เมื่อรู้คุณความจริงจึงบูชาคุณ

 
เมตตา
วันที่  28 พ.ค. 2568
หมายเลข  50046
อ่าน  408

[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 268

ข้อความบางตอนจาก ... ทุลลภบุคคล

อรรถกถาบุคคลผู้หาได้ยากในโลก 2 จำพวก

อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้เมตตารักใคร่ โดยไม่มีเหตุ ชื่อว่า บุพพการี

บุคคลเมตตารักใคร่ โดยมีเหตุ ชื่อว่า กตัญญูกตเวที

บุคคลผู้กระทำประโยชน์ โดยไม่เพ่งเล็งถึงเหตุ เป็นต้นอย่างนี้ว่า "ผู้นี้ จักกระทำอุปการะแก่เรา" ชื่อว่า บุพพการี

บุคคลผู้กระทำประโยชน์ โดยเพ่งเล็งถึงสาเหตุเป็นต้น อย่างนี้ว่า "ผู้นี้จักกระทำอุปการะแก่เรา" ชื่อว่า กตัญญูกตเวที

ผู้มืดมา สว่างไปข้างหน้า ชื่อว่า บุพพการี

ผู้สว่างมา สว่างไปข้างหน้า ชื่อว่า กตัญญูกตเวที

ผู้แสดงธรรม ชื่อว่าบุพพการี

ผู้ปฏิบัติธรรม ชื่อว่า กตัญญูกตเวที

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า บุพพการีในโลกนี้ พร้อมทั้ง เทวโลก

พระอริยสาวก ชื่อว่า กตัญญูกตเวที


อ.ธีรพันธ์: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ความคุ้นเคยนะครับ แม้แต่ผู้ที่เป็นชาวมคธ ถ้าพูดถึงธรรม ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะเข้าใจธรรมเลย แต่พอได้ยินคำว่า แม้แต่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมในครั้งพุทธกาล ก็ต้องศึกษานะครับ แม้แต่ชาวมคธแม้แต่ท่านคุ้นเคยกับมคธีภาษา ท่านก็ต้องศึกษาด้วยคำนี้ ทำให้ความคุ้นเคยคิดว่า เหมือนกับว่า จะต้องไปศึกษาคำ ศึกษาเรื่องของคำครับ

กราบเท้าท่านอาจารย์ ตรงนี้จะเห็นคำว่าศึกษาอย่างไรที่จะเป็นความละเอียดที่ไม่ใช่เพียงแค่คำ เพราะว่า เราใช้คำว่าศึกษานี่ก็เหมือนกับว่า เป็นวิชา หรืออะไรก็ตามที่จะต้องศึกษาเรื่องนั้นๆ ครับ

ท่านอาจารย์: คุณธีรพันธ์พูดภาษาจีนหรือเปล่า?

อ.ธีรพันธ์: เปล่าครับ ไม่ได้พูดครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ภาษาจีนพูดอะไรไม่ว่าคำไหนก็ไม่เข้าใจใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ครับ

ท่านอาจารย์: แต่ ถ้าจะเข้าใจความหมายของคำภาษาจีน ต้องศึกษาภาษาจีนก่อนใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ศึกษาครับ ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: แต่ถ้าเป็นคนจีนต้องศึกษาไหม?

อ.ธีรพันธ์: คนจีนไม่ต้องศึกษาครับเพราะใช้กันอยู่

ท่านอาจารย์: เราเป็นคนไทยพูดภาษาไทยเข้าใจเลย ไม่ต้องไปศึกษาภาษาไทยใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ครับผม

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คำภาษาไทยไม่สงสัย แต่มีคำที่ไม่ใช่ภาษาไทย เช่นคำว่า ธรรม ปฏิสัมภิทา อรรถะ เข้าใจไหม?

อ.ธีรพันธ์: ก็ยังไม่เข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษา เพราะไม่รู้ความหมายของคำนั้น

อ.ธีรพันธ์: จึงต้องศึกษา

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คนไทยพูดภาษาอังกฤษ เข้าใจความหมายภาษาอังกฤษ แต่ถ้าภาษาอังกฤษนั้นกล่าวถึง ธรรม เข้าใจไหม?

อ.ธีรพันธ์: ก็ยังอีกครับ เพราะว่า โดยเป็นภาษาอังกฤษ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คนไทยพูดภาษาไทย แล้วมีคำภาษาบาลี เข้าใจไหม?

อ.ธีรพันธ์: ก็ยังไม่เข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: ต้องศึกษาว่า คำนั้นหมายความว่าอะไรใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ใช่เลยครับ

ท่านอาจารย์: แม้เป็นคนไทย ก็ยังต้องศึกษาให้เข้าใจความหมายของคำนั้น

อ.ธีรพันธ์: แม้แต่เป็นคำไทยเอง

ท่านอาจารย์: แน่นอน เห็น เห็น คนไทยไม่รู้จักหรือเห็น?

อ.ธีรพันธ์: รู้จักเห็นครับ

ท่านอาจารย์: แต่ต้องศึกษา เห็น ว่า เห็นคืออะไรใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ถูกต้องเลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ว่าภาษาไหน ต้องเข้าใจสิ่งที่มีในภาษาของตนๆ

อ.ธีรพันธ์: สิ่งที่มีในภาษาของตนๆ

ท่านอาจารย์: เช่น เห็นเกิดขึ้นเห็น นี่ภาษาไทย

อ.ธีรพันธ์: ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไปใช้ภาษาบาลี แม้ว่าเขาเป็นคนที่ใช้ภาษานั้น ถ้าไม่ศึกษาจะเข้าใจไหมเหมือน คือคนไทยพูดว่า เห็นเกิดขึ้นเห็น เข้าใจไหม?

อ.ธีรพันธ์: ไม่เข้าใจ แต่ออกเสียงถูกครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า คำทุกคำ ต้องเข้าใจความเป็นของคำที่เราใช้ว่าเป็นอะไร เห็นเป็นเห็น แล้วก็ไม่เข้าใจใช่ไหม? เห็นเป็นธาตุรู้ เห็นเกิดขึ้นจึงมีเห็น และเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น และต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ค่อยๆ ฟัง ทั้งๆ ที่เป็นภาษาไทย คนไทยฟังหลายรอบจนกว่าจะเข้าใจความหมายของแต่ละคำแม้ในภาษาไทย แต่ภาษาไทยนี่แหละ กล่าวถึงธรรมที่ลึกซึ้งที่มีที่ไม่เคยรู้ อย่างเห็นเกิดขึ้นเห็น ง่ายๆ แต่ เห็น เป็นอะไรล่ะเกิดขึ้นเห็น

อ.ธีรพันธ์: ครับ ตรงนี้ครับ ก็ยังเป็นเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นภาพ เห็นความเคลื่อนไหว ก็ยังไม่เข้าถึงเห็นจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: จึงต้องศึกษาความหมายความเป็นจริงของธรรมนั้น ในภาษาของตนของตน

อ.ธีรพันธ์: ครับ แต่ความละเอียดของพระธรรมนี่ อย่างเช่น ที่กล่าวถึงคำว่าผัสสะครับ ผัสสะ คือสภาพธรรมที่กระทบอารมณ์ครับ ถ้ากล่าวถึงผล ก็คือคำว่าผัสสะ ก็ถ้าเข้าใจแต่ก็ไม่ใช่เพียงคำ แต่ว่ามีลักษณะ เพราะว่าผัสสะจะเกิดเดี่ยวๆ ไม่ได้ ผัสสะกระทบอารมณ์แล้วก็มีสภาพธรรมปรากฏ นี่ครับ

เพราะว่าคำว่า ผัสสะ อย่างเดียวก็เป็นทั้งเหตุด้วยครับ คือถ้ากล่าวธรรมอย่างเดียว เราอาจคิดว่าเป็นผลเท่านั้นครับ แต่ว่า ผัสสะ ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นผลก็ได้ หรือเป็นเหตุให้สภาพธรรมอื่นก็ได้ เป็นทั้งธรรม แล้วก็เป็นทั้งผล แล้วก็ไม่ใช่เพียงชื่อครับ แต่ว่าอย่างเช่น ไม่ใช่เพียงคำว่าผัสสะอย่างเดียว บางทีก็ใช้คำว่า ผัสสายตนะ ๖ นี่ครับ พร้อมกันทันทีครับ เป็นลักษณะที่มีจริงที่ไม่ใช่เพียงคำว่า ชื่อผัสสะ แต่ว่ามีธรรมที่ปรากฏ นี่ครับ ความลึกซึ้ง กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจสิ่งที่มีจริงให้ถูกต้อง ใช้คำว่า ผัสสะ ภาษาไทยแปลว่ากระทบ คนไทยสามารถจะเข้าใจว่า นั่นเป็นผัสสะหรือเปล่า ได้ไหมถ้าไม่ศึกษา?

อ.ธีรพันธ์: ไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ผัสสะเป็นสภาพรู้หรือเปล่า?

อ.ธีรพันธ์: เป็นสภาพรู้ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้กระทบได้ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ผัสสะก็รู้สิ่งที่กระทบใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: รู้ครับ

ท่านอาจารย์: แต่รู้โดยลักษณะที่กระทบเท่านั้น ไม่เกินกว่านั้น

อ.ธีรพันธ์: ครับ

ท่านอาจารย์: ลึกซึ้งไหม?

อ.ธีรพันธ์: ลึกซึ้งมากเลยครับ

ท่านอาจารย์: และผัสสะเกิดกับจิตใช่ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ครับ

ท่านอาจารย์: เมื่อผัสสะกระทบ เพราะรู้สิ่งใด จิตก็เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งนั้นพร้อมกันทันที เพราะฉะนั้น จิตไม่ใช่ผัสสะ และผัสสะก็ไม่ใช่จิต และถ้าไม่มีผัสสะกระทบอารมณ์ จิตจะเกิดขึ้นรู้ได้ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ไม่ได้เลยครับ

ท่านอาจารย์: และผัสสะกระทบอารมณ์นี้ จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นได้ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ต้องรู้อารมณ์นี้ ไม่ใช่อารมณ์อื่นครับ

ท่านอาจารย์: เกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น ผัสสะ ทำกิจกระทบเท่านั้น แล้วจิตก็เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบโดยรู้แจ้งลักษณะของสิ่งนั้น นั่นคือหน้าที่ของจิต และผัสสะก็ได้ทำหน้าที่ของผัสสะที่เกิดพร้อมกับจิตที่กระทบสิ่งใด จิตก็รู้สิ่งนั้น

เพราะฉะนั้น ผัสสะ จึงเป็นผัสสาหาร เป็นอาหาระ นำมาซึ่งสิ่งที่มีที่กระทบแล้วเป็นโลก เป็นอะไรๆ ทุกอย่าง ถ้าไม่มีการกระทบที่จะรู้สิ่งนั้นเลย ความคิดอะไรต่างๆ ก็ไม่มี

อ.ธีรพันธ์: ครับ ถ้าท่านอาจารย์ไม่กล่าวถึง ผมก็คิดว่า เพียงจิต พูดถึงผัสสะก็เกิดพร้อมกับจิต คิดถึงจิตเท่านั้น แต่ผัสสะนำมาซึ่งสภาพธรรมอื่น เช่นความรู้สึกด้วยนะครับ ความละเอียดไม่ใช่เพียงคำเดียวเท่านั้นที่จะเป็นอรรถะ สัมพันธ์กันหมดเลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เป็นอายตนะหรือเปล่า?

อ.ธีรพันธ์: เป็นครับ

ท่านอาจารย์: ไม่รู้จัก อายตนะ ตอบได้ไหม?

อ.ธีรพันธ์: ถ้าไม่เข้าใจก็ตอบไม่ได้ครับ เพียงชื่อ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้เลยว่า อายตนะ คืออะไร? แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ผัสสะ เป็นอายตะ เห็นไหม ต้องศึกษาทุกคำตามลำดับ นี่คือความค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ละความไม่รู้มากมายมหาศาล ทับถมพอกพูนหนาแน่นเหนียวแน่น ปิดบังมืดสนิท

เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทเลยในการที่จะรู้ว่า ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์นานเท่าไหร่ กว่าจะรู้ความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง ยิ่งกว่าบุคคลใดทั้งหมด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทรงแสดง อุปมาใบไม้ ๒ - ๓ ใบในกำมือกับใบไม้ในป่า ซึ่งเป็นพระปัญญาของพระองค์

อ.ธีรพันธ์: ครับ ขนาดแค่ ๒ - ๓ ใบ นี่ก็ยากทั้งหมดเลยแต่ละคำครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ ขอบพระคุณครับ นี่ ๒ - ๓ ใบ ๔๕ พรรษา และอรรถะอีก ที่ไม่ใช่เพียงคำเท่านั้นเองครับที่พระองค์ไม่ได้ทรงให้เข้าใจ คำ เพียงชื่อ แต่ว่า ที่จะถึงที่จะค่อยๆ รู้ความจริงครับ

ท่านอาจารย์: เมื่อรู้คุณความจริงจึงบูชาคุณใช่ไหม ที่ได้มีโอกาสได้ฟัง ได้อบรม ได้เจริญ ปัญญา จนสามารถเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น แล้วจะไม่มีพระคุณสูงสุดได้อย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: ขณะนี้ยังแค่นี้เลยครับ กราบเท้าท่านอาจารย์มา ณ.ตรงนี้ครับ

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

รู้คุณของความดี

ขอเชิญคลิกฟังได้ที่..

รู้คุณและแทนคุณของพระธรรม

รู้คุณของความดี

ภัยของผัสสาหารเปรียบด้วยแม่โคไม่มีหนัง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธีรพันธ์ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 29 พ.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 31 พ.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ