอย่างไร?

อาช่า: สติ คือระลึก ส่วนศรัทธาเป็นความเชื่อมั่นในกุศลว่าเป็นสิ่งที่ควรค่ะ

ท่านอาจารย์: นี่เป็นสิ่งที่เราคิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร?

ศรัทธาเป็นสภาพที่สะอาดผ่องใส

เพราะฉะนั้น ศรัทธาเกิดแล้ว อกุศลเข้ามาใกล้เกิดร่วมด้วยไม่ได้เลย เพราะอกุศลไม่สะอาด มีคำอุปมาที่พอจะเข้าใจได้นะ ศรัทธาเหมือนสารส้มที่ทำให้สิ่งที่เกิดร่วมด้วย เช่น น้ำ สะอาด

อาช่า: ค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 29 มิ.ย. 2568

ท่านอาจารย์: ความสะอาดของศรัทธายากที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาธรรมละเอียด คนส่วนใหญ่ว่า ศรัทธา เป็นความเชื่อ

เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยธรรมอื่น จึงสามารถเข้าใจศรัทธาได้

คนไทยใช้คำภาษาบาลีที่เขายังไม่ได้ศึกษาให้ละเอียด และคิดว่า ภาษาอื่นก็เช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ศรัทธาเกิดพร้อมกับโสภณเจตสิกอื่นๆ โสภณเจตสิกเกิดพร้อมกันอย่างน้อยกี่ประเภท?

อาช่า: ไม่เคยได้ยินค่ะ

ท่านอาจารย์: ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องรู้จักโสภณเจตสิกทีละหนึ่ง ไม่ใช่จำเพียงจำนวน แต่ชื่อ

คุณอาช่าเคยได้ยินคำว่า ศรัทธา ไหม? เคยพูดคำว่า ศรัทธาไหม?

อาช่า: คำว่า ศรัทธา ที่อินเดียใช้กันเยอะอยู่ค่ะ ส่วนใหญ่หมายถึงความเชื่อ เชื่อในอะไรๆ นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต่างกับความเชื่อที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงอยู่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความเชื่อผิดมีไหม?

อาช่า: ความเชื่อผิดก็มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความเชื่อที่เขาคิดไม่ใช่ศรัทธาแน่ เพราะศรัทธาต้องเป็นโสภณะ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม จะพูดผิดๆ เพราะเข้าใจผิด

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจ ศรัทธา เป็นเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่สะอาด ขณะใดที่ศรัทธาเกิด จะมีอกุศลใดๆ เกิดกับจิตไม่ได้

เพราะฉะนั้น ถ้า เชื่อ ไม่ใช่ศรัทธาแน่นอน สงสัยไหม เข้าใจหรือยัง?

ขอให้คุณอาช่ายกตัวอย่างคนที่ใช้คำว่าศรัทธาผิด

อาช่า: อย่างเช่น ชาวพุทธส่วนใหญ่นับถือพระพุทธองค์ แต่ไม่มีความเข้าใจ แล้วไปถวายดอกไม้ให้พระพุทธรูป นี่เป็นตัวอย่างศรัทธาที่ผิด

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ขณะนั้นที่เป็นอกุศลไม่ใช่ศรัทธา

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีโสภณเจตสิกเท่าไหร่แล้ว?

อาช่า: ๕ ค่ะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ สติ ศรัทธา

ท่านอาจารย์: และเคยได้ยินคำอื่นอีกไหมที่เป็นโสภณเจตสิก?

อาช่า: กรุณาค่ะ

ท่านอาจารย์: กรุณา คืออะไร? เมื่อไหร่?

อาช่า: เวลาเราเห็นใจคนอื่น อย่างเช่น เขาขาดทรัพย์ หรือว่าเขาไม่เข้าใจธรรม แล้วเราช่วนให้เขาเข้าใจ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้คุณอาช่ากรุณาใครหรือเปล่า?

อาช่า: เวลานี้ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วมีกรุณาบ้างไหม เมื่อไหร่?

อาช่า: มีบ้างค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 29 มิ.ย. 2568

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีกรุณาไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?

อาช่า: สำคัญที่สุด ก็คือตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะกรุณาถึงสอนสัตว์โลกค่ะ

ท่านอาจารย์: ตรัสรู้อะไร?

อาช่า: ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงค่ะ รูปนามที่เกิดแล้วดับ

ท่านอาจารย์: ลืมอริยสัจจธรรม ๔ หรือ?

อาช่า: อริยสัจจ์ ๔ ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีกรุณาไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?

อาช่า: พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสรู้เพื่อพระองค์เท่านั้น แต่ว่าเพื่อแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีงมีพระมหากรุณา

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาขณะที่ทรงแสดงพระธรรมไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ทรงมีเมตตาไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ทรงมีมุทิตาไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?

อาช่า: เมื่อพระองค์ทราบว่าผู้ฟังได้ผลที่ดีตามที่ฟังค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม และเมื่อสัตว์โลกรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะสัตว์โลกไม่รู้ความจริง จึงมีคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกรู้

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: คุณอาช่ามีพระมหากรุณาไหม?

อาช่า: ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่มีมหากรุณา แต่มีกรุณา

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: มีโสภณเจตสิกเท่าไหร่แล้ว?

อาช่า: ๖ ค่ะ

ท่านอาจารย์: อะไร?

อาช่า: อโลภะ อโทสะ อโมหะ สติ ศรัทธา กรุณา มุทิตา

ท่านอาจารย์: แล้วมีอะไรที่ลืมบ้างไหม?

อาช่า: อุเบกขาค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นเจตสิกหรือเปล่า?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นเจตสิกอะไร?

อาช่า: ไม่ทราบค่ะ

ท่านอาจารย์: ตัตตรมัชฌัตตตา เข้าใจแล้วใช่ไหม?

คุณสุคิน: ผมยกตัวอย่างเมื่อพูดถึงกรุณา ส่วนใหญ่ที่เราคิดว่ากรุณา เราจะเดือดร้อนเมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อน ตอนนั้นก็แสดงว่า จิตมันหวั่นไหว นั่นแสดงว่าไม่ใช่กุศล ไม่ใช่ตัตตรมัชฌัตตตา อาช่าก็เข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: อาช่าเข้าใจดีแล้วนะ

เวลาให้ของเพื่อนวันเกิด เป็นตัตตรมัชฌัตตตาหรือเปล่า?

อาช่า: ไม่ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?

อาช่า: เพราะรู้สึกดีใจค่ะ

ท่านอาจารย์: ดีใจเป็นกุศลได้ไหม?

อาช่า: ความรู้สึกสุขเวทนาเกิดกับกุศลก็ได้อกุศลก็ได้ แต่ว่ามาเข้าใจตอนนี้ว่า ขณะที่ให้เพื่อนเป็นความติดข้อง เพราะฉะนั้น เป็นตัตตรมัชฌัตตตาไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: นี่เป็นเหตุที่เราต้องศึกษาถ้าเราไม่ถามไม่พูดถึงตัวอย่าง อาช่าก็อาจจะไม่เข้าใจความละเอียด

เวลาที่ให้ และหวังว่าจะได้เกิดในสวรรค์ เป็นตัตตรมัชฌัตตตาหรือเปล่า?

อาช่า: ไม่มีค่ะ เพราะทำด้วยความติดข้องค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธรรมละเอียดมากต่างขณะ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ละเอียดขึ้นๆ จะละอกุศลไม่ได้

คุณอาช่ามีตัตตรมัชฌัตตตามากไหม?

อาช่า: มีน้อยมากค่ะ

ท่านอาจารย์: ขณะนอนหลับมีตัตตรมัชฌัตตตาไหม?

อาช่า: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เพราะอะไร?

อาช่า: เพราะว่าอยู่ในภูมิมนุษย์ เป็นผลของกรรมที่ดีค่ะ

ท่านอาจารย์: นั่นซิ แล้วเวลานอนหลับทำไมมีตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกเกิด

อาช่า: เพราะว่า ผลของกุศล ทำให้เกิด ก็เป็นโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วขณะหลับสนิท อกุศลเจตสิกเกิดได้ไหม?

อาช่า: ไม่ได้ค่ะ หลับสนิทอกุศลเจตสิกเกิดไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: ต่างกันอย่างไร?

อาช่า: เพราะว่า ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตต้องเป็นโสภณค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วที่เป็นผลของอกุศลกรรมล่ะ?

อาช่า: ตรงนั้นเป็นอกุศลเจตสิกค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องคิดนะ แล้วคราวหน้าสนทนากันต่อ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ