Thai-Hindi 31 May 2025

 
prinwut
วันที่  31 พ.ค. 2568
หมายเลข  50068
อ่าน  394

Thai-Hindi 31 May 2025


- (คุณฮัง - เพื่อนชาวเวียดนามถามว่า ฟังธรรมบ่อยๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าใจขึ้น)

- คุณแอน - โลกหมุนไปไม่ได้ถ้าไม่มีโลภะ ไม่มีโมหะ ขอท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องโลภะ) เพราะว่าเราต้องรู้ว่า โลภะถ้าไม่มีโมหะ มีไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงโลภะ พูดถึงโมหะ เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๒ ก็พอจะเข้าใจได้ที่คุณแอนบอกว่าถ้าไม่มีโลภะก็ไม่มีการคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่มีโมหะโลภะก็มีไม่ได้

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะพูดถึงธรรมอะไรต้องอยู่ในหัวข้ออยู่ในประเด็นของธรรมนั้น เช่น โลภะอยู่ไหนบ้าง โลภะเป็นอะไรบ้าง โลภะเป็นอรยสัจจธรรมที่ ๒ เท่านี้เราก็รู้เย เพราะไม่รู้โลภะก็จุ้นจ้าน คิดโน่นทำนี่ ฯลฯ ตลอดเวลา แต่วิตักกะที่เป็นเท้าของโลกเพราะเหตุว่า เราเกิดมายังไม่มีอะไรแล้วก็มีเห็น ถูกต้องไหม ถ้าไม่เห็นก้ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ว่าต้องมีจิตก่อนนั้นเพราะฉะนั้นเราจะเห็นความละเอียดอย่างยิ่งของความเป็นจิตแต่ละหนึ่งและกิจหน้าที่ของจิตแต่ละหนึ่ง

- เพราะฉะนั้นจิตที่อ่อนที่สุดไม่มีกำลังเลยแต่ทุกคนไม่เคยคิดคือ เห็น ไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากเมื่อมีปัจจัย มีกรรม มีจักขุปสาท มีสิ่งที่กระทบตาได้เพียงกระทบตา เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นอย่างเดียว ๑ ขณะ แต่ไม่รู้ความจริงที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเหมือนเห็นตลอดเวลา เหมือนเห็นสำคัญมากแต่เห็นจริงๆ ไม่สำคัญเลย เพียงแค่เห็นสิ่งที่กระทบตาเป็นสีสันต่างๆ เท่านั้น จะสำคัญได้อย่างไรแค่เห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นสีสัน จบหน้าที่

- เพราะฉะนั้นวิตักกะเกิดกับจิตอื่นทั้งหมดนอกจากจิต ๑๐ ดวงที่เป็นจักขุวิญญาณ ๒ เพราะฉะนั้นจิตก่อนเห็นไม่สามารถจะเกิดขึ้นทำกิจเห็นอย่างขณะนี้ได้เลยแต่รู้เพราะมีวิตักกะมีสิ่งที่กระทบตาแต่ไม่เห็น เพียงแค่รู้เหมือนคนมาอยู่หน้าบ้านยังไม่เห็นว่าใคร ดับแล้วจักขุวิญญาณจึงมีปัจจัยเกิดขึ้นเห็น ๑ ขณะแล้วดับ ไม่มีความสำคัญอะไรเลย แต่สิ่งสำคัญคือ ทันทีที่เห็นดับวิตักกะเจตสิกเกิดทันที จับอารมณ์นั้นไว้เพราะไม่ได้เห็นแต่มีอารมณ์นั้นโดยต้องจับและจิตอื่นๆ ก็เกิดต่อเพราะรู้อารมณ์นั้นโดยมีวิตักกะเกิดร่วมด้วยทุกขณะ นี้คือความละเอียดของธรรม

- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์พูดว่า เห็นคือขณะเดียว ก่อนเห็นไม่ใช่เห็น หลังเห็นไม่ใช่เห็น มีหลายจิตทั้งก่อนและหลัง แต่เห็นขณะเดียว แต่ดูเหมือนว่าเห็นตลอด ตรงนี้เราพูดได้ว่าเห็นตลอดเพราะวิตักกะ เราคิดเรื่องนี้เรื่องนั้น นี้เป็นอาการของวิตักกะหรือเปล่าตามความหมายที่ว่า เป็นเท้าของโลก)

- เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุดว่า เพียง ๑๐ จิตที่ไม่มีวิตักกะ เพราะฉะนั้นวิตักกะเป็นถึงสัมมาสังกัปปะของมรรคมีองค์ ๘ ถ้าไม่มีวิตักกะ เห็นอย่างดียวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดับแล้ว หมดแล้ว ไม่เห็นแล้วแต่เพราะมีวิตักกะเจตสิกเกิดขึ้นกับจิตขณะต่อไปที่อารมณืนั้นยังอยู่แตเมื่อไม่ทำกิจเห็นก็จับอารมณ์นั้นให้สัมปฏิจฉันนะรับรู้ สันตีรณะจะได้เพิ่มความเข้าใจว่าในสิ่งนั้นชัดเจนขึ้นว่าเป็นอะไรแล้วจึงเป็นปัจจัยให้โวฏฐัพพนะเกิดขึ้นทำทางให้กุศลหรืออกุศลที่สะสมเป็นอนุสัยเป็นอาสวะเกิดขึ้นได้

- เห็นไหมว่านี้คือสิ่งที่คนไม่รู้และเวลาฟังธรรมจากรพะสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอภิธรรมปิฎก เป็นอภิธรรมมัตถสังคหะ แต่ไม่ได้ไตร่ตรองลึกซึ้งว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ไม่ใช่อย่างที่ปรากฏ คิดถึงเห็นเท่านั้น ๑ ขณะอย่างอื่นมีไม่ได้เลย

- เพราะฉะนั้นโลกอยู่ในความมืดหมด เวลาที่จิตเห็นๆ สิ่งที่กระทบตาจนกว่าสิ่งที่กระทบตาดับสั้นแสนสั้น เพราะฉะนั้นในความมืดหมด มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีคิดนึกและมีจุดเล็กๆ ของขณะเห็น จริงไหม ปรากกฏตามความเป็นจริงต้องปรากฏอย่างนั้นใช่ไหม เป็นสิ่งที่เราอยู่ในโลกด้วยการที่ไม่เคยรู้ความจริงซึ่งลึกซึ้งมากละเอียดมาก และเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ความลึกซึ้ง สามารถเพียงแค่ฟังนิดหน่อย เข้าใจนิดเดียวเล็กๆ น้อยๆ เรื่องจิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก น้อยมากแต่ว่าความละเอียดจริงๆ ของธรรมแต่ละลักษณะ แต่ละรูปแบบหรือว่าแง่มุมต่างๆ มากมาย

- เพราะฉะนั้นฟังแล้วลองคิดขณะนี้ อยู่ในความมืดเป็นความจริงหรือเท็จ ถ้าไม่มีจุด ๑ ที่สว่าง (คุณสุคิน - สว่างเพราะจุดนั้นจึงเหมือนสว่างตลอด) เพราะไม่มีรู้เลย เพราะฉะนั้นความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเหมือนปาฏิหาริย์ที่จะค่อยๆ ฟัง นานเท่าไหร่ กว่าพระโพธิสัตว์ สาวกโพธิสัตว์หรือว่าพระปัจเจกโพธิสัตว์หรือพระสัมมาสัมพุทธโพธิสัตว์จะได้รู้ความจริง เมื่อรู้ความจริงแล้วตรัสว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้ง

- มันไม่ใช่อย่างที่ปรากฏ อย่างที่ปรากฏแล้วคือไม่รู้เลย เห็นเป็นอะไรก็ไม่รู้เกิดแล้วดับแล้ว เป็นคน เป็นสิ่งของ ฯลน ตลอดกี่ชาติ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีอริยสัจจะ ๓ รอบ ถ้าไม่มีความเข้าใจระดับนี้ในรอบที่ ๑ จะมีการระลึกและเข้าใจแข็งเดี๋ยวนี้ไหม ขณะที่แข็งปรากฏและเข้าใจจะมีสิ่งอื่นได้ไหม เพราะฉะนั้นในความมืดนั่นเองก็มีแข็งที่ปรากฏตามความเป็นจริง จะว่าสว่างไม่ได้เพราะไม่ใช่ขณะเห็น

- นี่หล่ะความลึกซึ้งๆ ๆ ลึกซึ้งทุกครั้งที่ปัญญาเข้าใจขึ้นๆ ๆ จนหยั่งลงถึงความเป็นจริงซึ่งโลกจะปรากฏอย่างนี้ไม่ได้เลยเพราะเป็นธรรมที่ปรากฏทีละ ๑ ในความมืดเว้นทางตาขณะเดียวลักษณะเดียว เพราะฉะนั้นขณะนี้ทางตามากมายมหาศาลปิดบังทางอื่นหมดแต่ว่าตามความเป็นจริงอย่างสิปิดบังทางตาซึ่งจะปรากฏได้เพียงสั้นๆ เพราะว่าทางอื่นมืดหมด

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมจึงรู้ว่าบารมีความเข้าใจอย่าวนี้แหละ เห็นความลึกซึ้งอย่าวนี้แหละ เห็นการที่ยากที่จะปรากฏเพราะปัญญาต้องถึงระดับที่สิ่งนี้ปรากฏกับปัญญาได้เพราะ) ปัญญาอบรมจนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคงตามลำดับ ละเอียดยิบแต่ละขั้น ตั้งแต่ขั้นปริยัติ ฟัง ถึงอย่างนี้หรือยังว่า นี่แหละเป็นสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏแต่ความจริงต้องเป็นอย่างนี้ ถูกไหม ไตร่ตรอง ถ้ายังไม่สามารถที่จะมีความมั่นคงได้ก็คิดว่ารู้แล้ว เห็นไหมแต่ยังไม่รู้อะไรเลย ธาตุรู้ ถ้าธาตุรู้ปรากฏจริงๆ อย่างอื่นปรากฏไม่ได้ มืดหรือสว่าง เห็นไหม แต่ปัญญาสามารถรู้ความเป็นธาตุรู้ได้

- เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของปัญญาที่ทำไมหลายแสนกัปป์หลายโกฏกัปป์จนกว่าจะรู้เพราะความลึกซึ้งอย่างนี้ มั่นคงเมื่อไหร่ก็เป็นอธิษฐานบารมีเพราะมีสัจจะบารมี เพราะมีปัญญาบารมี

- (คุณสุคิน - อธิษฐานบารมีใช่ไหมเพราะเป็นเหตุที่ว่า ไม่รู้มากขนาดนี้แต่ส่าเมื่อไหร่ที่ได้ฟังธรรมในชาติไหนเป็นครั้งแรกก็มีความสนใจ ก็เพราะมีอธิษฐานบารมีใช่ไหม) ถ้าไม่มีความเข้าใจจะมีอธิษฐานไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นบารมีทั้งหมดต้องอาศัยกันจนกว่าจะเต็มจนกว่าจะสมบูรณ์ มีความมั่นคงจริงแต่ไม่มีปัญญาว่ายังไง และไม่มีความอดทนว่ายังไง และไม่มีความเพียรว่ายังไง อะไรก็เกิดขึ้นไม่ได้ (ทุกอย่างสำคัญ)

- เพราะฉะนั้นอีกนานแสนนานเพราะว่า เราคุยกันอย่างนี้ รู้ไหมว่าอยู่ในความมืดของความไม่รู้ ค่อยๆ ได้ยิน ค่อยๆ ได้ฟัง ค่อยๆ รู้ว่า กบ ปลา ที่อยู่ในน้ำยังไม่ได้ขึ้นมาบนบก ถึงขึ้นมาแล้วจะสามารถรู้ได้ไหม มันไมท่เหมือนในน้ำเลย เพราะฉะนั้นปัญญาอย่างเดียวในบรรดาธรรมทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด

- (คุณสุคิน - เมื่อกี้ท่านอาจารย์พูดถึงความมืดของความไม่รู้ สองวันก่อนไปที่หนึ่งของศาสนาอื่น เขาพูดถึงว่า ความมืดของความไม่รู้ ความคิดอย่างนั้นของผู้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรเหมือนกับเป็นความรู้เดียวกัน) ขอโทษนะคะ เขาไม่ได้เข้าใจ เขาคิดเปรียบเทียบ (คิดเอง) แน่นอนเพราะเขาไม่ได้เข้าใจ

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว “ละ“ ต้องความเข้าใจนั้นแหละละความไม่รู้และความไม่เข้าใจหนาแน่นเพียงไหน ลองคิดดูตั้งแต่เช้าจนมาถึงเดี๋ยวนี้ และทุกวันในชาตินี้ และทุกวันในทุกชาติในแสนโกฏกัปป์ เห็นตลอดมาแต่ถึงแม้ขณะนี้ประจักษ์แจ้งลักษณะเห็นจริงๆ หรือยัง หรือเริ่มฟังเริ่มรู้ว่า เห็นเกิดขึ้นเห็น เห็นเป็นธาตูรู้แน่ๆ เพราะมีสิ่งที่ถูกเห็นแค่นี้ เพราะฉะนั้นเขาก็อาจจะคิดถึงมืดหรือสว่าง ความรู้กับความไม่รู้ หรือไม่เคยได้ยินอะไรเลยแต่เปรียบเทียบได้

- (คุณสุคิน - และความไม่รู้ของธรรมก็เกิดความไม่รู้ของสิ่งที่ปรากฏ ตรงนี้ไม่มีใครรู้ได้นอกจากพระพุทธองค์) เพราะฉะนั้นฟังแล้วก็รู้ว่า ชาตินี้ประเสริฐที่สุดในขณะที่เข้าใจธรรม เข้าใจแล้วก็สะสมทีละเล็กทีละน้อยมากเทียบกับการที่สะสมความมไม่รู้มานานเท่าไหร่ ไม่มีกำลังพอที่จะให้ความไม่รู้นั้นออกไปหมดได้แต่ต้องอาศัยความอดทนและบารมีทั้งหมดเท่ที่จะมีในชาติหนึ่งๆ กว่าที่จะประจักษ์แจ้งธรรม ไม่มีบารมีไม่มีทางเลย ไม่ใช่ว่าใครจะไปทำอะไรได้

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เองที่เข้าใจ นั่นแหละบารมีกำลังค่อยๆ สะสมโดยไม่รู้เลยว่า จะมากแค่ไหน วันไหนเมื่อไหร่ (จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเอ่ยถึงบารมีอื่น ก็คือมันก็อยู่ตรงปัญญา ปัญญาเกิดเมื่อไหร่ทุกอย่างดี) แต่ให้รู้ได้ว่า ถ้าขณะนั้นจะมากขึ้นได้ก็ต้องเพราะอดทน ไม่ใช่ครั้งเดียวก็ต้องบ่อยๆ เพราะฉะนั้นที่ฟังและเข้าใจ น้อยปานใด เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ต้องอดทนอีกเท่าไหร่ และต้องมีความเพียรที่จะสนทนาที่จะไตร่ตรอง ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น นั่นเป็นหนทางเดียว

- และไม่ว่าในภาษาอะไรขึ้นอยู่กับขณะนั้นความเข้าใจมีพอหรือเปล่า ถ้าไม่มีความเข้าใจพอแม้ภาษาที่เราคิดว่าน่าจะเข้าใจได้กว่าก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ แต่ในภาษาที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยหรือใช่น้อยหรือลืมบ้างจำบ้าง แต่ขณะนั้นความเข้าใจพร้อมที่จะเข้าใจได้ เชิญเลยค่ะคุณฮัง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 31 พ.ค. 2568

- (คุณฮัง - เพื่อนชาวเวียดนามถามว่า ฟังธรรมบ่อยๆ แล้วจะรู้ว่า เราเข้าใจขึ้นเป็นยังไง) เป็นยังไงเข้าใจขึ้น อันนั้นก็ต้องรู้สิว่า เข้าใจขึ้นจะเป็นยังไงนอกจากเข้าใจขึ้นก็รู้ว่าเข้าใจขึ้น จะต้องการอะไรอีกหรือ (จะเปรียบเทียบว่า เราเข้าใจตอนนี้ก็กำลังเข้าใจธรรมมากกว่าปีที่แล้วสองปีที่แล้ว) เพราะฉะนั้นทุกคนรู้ด้วยตัวเองว่า ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

- (เขาอยากจะรู้ว่าปัจจัยที่ทำให้ความเข้าใจมากขึ้นๆ คือยังไง) ถ้าเข้าเริ่มต้นว่า ทุกสิ่งที่เกิดๆ เองลอยๆ ไม่ได้แต่ต้องอาศัยปัจจัยแน่นอนเท่าที่เขาสามารถจะค่อยๆ เข้าใจความเป็นปัจจัย เช่น เห็น ธรรมดาถ้าไม่มีตาจักขุปสาทเห็นเกิดไม่ได้ นี้คือเรากำลังพูดถึงเรื่องปัจจัย ถูกต้องไหม และถ้าเรามีความเข้าใจมากขึ้นว่าเห็นเกิดที่ไหน เขาก็มีความเข้าใจว่า สำหรับที่ๆ เป็นที่เกิดของจิตมีเท่าไหร่อะไรบ้างในภูมิที่มีรูป

- การศึกษาที่เป็นความเข้าใจเขาสามารถเข้าใจความเป็นปัจจัยโดยไม่ต้องใส่ชื่อ แล้วตอนหลังได้รู้ว่า ที่อาศัยคือ นิสสยะ และที่เกิดของจิตคือ วัตถุ เราหมายความถึงรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต จิตต้องเกิดที่รูปถ้ามีรูป ถ้ามีรูปแล้วจิตจะไปเกิดนอกรูปไม่ได้ เพราะฉะนั้นรูปที่เป็นที่อาศัยให้จิตเกิดชื่อว่า วัตถุ

- เพราะฉะนั้นจักขุวิญญาณเป็นจักขุวัตถุ เป็นปัจจัยหรือเปล่าก็ใส่คำว่าปัจจัยเข้าใจ นิสสยะที่อาศัย เท่านี้แหละคือไม่ต้องไปกังวลเรื่องชื่อแต่ความเข้าใจนั้นเองทำให้รู้ว่า ลักษณะนั้นชื่อปัจจัยอะไร เรียกว่าอะไร สหชาตปัจจัยจิตกับเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน ขณะใดที่จิตเกิดพร้อมรูป ขณะปฏิสนธิจิตจะเกิดในภูมิที่มีรูปจิตก็ต้องอาศัยรูปเกิด

- เพราะฉะนั้นจิตอาศัยเจตสิกเกิดกับจิตอาศัยรูปเกิดไม่ใช่อย่างเดียวกัน เห็นไหม ก็โดยหลายนัยที่ความเข้าใจธรรมนั่นแหละสามารถจะรู้จักชื่อปัจจัยได้เมื่อได้ยินคำว่า ปัจจัยชื่ออะไร สหชาตก็รู้เลยแต่ละเอียดมากขึ้นประมาทไม่ได้เลยเ้พราะเราไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยตัวเอง ความละเอียดยิบโดยนัยต่างๆ หลากหลายมาก

- (คุณสุคิน - ชื่อก่อนส่วนชื่อแต่ให้เขารู้ว่า ทุกอย่างที่พระพุทธองค์สอนเป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทุกเวลา เพราะฉะนั้นคือเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน) นี้คือการศึกษาธรรม ไม่ใช่ไปสนใจที่ชื่อ ชื่อว่าปัจจัย มีเท่าไหร่ อะไรบ้าง แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้ความหมายของคำว่าปัจจัย ถ้าไม่มีสิ่งที่อาศัยกันและกัน เกิดไม่ได้ และอะไรเป็นปัจจัยกับแะไรละเอียดขึ้นๆ ในการที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา

- (คุณสุคิน - ยกตัวอย่างพูดถึงเห็นลอยๆ จะแค่ไหน ก็ต้องมาพูดถึงสิ่งที่เห็ฯที่ปรากฏทางตาและก็ต้องพูดถึงตาด้วย ก็ต้องไปตามปริยายของมันอยู่แล้ว และตรงนั้นก็เริ่มเข้าใจปัจจัยไปเอง ถ้าเขายังสับสนความหมายของปัจจัยก็ชี้ไปตรงนั้นว่านี้คือความหมายของปัจจัย)

- เห็นไหมคุณแอน ใครรู้บ้างว่าปัญญาเพิ่มขึ้นแค่ไหน ไม่ต้องไปนั่งวัดแต่ฟังอีกเราก็รู้ว่า เข้าใจขึ้นๆ และขณะที่เข้าใจก็ละความไม่เข้าใจแต่ความไม่รู็และความเป็นเรายังหนาแน่นมากให้รู้ความจริงว่า มันยังไม่หมดแน่นอนและไม่มีหนทางอื่นด้วย หนทางเดียงคือ เข้าใจขึ้น

- (คุณแอน - และมีความพยายามก็ทำผิดเป็นตัวตนคืออยากทำ อย่างนั้นไม่ได้) เป็นการเพิ่มตัวตนไม่ใช่ละคลายความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นเข้าใจกำลังทำหน้าที่ละ สบายๆ เป็นปกติเกิดแล้ว (สบายกว่าพยายามๆ) และคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ควรลืใมแต่ก็ลืมกันตลอด รู้สิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ต้องพูดคำว่า “สติปัฏฐาน” ไม่ต้องพูดคำว่า ”สติสัมปชัญญะ” รู้เข้าใจสิ่งที่เิดแล้ว แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีทาง ดับแล้วเมื่อไหร่จะรู้ (จริงเพราะว่าทุกสิ่งที่ปรากฏมีปัจจัย) และสิ่งที่ปรากฏเองก็เป็นปัจจัยด้วย เห็นไหม “อารัมมณปัจจัย” แค่นี้ไม่เห้นจะต้องสงสัยว่าทั้งหมดเป็นปัจจัยทั้งนั้นแต่ละหนึ่งประเภทๆ

- (คุณแอน - ยกเว้นนิพพาน ทุกอย่างที่มีจริงแสดงว่ามีปัจจัยเป็นปัจจัย) เพราะฉะนั้นต้องจำกัด ทุกอย่างที่เกิด (ตรงนี้ไม่ค่อยได้คิดเลย เรามีแต่คิดว่ามีจริงแต่ว่าคิดต่อไปว่า มีจริงก็เพราะเกิดไม่ค่อยได้พิจารณาเลย) จึงต้องละเอียดทุกคำ สังขารธรรม วิสังขารธรรม ไม่ใช่คำลอยๆ แต่หมายถึงสภาพธรรมอะไร

- (คุณตรัสวิน - เราต้องใช้คำแม้กระทั่งว่า เราระลึกอยุ่บ่อยๆ เนืองๆ ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน และมีสภาพธรรม ทุกอย่างเป็นสภาพธรรม เจตสิดที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเราทราบว่ามีอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วแล้วสติก็ระลึกรู้ว่านี้เป็นอกุศล อย่างดิฉันมีโทสะเกิดขึ้นบ่อยๆ และก็มีระดับต่างๆ กันไป ขัดใจนิดหน่อย คนคิดช้ากว่า หรือว่าพูดจาแล้วไม่ฉลาดพอก็มีความไม่พอใจอยู่ ก็เข้าใจแล้วเดี๋ยวนี้ว่า นั้นเป็นโทสะและก็ควรจะวิรัติ ถ้าไม่คิดอย่างนี้แล้วเราจะให้กุศลเกิดให้วิริยะเกิด จะให้คิดตลอดเวลาว่าไม่เป็นไรเป็นอนัตตา ยังไงก็ไม่ทัน)

- ส่วนมากจะเป็นอย่างนี้ในตอนต้นๆ “ต้นๆ ” หมายความว่า หลายสิบปีหลายสิบชาติก็ได้ หมายความว่า ความลึกซึ้งของธรรมเราจะไม่ทันคือปัญญาไม่สามารถที่จะไปรู้อย่างนั้นได้โดยรวดเร็วแต่ปัญญาต้องค่อยๆ เป็นไปตามลำดับ ประการที่ ๑ ยังไม่ต้องมีอะไรหรอก ความดีกับความชั่วอะไรให้โทษ ยังต้องเป็นเราหรือเป็นใครอะไรทั้งสิ้น เป็นตัวธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เห็นโทษเมื่อนั้นคือปัญญา ไม่ใช่เราแต่เป็นโทษและกว่าจะรู้ว่าที่เป็นโทาไม่ใช่เรา

- เพราะฉะนั้นธรรมละเอียดและซับซ้อนมาก ถ้าเราคิดว่า เราจะคิดยังไงหรือว่าจะไปยังไงๆ มันก็เป็นตังเราที่แฝงเข้ามาในขณะนั้นโดยไม่รู้ว่า นั่นแหละ “เรา” ที่กำลังคิดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าเราฟังธรรมมุ่งตรงต่อลักษณะที่เป็นจริงขณะนั้นเช่น ฟัง เราไม่ได้คิดอะไร ฟังได้ยินเสียง ได้ยินเสียงแล้วปล่อยผ่านไปไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร

- เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นการที่กว่าเราจะรู้คำของพระพุทธเจ้าที่แสดงความลึกซึ้งเช่นคำว่า “มนสิการ” สภาพที่ใส่ใจในสิ่งที่มี ใส่ใจไม่ได้ละเลยไม่ได้เพิกเฉยเลยแต่การใส่ใจของเราแบบถูกต้อง “โยนิโส“ หรือแบบไม่ถูกต้อง ”อโยนิโส” ถ้าเราฟัง เราจะมีการที่ว่า “เราจะทำยังไงให้ไม่มีโลภะ“ ฯลฯ อันนั้นอโยนิแน่ แต่ถ้าฟังศักดิ์สิทธิ์ก็คือว่า เป็นธรรม เข้าใจว่าเป็นธรรมตัวนี้ตัวเดียวจะตามมาซึ่งอย่างอื่นทั้งหมดว่าเป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ไปหาทางว่า เราฟังแล้วเราจะไม่ใช้คำว่าเรา ไม่ใช่เลยทั้งสิ้น สิ่งที่มีเป็นปกติเป็นปกติแต่ขณะนั้นเป็นอะไร นี้คือตัวปัญญาขณะนั้นเป็นอะไร เพราะจริงๆ แล้วเกิดมาทุกชาติชาตินี้เป็นต้น ไม่มีอะไรเกินไปกว่าเกิดแล้วเป็นอะไร เห็น ต่อไปอะไร ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก แค่นี้เอง ๖ ทางเป็นทางที่สิ่งต่างๆ จะปรากฏแต่เมื่อความไม่รุ้และการเกิดดับอย่างรวดเร็วสืบต่อจนเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานให้จำไว้จากสัญญาและก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ที่เราใช้คำว่า บัญญัติๆ ๆ รู้ความหมายรู้ลักษณะที่ติดต่อกันว่าเป็นอะไร บัญญัติว่าเป็นคน บัญญัติว่าเป็นนก

- แต่ไม่ต้องใช้คำว่า บัญญัติ การที่เราเห็นการสืบต่อรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หมายรู้ได้ว่านั่นอะไรเพราะมีรูปร่างสัณฐานอย่างนั้นๆ ความเ ข้าใจในสิ่งนั้นก็ติดตามมา ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือไม่เป็นภาษา อย่างนกเห็นอาหารไม่รู้หรอว่าเรียกว่าอะไร แต่ว่าพอเห็นแล้วการเกิดดับสืบต่อทรงจำเป็นหนอนกระดุกกระดิกได้ ฯลฯ เพราะฉะนั้นขณะนั้นสภาพที่ปรากฏเป็นสีสันที่ขยับเขยื้อนก็จึงได้หมายรู้ได้ว่า อันนั้นเป็นสิ่งที่เป็นอาหาร นี้คือตัวธรรมล้วนๆ จะไม่มีนกมีคนอะไรเลยทั้งสิ้น

- เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจว่า ธรรมลึกซึังยากที่จะรู็ได้ ไม่รีบเลยเพียงแต่ว่าเห็นมีตั้งนานแล้วและก็ได้ยินเรื่องเห็นมาตั้งนานแล้ว บ่อยแค่ไหนก็บ่อยแล้ว ก็ยังไม่รู้จักเห็น เพราะฉะนั้นอีกนานเท่าไหร่กว่าความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่จะใส่ใจมนสิการในลักษณะเหผ้น ไม่ใช่ไปเร่งรีบ ไม่ใช่ไปคอย แต่การฟังไม่ว่าคำอะไรก็ตามที่กล่างถึงสิ่งที่มีจริงโดยไม่เลือกว่าจะต้อง “อันนี้นะ” “อันนั้นนะ” “ฉันจะได้รู้นะ” นั่นคือการไม่ได้เข้าใจว่า ศึกษาธรรมเพื่อรู้ว่าเป็นธรรมเพื่อละความไม่รู้เพราะทั้งหมดต้นตอมาจากความไม่รู้ทั้งหมด

- ฟังอย่างถ้าจะพูดไป ไม่เดือดร้อน เพราะมันเกินกว่าที่จะไปเดือดร้อนว่า เรารู้แค่ไหน ไม่รู้แค่ไหน เพราะฉะนั้นทุกคนที่เข้าถึงความละเอียดได้ยินพระทีปังกรพระพุทธเจ้าพยากรณ์สุเมธดาบสอีกสี่อสงไขยแสนกัปป์ แต่ละวันกว่าจะเป็นกัปป์ต้องกี่ร้อยปีกี่พันปีและกว่าจะเป็นแสนกัปป์ก็ยังเป็นขณะที่จิตเดี๋ยวนี้ได้เริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง นั่นคือเริ่มละ เริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นไม่เป็นตามที่ปรารถนาเหมือนอย่างว่า “อันนี้เป็นนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องอย่างนี้” ฯลฯ ไม่เลยทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าฟังแล้วเมื่อเข้าใจความลึกซึ้งนั่นคือ ค่อยๆ เข้าใกล้ตัวจริงของธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่ได้ฟัง เพราะที่ได้ฟังเป็นคำพูดเรื่องราวแต่ตัวจริงแท้ๆ ที่ลึกซึ้งถ้ายังไม่ปรากฏก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าระดับไหนที่ว่าลึกซึ้งและลึกซึ้งต้องอีกกี่ระดับจากไม่มีสติปัฏฐานเลยแค่ฟัง เห็นก็กำลังเห็นแต่ยังไม่เป็นจิตตานุปัสสนาสติปักฐาน

- ถ้าพูดโดยภาษาไทยก็ยังไม่รู้เลยว่าเห็นเป็นธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานและฟังมาแล้วไม่ต้องมานึกถึงเวลาที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏแต่เริ่มรู้ว่า กำลังเป็นสิ่งที่ปรากฏ จำได้หมดเป็นโน่นเป็นนี่ทุกวี่ทุกวันไม่ลืมเลย แต่ธาตุรู้ไม่มีใครคิดถึง ได้ยินแต่ว่าเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน ถ้าไม่มีจิตโลกก็ไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 31 พ.ค. 2568

- คือทุกอย่างฟังไว้เพื่อเข้าใจและความเข้าใจก็ค่อยๆ ละความไม่รู้บางแค่ไหน ละเอียดแค่ไหน เล็กน้อนแค่ไหนและขั้นฟังไม่มีอะไรที่จะสงสัยในความลึกซึ้งจนกว่า “เอ้า พูดเรื่องสติ” ยังไม่ต้องสติปัฏฐานหรอกเพราะว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวเพียงสติปัฏฐานเท่านั้น แม้สติที่เกิดกับกุศลก็ได้ตรัสไว้แล้วด้วยเพราะฉะนั้นชีวิตจริงเรามีไหม กุศลเมื่อไหร่ อกุศลเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็ค่อยๆ ไม่ลืมว่า ขณะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นธรรมอะไรทุกขณะในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ฟังไปก็คือเพื่อที่จะยิ่งรู้ว่าไม่รู้ ยิ่งรู้ว่าลึกซึ้ง ยิ่งรู้ว่านั่นคือเรื่องละค่อยๆ ละความไม่รู้ในความลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นเกินกว่าใครที่จะไปประจักษ์แจ้งความจริงโดยไม่เข้าใจในความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่า ความลึกซึ้งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ต้องเรียกว่า ใจเย็นสุดที่จะกล่าวได้เลยเพราะว่า เป็นเรื่องละเพราะเห็นคุณของการเข้าใจถูกต้องและเห็นโทษของความไม่รู้ทั้งหมดไม่ว่าโลภะจะเป็นไปในทางไหนก็ตาม ในทางมีความำคัญตน มีความเห็นผิดเกิดร่สมด้วย ฯลฯ มาจากความไม่รู้ทั้งหมด

- เพราะฉะนั้นความรู้อย่างเดียวที่เป็นหัวใจที่สำคัญที่จะค่อยๆ เพิ่มกำลังที่จะละทุกอย่างที่ไม่ดีโดยที่ว่าไม่รู้เลย อนัตตา เป็นหน้าที่ของปัญญานั่นเองแล้วแต่ปัญญาจะไปทางไหน รู้อะไร เข้าใจอะไร แต่ละ ๑ ไม่เหมือนกันเลย มั่นคงในธรรม อนัตตา แม้ปัญญาก็อนัตตา ไม่อย่างนั้นก็ “โอ้ ปัญญามากขึ้นแล้วนะ” อย่างนั้นอย่างนี้สารพัดอย่าง ปัญญาก็อนัตตา ปัญญาก็ไม่ใช่เรา จนถึงปัญญาก็ไม่ใช่เราก็สามารถที่จะรู้อย่างอื่นได้ อย่าบงอื่นก็ไม่ใช่เรา

- ฟังไปเหมือนไม่มีอะไรนะคุณจิ๋ว และเหมือนกับว่าเราจะต้องไปหาอายตนะ ฯลฯ ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นคำพูดที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้อายตนะ เดี๋ยวนี้ธาตุ เดี๋ยวนี้ปฏิจสมุปบาททั้งนั้นเลยอยู่ตรงนี้ทั้งหมด ฟังด้วยความเห็นประโยชน์สูงสุดว่า ความเข้าใจจึงละได้

- เพราะฉะนั้นโกรธเพราะเหตุว่ายังไม่ได้เข้าใจธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะละโกรธได้ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เกิด ตัวเราเริ่มคิดแต่เป็นเรา และภายหลังแม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา สติก็ไม่ใช่เรา ปัญญาก็ไม่ใช่เรา รูปที่ปรากฏก็ไม่ใช่เรา ทุกอย่างปรากฏลักษณะที่เป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริงแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้นเองค่ะคุณจิ๋ว เท่านี้แต่กว่าจะถึง “แค่นี้” ของปัญญา และเพิ่มขึ้นอีกๆ ต้องเป็นผู้ที่อดทนจริงๆ (เข้าใจแล้ว จะค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไปทีละน้อยๆ กราบขอบพระคุณค่ะ)

- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์พูดมาหลายครั้ง มาคิดว่าอยากให้ท่านอาจารย์เตือนสติเรามากกว่านี้หน่อย พูดถึงการละมีแต่ท่านอาจารย์ที่ให้เรารู้ความสำคัญของปัญญาแต่เวลาเดียวกันเรื่องละด้วย หนทางเชื่อมโยงกับการละด้วยตั้งแต่ต้น คือปัญญารู้และละก็สำคัญ การที่ท่านอาจารย์พูดเร่องการละก็เป็นปัจจัยให้สติเกิดขึ้นได้ คิดว่าสำคัญมากที่รู้ว่า หนทางนี้ต้องเกี่ยวกับการละตั้งแต่ต้นจนจบ)

- ฟังเท่าไหร่ปัญญาก็ยังน้อยอยู่ใช่ไหม (ใช่ น้อยมาก) เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมทุกประการ ไม่ใช่เพียงแต่ขณะที่เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมรูปธรรมเท่านั้นเพราะว่ากว่าจะถึงอันนั้นได้ ชีวิตประจำวันของเราหลงไหลไปมากเท่าไหร่กับความติดข้อง กับความขุ่นเคือง กับความวุ่นวายปรารถนาอะไรไปสารพัดอย่าง

- เพราะฉะนั้นแม้แต่คำที่ว่า เราเห็นกันทุกวัน “โน่นก็สวย” “นี่ก็ดี” ลอกผิวออกไปแค่นี้ พูดบ่อยๆ คิดถึงบ่อยๆ ก็เกื้อกูลไปทีละเล็กทีละน้อยใช่ไหม ให้ค่อยๆ คลายความติดข้องที่หลงวุ่นวายกับพวกสีสันวัณณะ

- (ก็ต้องเป็นอย่างนี้ และอีกอย่างครั้งแรกที่ฟังก็เห็นความต่างระหว่างพระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์กับพวกเราสาวกโพธิสัตว์ ตรงที่ท่านอาจารย์พูดถึงว่า ความคิดของพระโพธิสัตว์ตั้งแต่เริ่มเลยเกี่ยวกับการละไม่ได้เกี่ยวกับการได้ ของเราส่วนใหญ่คิดอะไรก็คิดจะได้ๆ แต่ว่าก็ต้องมีถ้าเปผ้นสาวกกผ้ต้องมีความคิดที่จะละ ไม่อย่างนั้นไม่เจริญใช่ไหม)

- เพราะฉะนั้นสาวกคือใคร (คือผู้มีความเข้าใจเพราะได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) แล้วก็ค่อยๆ ประพฤติตาม ตามกำลังของความเข้าใจคือปัญญาถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันของเราเราจะเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าเราจะทำอย่างนี้ได้แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแล้ว สิ่งที่ได้เข้าใจแล้วต่างหากที่มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนจากแต่ก่อนซึ่งไม่ดีเปผ้นค่อยๆ ดีขึ้นโดยความเป็นอนัตตา กว่าจะคลายความเป็นเราต้องขันธ์ ๕ เว้นไม่ได้เยสักขันธ์เดียว

- (คุณสุคิน - เรื่องชาวเวียดนามที่คุณฮังถาม คิดว่าปัญญาเป็นสังขารขันธ์ ๑ ถ้ามีปัญญาก็ต้องสะสมไปเรื่อยๆ อยู่แล้วไม่ต้องห่วงว่ามีแค่ไหน เจริญขึ้นแค่ไหน ถ้าเกิดก็ต้องสะสมอยู่แล้ว) แค่ไหนคนนั้นต้องรู้เอง (รู้เองก็ไม่ใช่วันต่อวัน เหมือนที่ท่านอาจารย์พูดเรื่องจับด้ามมีด วันต่อวันไม่รู้หรอกเพิ่มแค่ไหน แต่ว่าปีสองปีอาจจะพอจะรู้ได้)

- ก็นี้ไงแสดงความเป็นอนัตตา ไม่ว่าเราจะเข้าใจมากน้อยประการใดแบบไหนมาทั้งหมดก็ต้องถึงความเป็นอนัตตาว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสอ่งใดเพียงแค่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ถึงการรู้จริงอย่างนี้ก็ยังละอะไรไม่ได้ แต่สะสมความเข้าใจจนกระทั่งสามารถถึงเวลาปรุงแต่งให้เป็นอย่างนี้ได้ เพราะว่าความเข้าใจแต่ละเล็กแต่ละน้อยไม่เสียหลายเลย ไม่หายหกตกหล่นไปไหน เพียงแต่ว่าจะมาก หรือจะน้อย จะช้า หรือจะเร็ว หรือว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด

- เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไตร่ตรองจึงจะรู้ประโยชน์จริงๆ ว่า เป็นสิ่งซึ่งมีในชีวิตประจำวันแต่ไม่เคยรู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นขณะที่เป็นสิ่งนั้นมีปัจจัยเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องไม่เพียงแต่เข้าใจแค่นี้ เพราะว่าไม่ว่าอะไรในชีวิตถ้ายังไม่เข้าใจความไม่รู้ก้อยู่ตรงนั้น อย่างไม่รู้ว่า จักขุปสาทคืออะไร ไปเหมาเอาว่าตาทั้งหมดตาขาวตาดำ ไม่ใช่

- เพราะฉะนั้นต้องรู้พื้นฐานว่า สิ่งที่เป็นใหญ่เป็นประธานของรูปก็มีแค่ ๔​ รูปที่เราได้ยินจนคุ้นหูตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนโต ไม่ว่าใครจะได้ยินบ่อยหรือไม่บ่อยก็ตามแต่ อย่างน้อยก็คงผ่านหู ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ถึงแม้ว่า ไม่ได้ยินคำว่าธาตุและชื่อ แข็งไหม แค่นี้ไม่เคยรู้มาเลยว่าแข็งนี้เป็นเพียงแข็ง แต่ว่าแข็งกายเป็นสมุด กลายเป็นดินสอ กลายเป็นกะทะ กลายเป็นถ้วยแก้ว กลายเป็นที่นั่ง กลายเป็นพรม กลายเป็นม่าน

- เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่ไตร่ตรองมั่นคงต่อความจริงสัจจะของสิ่งนั้นเปลี่ยนไม่ได้ แข็งเป็นแข็งไม่ว่าจะโลกไหนทั้งโลก ภาคเหนือ ภาคใต้ ตะวันออก ตะวันตก ประเทศโน้น ประเทศนี้ มีแต่แข็งเป็นใหญ่และก็มีรูปอื่นซึ่งเกิดจากแข็ง แค่นั้นเป็นที่หลงไหลเป็นที่ไม่รู้มานานเท่าไหร่จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำและเริ่มไตร่ตรองและเริ่มรุ้ว่า ความไม่รู้ไม่รู้ไปหมดทุกๆ ขณะในชีวิต

- เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น มั่นคงขึ้น จนสภาพธรรมที่กำลังปรากฏสามารถปรากฏได้ชัดเจนเพราะปัญญาเริ่มใส่ใจในทีละ ๑ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ นี่แหละหนทางมรรคมีองค์ ๘ ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ชื่อเจตสิก

- (คุณสุคิน - ยกตัวอย่างในความเป็นมหาภูตรูปของแข็ง ความเข้าใจตรงนี้ก็ต้องเกิดใช่ไหม และมันเกิดหรือเปล่า และมันเจริญเมื่อไหร่ เราก็ฟังไปว่า ๔ รูปนี้เป็นมหาภูตรูปและตามเหตุก็รู้ว่า สี รส โอชา เป็นรูปที่เกิดพร้อมกันแต่ว่าไม่ได้เป็นมหาภูตรูป โดยความคิดและใช้เหตุผลก็เป็นอย่างนี้แต่ที่รู้จริงๆ ว่าแข็งเป็นมหาภูตรูปมันจะเกิดมั้ย หรือเกิดมั้ยตอนที่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้น)

- เอาหล่ะ เปิดเผยตัวจริง แข็งทั้งวันใช่ไหม (ใช่) ไม่รู้เลยว่าเป็นแค่แข็งที่ปรากฏ (นั่นแหละยังไม่รู้แค่นั้นแล้วจะไปรู้ว่าแข็งเป็นมหาภูตรูปได้อย่างไร) ไม่ใช่ ไม่ต้องเรียกชื่อ ตัดชื่อมหาภูตรูปออกไปเอาแค่แข็ง (เกิดทั้งวันแต่สีก็เกิดทั้งวัน) ใช่เรายังไม่พูดจนกว่าเราจะรู้ว่าแข้งไม่ใช่สี แล้วแข็งอยู่ไหน สีอยู่ไหน สีอยู่ไหนถ้าไม่มีแข็ง (ใช่ตรงนั้นตามเหตุผล)

- เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มรู้ความจริง แม้แต่สีปรากฏทางตาเมื่อกระทบตาไม่แข็งเลยเพราะฉะนั้นจะว่าแข็งมหาภูตรุปเป็นสีไม่ได้ สีเป็นสี แข็งเป็นแข็ง แต่สีอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงแข็ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 31 พ.ค. 2568

- (คุณเมตตา - ท่านอาจารย์ถามว่า งานที่ยากที่สุดในสังสารวัฏฏ์คืออะไร งานที่ยากที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ ละกิเลสซึ่งจริงๆ แล้วกิเลสก็มีมากมายสะสมมามากในสังสารวัฏฏ์ที่สะสมมา และกว่าที่จะค่อยๆ ละกิเลส การที่ท่านอาจารย์บอกว่า การที่จะอดทนมั้ยที่จะฟังเพื่อค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งความไม่รู้มากกมายมหาศาล เพราะฉะนั้นอดทนมั้ยที่จะฟัง ค่อยๆ ฟังเพื่อค่อยๆ รู้ทีละนิดๆ ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ค่อยๆ ละความไม่รู้ไปทีละน้อย งานที่ยากที่สุดคืองานละกิเลส แต่งานที่หนักก็คือหนักด้วยกิเลส หนักด้วยความไม่รู้ที่ยึดสภาพธรรมว่าเป็นเรา งานที่หนักคือหนักด้วยความเป็นเรา แต่ถ้าค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงที่กำลังมีขณะนี้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ ก็ค่อยๆ ละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังมีว่าเป็นเรา ถ้าค่อยๆ เข้าใจก็ค่อยๆ เบาสบายที่จะเข้าใจและค่อยๆ ไตร่ตรองสภาพธรรมแต่ละขณะไปโดยตามปกติ ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า การที่จะเข้าใจไม่ใช่จำเรื่องราว ตอบได้เป็นเรื่องเป็นราว เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นเรา ไม่ได้มีความเข้าใจว่าเห็นก็คือเห็นขณะนี้ที่กำลังปรากฏจริงๆ ซึ่งกำลังมีจริงๆ ไม่ใช่เห็นอยุ่ในหนังสือ เหนอยุ่ในรพระไตรปิฎกซึ่งท่องได้ จำได้ ก็จะไม่มีวันเข้าใจ การที่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีขณะนี้เป็นรอบไหนซึ่งตามความเข้าใจ คิดตามยังเผินมากคิดว่าเป็นรอบการฟังรอยปริยัติรอยรู้ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีขณะนี้ ท่านอาจารย์อธิบายว่า คำว่ารอบคือ ความเข้าใจมี ๓ รอบ รอบแรกคือความเข้าใจไตร่ตรองสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ซึ่งรอบนี้ก็อีกแสนไหลกว่าจะเข้าใตทีละนิดละความไม่รู้ทีละนิดๆ และค่อยๆ รู้ทีะนิดซึ่งก็ต้องอีกยาวไกลมากต้องด้วยความอดทนจริงๆ ที่จะเข้าใจฟังแล้วเข้าใจไตร่ตรองอย่างเดียว ท่นอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า รอบหนึ่งคือรอบอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ขอความเข้าใจตรงนี้ความละเอียดตรงนี้)

- อริยสัจจธรรมสามรอบทุกคนได้ยินใช่ไหม ยังไม่ต้องไปไหน คำว่ารอบคำเดียวคืออะไร ก็เราพูดว่าสามรอบแล้วรอบคืออะไร (คำว่า รอบ เข้าใจว่ารอบแรกคือรอบรู้ในพระพุทธพจน์ รอบรู้ในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง) เพราะฉะนั้นคำว่ารอบหมายความว่าอะไร อะไรเป็นรอบ (ต้อวมีความเข้าใจในอริยสัจจธรรมทั้ง ๔​)

- คุณเมตตาไม่ได้ฟังคำถาม คุณเมตตาคิดแบบเดิม แต่ลองฟังคำถาม คำว่า รอบคืออะไ รหมายความว่าอะไร (หมายถึงรอบรู้ในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้) นั่นหรือ รอบกับรอบรู้เหมือนกันไหม ขอความหมายของคำว่ารอบไม่ใช่รอบรู้

- (คุณสุคิน - มีความคิดเปรียบเทียบว่า สัจจญาณ กิจจญาณ กคญาณ ก็เหมือนกับอยุ่ขั้นโรงเรียนประถาม และเข้ามหาวิทยาลัยว่า สมมติว่าขั้นสัจจญาณต้องเรียนจบขั้นนี้ก่อน เราก็อยู่ในระหว่างนี้ในขั้นนี้ เราไม่ได้อยฝุ่ในมหาวิทยาลัยประมาณนั้น)

- (คุณตรัสวิน - ขอตอบว่า รอบก็คือหมุนไปรอบหนึ่งจะตีความว่าเป็นหนึ่งรอบสังสารวัฏฏ์ก็ได้ หนึ่งรอบสังสารวัฏฏ์ก็ใหญ่ หรือว่าหนึ่งรอบเล็กๆ ก็คือจากจุดเริ่มต้นวนกลับกลับมาถึงจุดเริ่มต้นใหม่ก็เป็น ๑ รอบ)

- เพราะฉะนั้นอริยสัจจธรรม ๔ ไม่ใช่เพียงหนึ่ง ในแต่ละ ๑ สามรอบคือต้องไตร่ตรองทั้ง ๔ ถ้าบอกว่าอริยสัจจธรรม ๑ จะครบสี่ไหม แต่ว่าอริยสัจจะรรมเป็นรอบของสิ่งนั้นที่เป็นสัจจะใช่ไหม ไม่ใช่มีแต่เพียง ๑ ต้อวมี ๒ มี ๓ มี ๔ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจทั้ง ๔ จึงจะเป็นหนึ่งรอบครบทั้ง ๔ (ต้องเข้าใจทั้ง ๔​ถึงจะเป็นหนึ่งรอบ) ครบทั้ง ๔ อริยสัจจธรรม ๔ สามรอบ อาการ ๑๒ ที่เขาจะต้องเป็นไปแต่ละรอบ

- (คุณเมตตา - ก็ต้องรอบรู้ใน ๑๒ อาการเลยคือรอบรู้ในอริยสัจจธรรมทั้ง ๔) เพียงแค่ ๑ พอไหม (เพียงแค่หนึ่งก็แสนไกลแสนยาก ก็ต้องทั้ง ๔ ท่านอาจารย์สนทนาเสมอๆ ว่าฟังและไตร่ตรองจนเข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีจริงๆ ต้องไตร่ตรองให้เข้าใจจริงๆ นี่คือหนทางเดียวจนกว่าจะรู้เห็นจริงๆ แสดงว่าต้องรู้ในรอบ ๑ ซึ่งมีสัจจธรรมทั้ง ๔ ต้องฟังไตร่ตรองจนกว่าจะรู้จริงในเห็นขระนั้นจนกว่าจะเข้าใจมั่นคงที่รู้เห็นจริงๆ ตรงนั้นก็คือมีความเข้าใจรอบหนึ่งมีความรอบรู้ในปริยัติ็คือมีความรอบรู้ในสัจจะรรมทั้ง ๔​ ใช่ไหม)

- เพราะเหตุว่า เราได้ฟังคำว่า “ทุกขอริยสัจจธรรม” เราเข้าใจว่าอย่างไร เพียงแค่นี้ยังไม่ถึงรอบใช่ไหม (ยัง) ต้องทั้ง ๔ (ทั้งหนทางด้วย เรากำลังฟังไตร่ตรองความจริงของสิง่ที่กำลังมี ไตร่ตรองคือความเข้าใจถุกเห็นถูกในหนทาง)

- ถ้าไม่รอบรู้ละเอียดอย่างยอ่งจะถึงรอบที่ ๒ ได้ไหม (ไม่มีทาง) อย่างเราพูดเรื่องสติ เดี๋ยวนี้มีสติไหม ถ้าไม่รู้แล้วจะไปไหนหล่ะ (แม้ชีวิตประจำวันยังไม่รู้เลยขณะไหนมีสติ) แล้วสติรู้อะไรก็ยังไม่รู้อีกแล้วจะไปหล่ะ แล้วจริงๆ แล้ว ชีวิตประจำวันทั้งหมดถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้ในความจริงซึ่งเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นพระสัมมสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมแต่ละ ๑ ปรากฏโดยนิมิต นิมิตของเห็นไม่ใช่ ๑ ขณะจิตที่กำลังปรากฏปกติอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นเวลาสภาพธรรมปรากฏก็ต้องปรากฏตามปกติแต่ปัญญาต่างหาก ปัญญาเท่านั้นที่คมขึ้นจนสามารถค่อยๆ ละความไม่รู้และความสงสัยในสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล้กทีละน้อย

- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เกี่ยวกับการละความสงสัยด้วย ถ้าไม่มีการละความสงสัย ปัญญาจะเจริญไปถึงรอบที่สองก็ไม่ได้ใช่ไหม) แน่นอนเพรราะฉะนั้นจึงรอบรู้ในอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ทีละรอบ (ถ้ายังไม่มั่นคงพอที่จะสนใจในสิ่งที่ปรากฏ เราคิดแค่เรื่องอื่น เรื่อวที่ไม่มี ที่ผ่านไปแล้ว เรื่องที่ยังไม่มา หรือคิดเรื่องธรรมก็แค่คิดไม่ได้เข้าใจ ความเข้าใจจะมั่นคงพอที่สติจะเกิดรุ้สิ่งที่ปรากฏ ความเข้าใจหนทางก็ต้องทั่นคงด้วยคือเกี่ยวข้องกันหมด)

- (คุณเมตตา - เพราะชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยความหลงลืมสติตลอดเวลา คิดโน่นคิดนี้ ละเลยความจริงที่กำลังมีขณะนี้จนกว่าได้ฟัง ฟังแล้วก็ไตร่ตรองบ่อยๆ เกิดขึ้นขึ้นมาได้สักนิดก็แสนยากกว่าที่จะรอบรู้ในสัจจธรรมทั้ง ๔​ก็แสนยาวไกล เอาแค่ขณะนี้รู้แค่ทุกขทุกขแค่นี้สิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้ก็ยาวไกลมาก)

- (คุณสุคิน - และฟังธรรมเราก็คิดเรื่องติดเรื่อง เข้าใจนี้เกิดแค่ไหน ส่วนใหญ่ติดเรื่อง อยากจะแชร์ว่าเป็นคนฟังไม่ดี ฟังแล้วก็หลงติดอยู่กับเรื่องคิดเรื่องอื่นตลอด วันหนึ่งคิดได้ว่า ติดเป็นเรื่องเป็นราว ติดอยากจะได้คำอธิบาย ไม่ได้สนใจธรรมที่กำลังปรากฏเลย นั่นเป็นปัญญาในการฟังธรรมติดเรื่องติดราวมาก)

- เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ไม่ต้องไปหาไกลเลย รอบตัวไม่พ้นจากธรรมเลย เพราะฉะนั้นธรรมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่ไม่เคยรู้ ตื่นขึ้นมาก็ไปแล้ว ทำโน่น ทำนี่ ทำนั่น ทั้งวันเห็นแล้วได้ยินแล้วอยู่ที่นี่ที่ชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นทรงแสดงว่า ถ้าไม่รู้จักชีวิตประจำวันจะรู้ธรรมไหม ลองคิดในแง่กลับ

- (คุณสุคิน - ชีวิตประจำวันคือธรรม แต่ถ้าไม่รู้จักชีวิตประจำวันแสดงว่าไม่รู้จักธรรม) นี่แหละเพราะฉะนั้นเราเริ่มใส่ฝใจในขณะหนึ่งขณะใดก็ได้โดยความเป็นอนัตตา เพราะว่าถึงจะรู้มากมายก่ายกอง คิดว่าวิเศษณ์มากอย่างไรๆ ก็ตามต้องถึงความเป็นอนัตตา มิฉะนั้นก็เป็นเราทั้งหมดเลยรู้โน่นรู้นี่รู้นั่น ทำโน่นทำนี่ทำนั่นทุกอย่างหมด เป็นเราพอกพูนขึ้นเท่าไหร่

- แต่ว่าทั้งหมดพอเกิดระลึกได้ ธรรมในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้ว่า มันไม่มีเรา มันไม่ใช่เรา เป็นแต่ละ ๑ เพราะทุกอย่างตั้งต้นตรงนี้ เห็นก็ตรงนี้ ได้ยินก็ตรงนี้ แต่ไม่รู้ว่า ตรงนี้แหละ ชีวิตประจำวันนี้แหละ นี่คือตัวธรรมที่ต้องรู้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องหาให้เจอ จะละอะไรตรงไหน ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ละเลย

- กว่าจะรู้จักเห็น ไม่ต้องไปไกลเลย แต่เพราะไม่รู้จักก็ไปไกลลิบ (นั่นแหละเพราะไม่รู้จักถึงไปที่อื่นอยู่ตลอดเวลา) เหนไหมว่า ต้องอาศัยเวบาอีกนานเท่าไหร่เป็นธรรมดา สะสมมาแค่ไหนมากมายแล้วจะให้หมดไปง่ายๆ เป็นไปได้อย่างไร กว่าความมืดความสกปรกความหนาแน่นเหนียวแน่นจะค่อยๆ ถูกแตะบางเบาไปทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะหมด ไม่ต้องถามใครเลย

- สนทนาธรรมเพื่อได้เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมแต่ความเข้าใจของแต่ละคนแค่ไหนรู้เอง ไม่มีใครจะรู้ได้นอกจากตัวเอง (รู้ต่อเมื่อมีกัลญาณมิตรเช่น ท่านอาตจารย์ ไม่มีท่านอาจารย์ไม่มีใครที่นั่งอยุ่ที่นี้จะสามารถรู้อะไรได้) เพราะฉะนั้นจึงทรงแสดงมงคล ๓๘​ สำคัญที่สุดใช่ไหม ไม่คบคนพาล

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 31 พ.ค. 2568

- (คุณสุคิน - ไม่คบคนพาล ช่วยขยายด้วย) ธรรมทั้งหมดเปลี่ยนไม่ได้เป็นความจริงและต้องสอดคล้องกันถ้าขัดแย้งกันหมายความว่า ยังไม่ได้เข้าใจธรรมนั้น ไม่คบคนพาล ไม่เห็นด้วย ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลให้เขาผิดต่อไป (นั่นตรงมาก แต่ในชีวิตประจำวันว่า แม้เรามีเมตตาต่อเขาแต่บางทีก็ต้องตัดสินใจว่า เรารู้ว่า อกุศลเขาเยอะมากและเขาอาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากคำพูดของเรา มนเมื่อชีวิตก็แสนและเราต้องมีการเลือกคบหรือไม่)

- แน่นอนหมายความว่า ไม่ว่าคบใคร ไม่เป็นอย่างเขาที่เป็นพาลแต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ทอดทิ้ง ให้ละเลย ให้ไม่ช่วย ถ้าสามารถจะช่วยได้ตามกำลังที่สมควร ไม่ใช่ว่าเหลิงไปอะไรไปจนกระทั่งไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก การกระทำทั้งหมดไม่ว่ากายหรือวาจาต้องอยุ่ในขอบเขตที่สมควรแก่กาละแะเทศะและอุปนิสัยของเขาในขณะนั้นซึ่งจะต้องเปลี่ยนไปอยุ่ตลอดเวลา

- เพราะฉะนั้นไม่คบความเห็นผิด ไม่คบความชั่ว ไม่คบกันแต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีมีเมตตา คบเพื่อช่วยเหลือดีไหม (เพื่อช่วยเหลือและถ้าไม่มีเมตตาก็ไม่มีความหมาย ถ้ามีเมตตาแล้วเราก็ต้องมีความเข้าใจด้วยว่าช่วยได้หรือไม่ได้) แน่นอน คบโดยไม่ทอดทิ้งที่จะช่วยให้เป็นคนดี แต่ไม่ใช่ไปคบค้าสมาคมเห็นผิดอย่างเขา ไม่ใช่คบหาสมาคมช่วยกันทำความผิดหรือเห็นผิดต่อไป นั่นคือไม่คบคนพาลแต่ไม่ใช่ทอดทิ้งละเลยไม่ช่วย เท่าที่สามารถจะเป็นไปได้ตามกำลัง

- ถ้าเราเป็นเขาและมีคนช่วยเรา ดีกว่าทอดทิ้งเรา ดีกว่าใช่ไหม (เห็นอยู่ว่าถ้าไม่มีท่านอาจารย์ เราจะแย่ขนาดไหน) เพราะฉะนั้นเป็นมิตรไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเป็นอย่างเขา มิตรคือมีเมตตา มีไมตรี พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือเมื่อสมควร ต้องรู้ดวยไม่ใช่มีไมตรีช่วยเหลือให้เขาเลวลงอย่างนั้นไม่ต้องช่วยดีกว่าช่วยให้เลวลงไม่สมควรช่วย

- เพราะฉะนั้นบางครั้งเราหยุด บางครั้งเราต่อ บางครั้งเราทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามความเหมาะสมตามความเป็นจริงที่ลึกซึ่งและละเอียดด้วย ไม่ใช่เพียงแค่พูด ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ลึกลงไปอุปนิสัยใจคอเปลี่ยนแอแปลงไปแค่ไหน นั่นเป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ได้แต่ก็รู้ได้ถ้าเราเป็นคนที่ละเอียด

- (การที่เราคบแล้วทำให้เขาเลวลง ตัวอย่างที่แย่ที่สุดแม้การที่เราพูดความจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์แต่เขาเข้าใจผิดและแถมไปสื่อความเข้าใจผิดๆ ของเขาให้คนอื่น นั่นคือเสียหายมาก) และเราไม่คบเลยถ้าเป็นในลักษณะนั้นเพราะยิ่งคบยิ่งเลวสำหรับเขา เราจะไม่ไปเพิ่มความเลวให้ใครเพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรองพิจารณษรอบด้านโดยละเอียดตามควรแก่กาบะในขณะนั้น เป็นกาละที่ถ้าช่วยแล้วเลวไม่ช่วย

- (คุณสุคิน - พูดถึงกาละคิดถึงอีกนัยที่ว่า บางคนเปิดฟังธรรมทั้งวันแต่ว่าเป็นอุปนิสัยที่เขาคิและหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ ตรงนี้เกี่ยวกับกาละด้วยหมายถึงว่า กาละปัญญาต้องเกิดถ้าปัญญาไม่เกิดก็ไม่ใช่เป็นกาละ ฟังธรรมโดยไม่เข้าใจก็ไม่ได้เป็นกาละ ตรงนี้ถูกผิดอย่างไร)

- เรื่องถูกผิดเราไม่สามารถจะรู้คนอื่นได้เท่ากับความถูกผิดของเรา เราไม่สามารถจะทำอะไรกับคนที่ไม่รู้ถูกไม่รู้ผิดหรือว่ารู้นิดรู้หน่อยหรืออะไรมากกว่ากัน เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลแต่ว่าใครเป็นอย่างไรก็ตามกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้แหละคิดอย่างไรเป็นกุศลหรืเป็นอกศลเพราะอะไร ไม่มีใครมาช่วยล้างความสกปรกตรงนี้ออกได้นอกจากตัวเอง

- กาละที่เป็นประโยชน์คือเข้าใจ เพราะฉะนั้นเรารู้ว่า เมื่อไหร่จะปิดเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะฟังต่อไปเพราะมีหน้าที่การงานอย่างอื่นทำซึ่งจะไม่ทำให้เข้าใจธรรม แต่ใครจะรู้ฟังไปตอนนี้ไม่ได้ฟังเลย ปุ๊ปปั๊บอยู่ตรงที่ได้ยินสิ่งที่เราได้เข้าใจทันทีตรงนั้นซึ่งลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งให้ทราบว่า รู้ธรรมที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ทุกขณะเดี๋ยวนี้ นั่นคือหนทางที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ หนทางที่ลึกซึ้งกว่าจะถึงว่า รู้สิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ต้องอาศัยคำสอนเท่าไหร่กว่าจะไม่เพ่นพ่านไปที่อื่นใช่ไหม

- (คุณสุคิน - นั่นแหละถ้าจะให้รู้สิ่งที่ปรากฏตอนนี้ก็ต้องเกิดจากที่ฟังธรรมเยอะมาก) จนกว่าจะมีปัจจัยให้รู้สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ ไม่ใช่ไปทำ ความลึกซึ้งละเอียดมากผิดนิดเดียวโลภะก็พาลิ่ว เป็นนายเป็นครูอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องละเอียดมาก ฟังธรรมก็ต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้เข้าใจสิ่งที่พูดหรือเปล่า เข้าใจเห็นจริงๆ หรือเปล่า เข้าใจสิ่งที่ปรกฏจริงหรือเปล่า เพราะว่า ความจริงลึกซึ้งรวดเร็วไม่เหลือ เพราะฉะนั้นมั่นคงในอริยสัจจธรรม

- ใครจะรู้ว่า ขณะนี้ปัญญาค่อยๆ สะสมค่อยๆ ขัดเกลาจนกว่าจะปรากฏในขีวิตประจำวัน ไม่ว่าปัญญาระดับไหนต้องในชีวิตประจำวันตามปกติ เห็นไหมคะคุณแอน กว่าจะรู้ว่าเป็นชีวิตประจำสันคือเดี๋ยวนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากธรรมเพราะว่ายังไม่เกิดก็เกิด ยังไม่รู้ก็ค่อยๆ รู้ แข็งทั้งวัน รู้ว่าแข็งมีจริงแข็งเกิดดับแต่เมื่อไหร่จะถึงตรงแข็งที่ตรงนั้นจะปรากฏเฉพาะแข็งทีละเล็กทีละน้อย

- (คุณสุคิน - ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือนิสัยชอบสรุป คิดถึงก่อนหน้านี้ที่พูดไปว่า จริงแล้วไม่ต้องพูดถึงบารมีต่างๆ เมื่อไหร่มีปัญญาก็มีบารมีอยู่แล้ว ทำให้นึกถึงความสำคัญของสัจจบารมี นั่นค้านกับที่สรุปก่อนหน้านี้ บารมีสำคัญทั้งหมด) ​จนกว่าจะรู้ทั่ว เห็นไหมแค่คำเดียว ลืมไหม จนกว่าจะรู้ทั่ว เมื่อยังไม่รู้ทั่วยังไม่มีปัจจัย ปัจจัยก็คือฟัง ไตร่ตรองละเอียดขึ้น

- (คุณสุคิน - และนี้ตรงกับความหมายของปริยัติที่ว่ารอบรู้) สิ่งทีมีรู้แค่ไหน พอไหม (ไม่พอและเลือกไม่ได้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ สะสมความไม่รู้ไม่ด้วยเพราะฉะนั้นเท่าไหร่ก็ไม่พอ) แล้วเราจะรู้ไหมว่า ที่เรามาสนทนากันเพราะเห็นโทษของความไม่รู้แต่มันน้อยมากกว่าอย่างอื่นแต่ถ้าเราไม่เห็นโทษของความไม่รู้เราก็ไม่มานั่งพูดถึงความละเอียดของธรรมจนกว่าจะสามารถถึงธรรมด้วยความเข้าใจด้วยความอดทน

- (คุณสุคิน - ก่อนหน้านี้คุณเมตตาพูดถึงว่าละกิเลส พูดถึงกิเลสโทษของกิเลส ตอนนั้นคิดว่านั่นแหละแต่สำคัญที่สุดคือ ความไม่รู้ ถ้ามีความไม่รู้กิเลสก็ต้องมีอยู่และสำคัญที่สุดถ้าไม่รู้ว่าที่ต้องละคือความไม่รู้อย่างอื่นละไม่ได้เลย)

- และเราก็ไม่สามารถจะรู้ความลึกซึ้งของมรรคคือหนทางที่จะเข้าใจความจริงว่า ขณะนี้ที่เราสนทนากันไปมาค่อยๆ ไตร่ตรอง กำลังเริ่มภาวนาอบรมความเข้าใจที่ยังไม่มีให้มีขึ้น ความเข้าใจที่ไม่ละเอียดให้ละเอียดขึ้นจนกว่าจะมั่นคง หนทางเดียวมิฉะนั้นจะไม่มีวันที่ความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นได้

- (คุณสุคิน - ใช่ ต้องใช้หลายกัปป์ ความไม่รู้เยอะมาก ฟังท่านอาจารย์แต่ละคำก็มานั่งคิดด้วยโลภะแล้วว่าจะทำอย่างไรที่จะให้มันไม่ไปจากจิต ไม่มีความรู้เลย) จึงจะเห็นความลึกซึ้งของหนทางว่าละเอียดอย่างยิ่ง ค่อยๆ น้อมๆ ไปใกล้ต่อการที่จะรู้ว่า ต้องละหรือว่ากำลังละไม่ใช่กำลังติดข้องเมื่อรู้ว่าลึกซึ้ง

- (คุณตรัสวิน - ฟังไปก็ทราบว่าตัวเองยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมาก แต่ว่าก็รู้ว่าอกุศลไม่ดีและไม่ได้ชอบอกุศลที่มีที่เกิดขึ้น แต่ก็บางทีทำงานรับใช้มูลนิธิฯ ทำโดยไม่มีความเข้าใจก็เยอะเพราะว่าถ้าเข้าใจก็จะละโทสะ ขัดเกลาไปได้ แต่ทำไปโทสะก็เกิด เลยรู้สึกว่า เราโง่มากดักดานหรืออย่างไร แต่ทีนี้ยังดักดานด้วยความเป็นเราก็เลยงงๆ)

- บุญจริงๆ คุณจิ๋วที่รู้ ถ้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร (ถ้าไม่รู้ก็ยิ่งดักดานต่อไปและอาจจะทิ้งงานเลย ไม่ทำ) นี่แหละเริ่มเห็นโทษและค่อยๆ ไตร่ตรองด้วยความอดทนต่ออกุศลที่มันพยายามที่จะเกิดแทรกได้ทุกโอกาสเพราะมันยังมีอยุ่มากไม่น้อยเลย เพราะฉะนั้นรู้ทันขณะที่อกุศลเกิดว่า มากอย่างนี้ถึงได้เป็นอย่างนี้ ปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องในโทษของอกุศล เพราะว่าขณะที่อกุลเกิดขณะนั้นไม่ได้เห็นโทษจึงเกิดได้

- (คุณสุคิน - โทษของโทสะเกิดจากโลภะ ถ้าไม่มีโลภะก้ไม่มีโทสะ ใช่ไหม และเราไม่สังเกตโลภะ ไม่ได้สนใจที่จะละโลภะเลย มีโทสะเราก็ไม่อยากจะมีโทสะ แต่ถ้าไม่เข้าใจโลภะโทสะก็ละไม่ได้)

- เห็นไหม ค่อยๆ เห็นทีละน้อยๆ จนกระทั่งเป็นปกติ อดทนอะไรจะเท่าอดทนที่จะรู้ความจริงที่จะละความไม่ดีได้แต่หนทางมีคือความอดทนและเห็นประโยชน์แอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยก็ต้องมากขึ้นในทางฝ่ายอกุศล (คุณตรัสวิน - ก็รู้สึกว่าอดทนก็ไม่คอยเจริญ) ทีเดียวมากๆ ได้ไหม ทีละนิดทีละหน่อย (เป็นมากๆ เหลือแค่หงุดหงิดรำคาญ แต่รำคาญเป็นมาก)

- แต่เห็นไหม คุณจิ๋วเริ่มรู้แล้วจากมากๆ ก็รำคาญ และเขาจะโผล่มาเรื่อยๆ ทดฃองบ้างอะไรบ้าง ให้รู้ว่าแค่ไหนแ้วเข้าใจอไรต่างๆ หนทางเดียวได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นปาฏิหาริย์เมื่อถึงเวลาที่จะรู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ได้สะสมมาแล้วตามความเป็นจริงเพราะเขากำลังเกิดให้รู้ ถ้าเขาไม่เกิดให้รู้เลยคุณจิ๋วจะรู้ได้อย่างไรว่า สะสมมามหาศาลทุกคนไม่ใช่คุณจิ๋วคนเดียว

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 31 พ.ค. 2568

- (คุณสุคิน - นั่นแหละท่านอาจารย์ คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ที่ว่าเราคิดว่า ตอนนี้เราโกรธน้อยลงหรือว่าโลภะน้อยลง ในเมื่อเราเป็นปุถุชน กิเลสยังหนาแน่นเหมือนเดิม ก่อนฟังธรรมกับตอนนี้คงไม่ได้ต่างอะไรมากกมาย ทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปที่เราสังเกตในชีวิตประจำวันเป็นเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน ก็คือเป็นเพราะเหตุปัจจัยเมื่อไหร่มีเหตุ ตามที่ท่านอาจารย์บอกว่าจะโผล่ออกมาให้เห็นเมื่อไหร่ก็ได้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นต้องระวังตรงนี้ใช่ไหมเพราะความไม่รู้เยอะขนาดนี้่จะหวังว่ากิเลสจะน้อยได้อย่างไร)

- และถ้ายังกังวลอยู่กับเขาก็เพิ่มขยะ ขยะจริงๆ พอปัดทิ้งสบายมาก จบ ตั้งต้นใหม่ทุกขณะ เรื่องเก่าหมดแล้วเพราะทุกอย่างใหม่ทั้งนั้นตามการปรุงแต่งซึ่งยากที่จะรู้ว่า แต่ละบุคคลกำลังมีอะไรที่ปรุงแต่งแล้วเกิดขึ้นให้เห็น ขยะมีเยอะไหม (ถ้ากิเลสแปลงเป็นรุปได้จักรวาลก็ไม่พอที่จะเก็บ)

- เพราะฉะนั้นเราได้มีโอกาสได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟังถ้าไม่มีการสะสมมาที่จะได้ฟัง ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วเป้นคำที่ประโยชน์สูงสุดยิ่งกว่าลาภใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเราก็ทิ้งลาภไปเอาขยะมาก็เป็นเรื่องของการที่ว่า ไม่ได้ไตร่ตรองถึงคุณอย่างยิ่งของการที่มีบุคคลผู้เลิศอุตส่าห์บำเพ็ญบารมีอดทนนานเท่าไหร่กว่าใครในสากลจักรวาลเพื่อให้เราฟัง

- ฟังแล้วค่ามหาศาลที่ได้เข้าใจและเห็นคุณ เพราะเราเองไม่มีความสามารถหรอกที่จะไปถึงระดับนั้นได้ เเพียงแต่ว่า เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง ผู้ที่มีพระมหากรุณาอย่างยิ่งเพราะรู้ว่าสัตว์ทั้งปวงไม่สามารถจะพ้นทุกข์ของสังสารวัฏฏ์ได้ ไม่สามารถพ้นทุกข์ของสังสารวัฏฏ์ได้ ทุกข์นานาชนิด ทุกขืที่ได้ฟังคำที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ฯลฯ ทุกข์เพราะอย่างนั้น ทุกข์เพราะอย่างนี้ สารพัดอย่าง ต้องหัดนิสัยหมดแล้วไม่สนใจแล้ว หมดแล้วเดี๋ยวนี้คืออะไร

- หาความจริงจากสิ่งที่มีเพราะสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้วหมดแล้วแน่นอน ไม่ว่าจะเป้นการปรุงแต่งของกุศลหรืออกุศลใดๆ ทั้งสิ้น หมดแล้วหมดและความจริงเดี๋ยวนี้คืออะไร ยังมีความไม่รู้อีกมากและมีโอกาสจะรู้ ใครก็ตัดสินให้ไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องของแต่ละคน

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕​ พรรษา เพราะรู้อัธยาศัยที่หลากหลายจึงมีคำแต่ละคำซึ่งเป็นสิ่งที่จะเตือนใจของแต่ละบุคคลต่างๆ กันว่า คำไหนจะเตือนใจ ชีวิตน้อยมากพรุ่งนี้เราก็จากโลกนี้ไปได้หรือแม้ขณะนี้ เพราะฉะนั้นจะเอาอะไรไป ขยะหรือทิ้งเลยและก็รู้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือ ระลึกถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นค่ามหาศาลจึงสามารถค่อยๆ ประพฤติตามได้

- ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเข้าใจแต่ต้องประพฤติตามด้วยกำลังของคุณความดีที่เป็นบารมีที่ค่อยๆ สะสมทุกประการ ต้องอดทนระดับไหน งานใหญ๋ที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ไม่ตามกิเลส ค่้อยๆ รู้ทัน ค่อยๆ เห็นโทษ ไม่ใช่ฟังแล้ว โทาแค่นี้แต่เวลาเกิดไม่เห็น แต่ก็อบรมไปทุกขระเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

- (คุณสุคิน - พอได้ยินท่านอาจารย์พูดว่าประพฤติตาม ก็เริ่มแล้วอยากจะประพฤติตาม นั่นก็กิเลส) เพราะฉะนั้นแล้วแต่อะไรจะเกิด ค่อยๆ เข้าใจ สติ สติปัฏฐาน สติสัมปชัญญะ อยู่ที่ความเข้าใจแต่ละขณะที่จะปรุงแต่งจนถึงขณะนั้น ทุกขณะที่ได้เข้าใจะรรมประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เห็นไหมจากวันที่ไม่รู้เลย ไม่เข้าใจเลย จนค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งรู้สิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ว่า ไม่ใช่เรา จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงของเดี๋ยวนี้เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ รู้ได้แน่นอนแต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ขันติบารมีเห็นไหม ไม่สงสัยเลย วิริยะบารมี เมตตาบารมีทุกอย่าง มิใช่จะมีแต่บารมีเดียว

- คุณแอนคะ มีประโยชน์ไหมคะวันนี้ (มีประโยชน์) เราเรียกว่า ยาวิเศษรักษาโรคกิเลสได้ ทุกคนมีโรคกายคุณสิคินก็เพิ่งผ่านโรคกาย คุณวีระก้เพิ่งผ่าน คุณอรรรพก็กำลังเป้น โรคกายประจำวัน โรคหิว โรคคันนิดๆ หน่อยๆ โรคปวด ฯลฯ แต่โรคกิเลสรักษายากที่สุดต้องมียาวิเศษเท่านั้นที่จะรักษาได้ (ไม่ใช่รักษาง่าย เราเสพอยู่ทั้งวันเลยเพิ่มอยู่ทั้งวันเชื้อโรคนี้)

- นี้เป็นการที่ได้เข้าใจพระธรรมค่อยๆ ทีละน้อยมากที่จะค่อยๆ ก้าวไปๆ สู่สิ่งที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้ หนทางเดียวใช่ไหม ถ้าไม่พูดถึงเลยไม่มีวันที่จะรู้ขณะที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ได้ และเราก็สามารถที่จะพูดถึงธรรมอื่นๆ เช่น สติ ใช่ไหม โทสะรู้จักกันดี โลภะรู้จักกันดีแต่เป็นเรา รู้ว่าผิดแล้วตรงนี้ เพราะฉะนั้นฟังบ่อยๆ ค่อยๆ คลายความเป็นเรา

- ตั้งหลายคนที่ชีวิตประจำวันค่อยๆ เปลี่ยนไป อย่างบางคนขับรถไปมีรถตัดหน้า เคยโกรธ เดี๋ยวนี้ก็รู้ว่า เขาคงมีความจำเป็น ฯลฯ ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีลน้อยๆ จนถึงระดับที่เพิ่มขึ้น มีกำลังขึ้นสามารถรู้ลักษณะของสติสัมปชัญญะ เพราะจิตเห็นเท่านั้นไม่ใช่สติ ปัญญาก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องแต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่น ไม่ใช่ปัญญาสามารถที่จะเกิดขึ้นตามลำพังได้

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพทุธเจ้าทรงแสดงธรรมอื่นประกอบที่มีในชีวิตประจำวันแต่ไม่รู้ เช่น เจตสิก ๗​ ประเภท ค่อยๆ รู้ทีละ ๑​ ทั้งๆ ที่ยังไม่ปรากฏแต่ก็เริ่มเข้าใจได้ว่าอะไรหล่ะที่ปรากฏ มีจริงแต่ปรากฏเมื่อไหร่อย่างไรให้รู้ความเป็นจริงทุกขณะเดี๋ยวนี้ เป็นหนทางที่จะรอบรู้ในอริยัจจธรรมรอบที่ ๑​ เพราะฉะนั้นไม่ฟังจะไม่มีอะไรที่จะทำให้เข้าใจสิ่งทีกำลังมีเดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าฟังแล้ว “ธรรม”​ เห็นไหม พูดบ่อยๆ แต่เป็นธรรมหรือยังหรือยังเป็นเรา

- คุณจิ๋วเป็นไงบ้างคะ (ยังอยู่ค่ะ ก็ได้ประโยชน์ โทสะเดี๋ยวก็เยอะ สะสมมาเยอะ) มันเป็นโทษกับตัวเองนะ มันไม่ได้เป็นโทษกับคนอื่นเลย เห็นไหม ผเข้าใจ เพียงแต่ว่าก็ดีอยู่อย่างเพียงโทสะเกิดก็แป็บเดียว ขยะก็ไม่ได้เก็บเท่าไหร่ คือ โกรธแล้วก็แล้วไป แต่บางทีเป็นคนคิดเร็วเรื่องงานทั่วๆ ไปถ้าบางคนคิดตามไม่ทันก็รำคาญว่า ทำไม่เขานึกไม่ออก ทำไมต้องอธิบายเยอะ ก็แค่นั้น ก็สะสมมาแบบทำอะไรทำ ทำเร็วคิดเร็ว)

- แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าขณะนั้นยังไม่รู้ เห็นไหมมันอยู่ที่ตัวจะรู้มั้ยในความไม่ใช่เรา ไม่มีเรื่องอื่นเลย จะไปเอาออกโดยวิธีอื่นไม่มีทางเลย ต้องตามลำดับคือรู้ความจริงว่า เป็นธรรมที่เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ เกิดแล้วจะไม่ให้เกิดไม่ได้ จะห้ามไม่ได้ จะอยากให้น้อยลงไม่ได้เลย เขาเกิดแล้วให้รู้ตามความเป็นจริงจนกว่าจะรู้

- (คุณตรัสวิน - ไม่ได้คิดว่าจะให้มันหายไป หรือคิดว่าจะให้มันน้อยลง ก็อยู่ไปตามธรรมดา ทำงานไปตามธรรมดา ก็เป็นอย่างนั้น อะไรก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่ทำ) อะไรที่สะสมมาก็ปรากฏให้เห็นจริงๆ เลยห้ามไม่ได้ แต่ก็ดีถ้าเราสามารถที่จะรู้สิ่งที่เกิดแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไร

- (คุณสุคิน - เมื่อท่านอาจารย์บอกว่า อกุศลเกิดให้รู้ ก่อนหน้านี้คิดถึงกุศลทั่วไปที่ไม่ใช่บารมี นั่นก็เกิดให้รู้ด้วยใช่ไหม) ทุกอย่างเลือกไม่ได้เลย อนัตตา ต้องมั่นคงในความเป็นอนัตตา แม้เกิดแล้วก้ไม่ได้เลือก เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยทั้งกมดทุกอย่างจนมั่นคง

- (ตอนนั้นคิดในนัยว่า กุศลทั่วไปไม่ได้เป็นหนทาง แต่ว่าตอนที่เกิดไม่ได้มีโมหะก็เป็นประโยชน์ตรงนั้น แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้นเกิดเป็นอารมณ์ของปัญญาได้ด้วย ตรงนั้นจะเป็นประโยชน์ที่สุดเลย) เพราฉะนั้นเรื่องละไม่เลือกคือเลือกไม่ได้ แล้วแต่จะรู้อะไรตามปัจจัยที่เกิดแล้วให้รู้ ให้รู้แต่ไม่รู็ก็เลือกไม่ได้อีก ทุกอย่างต้องชัดเจนในความเป็นอนัตราค่อยๆ เพิ่มขึ้น สำคัญกว่าอย่างอื่นหมดเป็นคนดีไม่โกรธใครเลยแต่ก็ไม่รู้ธรรม เลือกเอาอย่างไหน ไม่ใช่เลือกแต่ให้พิจารณาเห็นประโยชน์และโทษ

- (ตรงนั้นถึงสำคัญว่าเห็นโทษของความไม่รู้) เพราะว่า บางคนแค่อยากเป็นคนดี สรรเสริญคนที่เป็นคนดี ไม่โกรธ ไม่โลภ พูดจาดี ฯลฯ แต่ไม่รู้ เอาไหมกับรู้ทุกอย่างที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์ จะเกิดเมื่อถึงเวลาพร้อมด้วยปัจจัยจึงเกิด ตรงนี้ที่จะรู้ว่า ถ้าตราบใดที่ยังไม่ถึงการละความไม่รู้ การละความยึดถือว่าเป็นตัวตน ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งกิเลสได้ เพราะกิเลสมีตั้งแต่โลภะโทสะ เห็นไหม ปรากฏให้ด้วยและโมหะยากที่จะรู้ได้แต่เป็นธรรมดา ธรรมดาจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้แค่ไหนก็แค่นั้น ฟังต่อไปอีกเข้าใจขึ้นอีกแล้วแต่ปัจจัย จะเกิดระลึกเมื่อไหร่ จะเกิดนอนไม่หลับ คิดถึงธรรมเทื่อไหร่ จะเกิดอะไรขึ้นแล้วคิดอย่างไร เป็นธรรมทั้งหมด เห็นความเป็นอนัตตาทีละเล็กทีละน้อยเพราะว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

- คุณแอนมีข้อสงสัยอะไรไหมหรือในธรรมอะไร (ตอนนี้ไม่มี) เพราะฉะนั้นเราจะรู้ตัวว่าเราจะรู้แค่ไหน เพราะฉะนั้จะถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร แค่นี้จะรู้เลย ถึงความเข้าใจระดับไหน มีใครจะตอบไหม เดี๋ยวนี้มีอะไร (คุณสุคิน - มีความไม่รู้ ประมาณเอา ไม่ได้รู้จริงๆ) แล้วไม่รู้อะไร เห็นไหม คำถามต่อไปที่จะให้รู้ว่า ความไม่รู้หนาแน่นและความเข้าใจต้องลึกซึ้งจริงๆ จึงจะพบธรรมเจอธรรมได้ ไม่รู้อะไร (ไม่รู้ว่าเห็นมีอยู่ ได้ยินมีอยู่แต่ไม่รู้เลย) แล้วยังไม่รู้อะไรอีก (ไม่รู้คิด ไม่รู้อะไรเลย)

- ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีธาตุรู้แน่นอน ไม่เคยขาดไปไหนไม่เคยหมดเลยแต่ลืม คิดถึงแต่เห็นได้ยินพวกนี้แต่ก็มีไม่รู้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ตัวชัดเจนคือธาตุไม่รู้ กว่าจะถึงตัวธาตุไม่รู้และกว่าจะถึงตัวธาตุรู้ ต่างกันแล้วใช่ไหมเพราะธาตุไม่รู้ก็เป็นธาตุรู้

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 31 พ.ค. 2568

- (คุณสุคิน - คิดถึงเรื่องนี้ด้วย เราฟังว่ามีนามก็มีรูป นามเป็นธาตุที่รู้และรูปเป็นธาตุที่ไม่รู้อะไร แต่ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ถามเราก็ตอบว่า รูปไม่รู้อะไรโดยความไม่รู้ทั้งนั้นเลยแค่พูดตามที่เคยได้ยินแค่นั้นเองแต่ไม่มีความเข้าใจเลยว่า รูปเป็นธาตุที่ไม่รู้ เป็นธาตุยังไม่รู้แต่นี้เป็นธาตุที่ไม่รู้แค่คิดเอง)

- เพราะความไม่รู้มากๆ พร้อมที่จะเกิดแน่นอนโดยไม่รู้ เห็นไหม ขณะนั้นไม่รู้แต่ไม่รู้เป็นลักษณะของนามธรรมเป็นธาตุที่เกิดขึ้นขณะนั้นแสดงเปิดเผยว่าไม่รู้ แต่ปัญญายังไม่รู้ถึงธาตุที่ไม่รู้

- (คุณแอน - เมื่อกี้ท่านอาจารย์พูด ปัญญายังไม่รู้ธาตุที่ไม่รู้) ถูกต้องไหม คุณแอนลองตั้งต้นใหม่ เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีธาตุ) เดี๋ยวนี้ไม่รู้ใช่ไหม บอกไม่ได้ว่าอะไรขณะนั้นไม่รู้แล้ว ถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร บอกไม่ได้ คือขณะนั้นไม่รู้แล้ว แต่ไม่รู้นั้นแหละยังไม่รู้ว่าเป็นธาตุไม่รู้ เป็นธรรมที่มีจริงไม่รู้ ลักษณะนั้นเองที่เป็นความไม่รู้ ยังไม่รู้ในความเป็นความไม่รู้แต่ตอบว่าเป็นธาตุไม่รู้ แต่กว่าจะถึงความเป็นธาตุของธรรมที่ไม่รู้ เพราะเรารู้แค่ไม่รู้ใช่ไหม แต่ไม่รู้ถึงว่า ความไม่รู้นั้นแหละเป็นธาตุชนิด ๑ มีจริง

- (คุณสุคิน - ทุกอย่างที่เราได้ยินเกี่ยวกับความไม่รู้หรืออวิชชานี้ก็แค่เป็นเรื่องเป็นราว เรายังไม่รู้ลักษณะมันเลย)

(คุณแอน - ใช่ เป็นเรื่องความเป็นเราใช่ไหม)

- (คุณสุคิน - ไม่เป็นเรื่องเป็นราวแต่ไม่ใช่รู้โดยตรงว่า นี้เป็นธาตุ ธาตุที่รู้อย่างหนึ่งและทำกิจไม่รู้ มันอีกไกลมากที่จะรู้อย่างนั้น)

- (คุณเมตตา - แล้วกว่าจะถึงตัวธาตุที่ไม่รู้ กว่าจะถึงตัวธาตุไม่รู้ก็ต้องเป็นความรู้ที่รู้สิ่งที่มีถึงจะละธาตุไม่รู้)

- เพราะฉะนั้นเราพูดถึงธาตุไม่รู้ตลอดเวลาแต่ไม่ได้หมายความว่า เรารู้ธาตุที่ไม่รู้แล้ว (ใช่ เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า กว่าจะถึงตัวธาตุไม่รู้ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้สิ่งที่กำลังมีขณะนั้นถึงจะละธาตุไม่รู้ได้) และถ้าไม่มีรอบที่ ๑ เดี๋ยวนี้จะถึงรอบที่ ๓ ที่เราพูดไหม

- (คุณสุคิน - คุณเมตตา ก่อนที่จะรู้ธาตุไม่รู้เราต้องรู้จักธาตุรู้อื่นเยอะเลยอย่างเช่นเห็นได้ยิน) เห็นไหม เรายังไม่รู้ธาตุเห็นซึ่งเป็นธาตุรู้และไม่รู้ะาตุไม่รู้ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้ที่ไม่รู้ ไม่รู้ทีนี้หมายความว่า ไม่รู้ความจริง

- วันนี้ก็สมควรที่เราได้สนทนาบูชาคุณพระรัตนตรัยที่เราได้ฟังในความลึกซึ้งอย่างยิ่งซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เห็นประโยชน์สูงสุด แล้วก็ปัจจัยที่จะทำให้ไม่ละทิ้งไม่ละเลยก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ยินดีในกุศลของทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 2 มิ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ