English-Hindi 24 May 2025

 
prinwut
วันที่  24 พ.ค. 2568
หมายเลข  50017
อ่าน  413

English-Hindi 24 May 2025


- ถึงเวลาที่จะเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้เพราะเป็นขณะที่มีค่าอย่างยิ่ง เพราะว่าแต่ละขณะเป็นธรรมแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมจนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกอย่างและทรงแสดงความจริงสูงสุด ทรงแสดงอริยสัจจะ เป็นการอบรมความเข้าใจถูกเหมือนเวลาที่ไปโรงเรียนเราก็ศึกษาสิ่งต่างๆ แต่ไม่ใช่แค่เป็นวิชาชีพ แต่ว่าเป็นการศึกษาความจริงของชีวิตในสังสารวัฏฏ์ด้วยความเข้าใจความจริงสูงสุด มิฉะนั้นจะไม่มีขณะที่เข้าใจความจริงได้เลย ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร

- เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ศึกษาธรรมคือ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมี มิฉะนั้นไม่มีทางรู้ความจริงเลยในแต่ละขณะของแต่ละชาติเหมือนที่ผ่านมาในแสนโกฏกัปป์ มีแต่ความมืดมิดของความไม่รู้ที่เพิ่มขึ้นเพราะไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะได้อ่านอะไรมาก็เป็นสิ่งที่สามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เพราะใส่ใจในสิ่งอื่นๆ รอบตัวเต็มไปหมดแทนที่จะใส่ใจในสิ่งที่กำลังมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแต่ละคำที่ส่งให้เห็นความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ จริงไหม

- (คุณสุคิน - เมื่อท่านอาจารย์กล่าวว่าถึงเวลาแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าต้องมีการสะสมบารมีมาแล้วมิฉะนั้นความสนใจก็จะเป็นไปในสิ่งอื่น ไม่ใช่ความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ และเมื่อเราได้ฟังการสนทนาธรรม ใจก็คิดไปเรื่องอื่นๆ ขณะนั้นไม่ได้เห็นประโยชน์ของขณะที่มีค่ายิ่งในสังสารวัฏฏ์ หรือแม้แต่คิดว่าจะพูดเรื่องอะไร แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจและบารมีน้อยมากทำให้คิดถึงสังเวค แสดงให้เห็นถึงความประมาทในชีวิตที่ยังสนใจใส่ใจในสิ่งที่ติดข้อง)

- ความต่างของอวิชชาและความเห็นถูกมีไหม เห็นไหมถ้าปราศจากคำจริงก้ไม่มีใครรู้ว่า ขณะไหนเป็นความไม่รู้และขณะไหนเป็นความรู้ (แม้การกล่าวธรรมด้วยความไม่รู้ขณะนั้นก็ต้องรู้ด้วยเพราะว่ามิเช่นนนั้นก็เป็นเพียงการพูดคำที่ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ เป็นเพียงการพูดตาม)

- คุณโซฮานยังสนใจที่จะเข้าใจธรรมไหม (สนใจ) เพราะฉะนั้นอยากสนทนาคำไหนที่ได้อ่านมาแล้ว (เดี๋ยวนี้) คำไหนก็ได้ ขณะไหนก็ได้ที่สนใจ มีธรรมอะไรเดี๋ยวนี้ (มีหลายอย่าง เดี๋ยวนี้มีเห็น) รู้จักเห็นตามความเป็นจริงหรือยัง (ยัง) สามารถที่จะรู้จักเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของเห็นว่าไม่ใช่ใครเป็นเพียงสภาพธรรมได้ไหม (ได้) มิฉะนั้นก็ไร้ประโยชน์เพราะเพียงแต่พูดคำ แต่ว่าเข้าใกล้ธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่เราได้กล่าวว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เป็นเพียงสภาพที่เกิดขึ้นและรู้อารมณ์ หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่รู้อารมณ์เพราะว่าเป็นสภาพที่แข็ง

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีคุณโซฮานไหม (ไม่มี มีแต่ธรรม) มีแต่ธรรมเท่านั้น สิ่งที่เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรารู้แล้วหรือยัง เดี๋ยวนี้มีธรรมประเภทไหน (นามธรรมและรูปธรรม) มีหลายนามหลายรูปไม่มีใครรู้ หรือเราจะเริ่มที่จะสนทนาเพิ่มขึ้นๆ ถึงลักษณะของสภาพธรรมนั้นจนกว่าลักษณะของสภาพนั้นจะปรากฏเพราะเราศึกษาลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ มามาก เป็นความจริง มิฉะนั้นก็มีแต่ความคิดว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่คืออะไรขณะไหน นี้เป็นการอบรมความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีให้ชัดเจนเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่คำแต่สิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏเพื่อความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

- ยกตัวอย่างเช่น เราไม่จำเป็นต้องพูดว่า “แข็งเป็นรูป” เพราะว่ากำลังมีแข็งจริงๆ แต่ถ้าไม่มีความใส่ใจในลักษณะที่แข็งว่า ไม่ใช่นิ้วของเรา ไม่ใช่หัวเข่าของเรา เป็นเพียงแข็งเท่านั้น ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ไม่สามาถที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลยเพราะมีเพียงลักษณะที่แข็งเท่านั้น กำลังแข็ง

- เพราะฉะนั้นมีหน้าต่างไหม มีเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นกระทบสัมผัสก็แข็ง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ที่ลอนดอน ที่ญี่ปุ่น ที่เนปาล ที่อินเดีย ทั้งหมดก็คือแข็งเหมือนกัน ถูกต้องไหม เพียงแข็งเท่านั้น ใครสามารถที่จะรอให้แข็งเกิดได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมไม่ได้ (เพราะเกิดขึ้นแล้ว) เพราะเกิดแล้วมิฉะนั้นเป็นอารมณ์กับสภาพรู้ไม่ได้ เห็นไหม เราอยู่ในโลกของสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับทันทีตลอดเวลา ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใดเลย

- ด้วยเหตุนี้ถ้าปราศจากการเข้าใจความจริงที่กำลังเห็นที่กำลังรู้อารมณ์ ย่อมต้องเป็น “เรา” ที่เห็น และเป็นอย่างอื่นด้วย “เราโกรธ” “เราติดข้อง“ ”เราชอบสิ่งนี้มาก“ ”เราเห็น“ ”เราได้ยิน“ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่กำลังมีจริงๆ นั้นไม่ใช่เราเลยเพราะเกิดแล้วดับสั้นมาก เกิดเพราะปัจจัยแล้วดับทันที ความเข้าใจอย่างนี้ที่เพิ่มขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ มั่นคงขึ้นๆ เป็นสัจจะบารมีเพื่อเข้าใจว่า ขณะที่มีค่าที่สุดในชีวิตไม่ว่าชาติไหนๆ ก็คือ ขณะที่เข้าใจความจริงเพราะว่าเป็นความจริงแต่ถูกปกปิดไว้ แต่ไม่มีใครคิดถึงเลย

- เพราะว่าไม่มีปัจจัยที่จะให้คิดอย่างนั้น จนกว่าจะได้ฟัง ฟังแล้วไม่ลืม ศึกษาเพื่อที่จะรู้ว่า กำลังมีอะไรด้วยความเข้าใจ แต่ไม่ได้รวดเร็วเหมือนอย่างที่เรากำลังสนทนากันจากการที่ได้ฟังไปจนถึงขณะที่รู้ตรงลักษณะ มันเป็นไปไม่ได้ ศึกษาเพื่อเข้าใจและมั่นคงขึ้นในสิ่งที่มีจริงที่เป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงในความจริงที่เป็นอนัตตา ก็เป็นเราที่พยายามที่ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้โดยไม่เข้าใจว่า ไม่มีใครเพราะจริงๆ ก็ไม่มีใครแต่มีปัจจัยที่มีจริงๆ ให้ธรรมเกิดขึ้น เกิดแล้วมีแล้วเดี๋ยวนี้

- (คุณสุคิน - ก่อนที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่ว่าจะเห็นได้ยิน ต้องเข้าใจก่อนว่ามีสภาพรู้เพราะถ้าไม่มีสภาพรู้ก็ไม่มีอะไรเลย เป็นอย่างนั้นใช่ไหม) ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงเข้าใจมั่นคงขึ้นในลักษณะของสิ่งที่เรากล่าวเป็น ”นาม“ หรือเป็น “รูป” เพื่อเตือนว่า นามไม่ใช่แค่คำแต่เป็นขณะที่กำลังเห็นใช่ไหม เพราะว่านามเป็นสิ่งที่มีจริงที่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นรู้อารมณ์ ธรรมเป็นธรรมจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นใครไม่ได้เลย

- ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งใด ด้วยเหตุนี้การที่จะค่อยๆ ละคลายความคิดว่าเป็นเราออกไปทีละน้อยๆ ก็เมื่อมีความเข้าใจถูกชัดเจนขึ้นๆ จนค่อยๆ ละความยึดถือว่าเป็นที่ลึกที่ได้สะสมมาในแสนโกฏกัปป์ เพราะฉะนั้ันความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังเท่านั้นที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่จะละคลายขณะที่เคยยึดถือว่าเป็นเราไปทีละเล็กทีละน้อยจนในที่สุดดับหมดไม่เหลือ ไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นอีกในสังสารวัฏฏ์ จริงไหม

- (คุณสุคิน - เพียงพูดว่าเป็นธรรมเป็นอนัตตาเท่านั้นยังไม่พอ ต้องอบรมความเข้าใจเพิ่มขึ้นซึ่งความเข้าใจก็น้อยมาก อบรมจนกว่าจะถึงขณะที่ความเข้าใจเกิดเข้าใจความจริงของอนัตตา) และความเข้าใจในสิ่งที่มีก็เริ่มที่จะค่อยๆ ปรากฏทีละน้อยๆ ตอนเริ่มต้นยังไม่ชัดเจนแต่มีการเริ่มย้ำเตือนด้วยการผุดขึ้นของความเข้าใจตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่เดี๋ยวนี้การผุดขึ้นก็กำลังมีแต่ถูกปิกปิดไว้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 24 พ.ค. 2568

- (การผุดขึ้นของสภาพธรรมถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้แต่เราอาจจะกล่าวได้ไหมว่า ที่ไม่รู้ก็เป็นเพราะสภาพธรรมเกิดดับเร็วมากด้วยจนสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ๑ ขณะก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหมดปรากฏโดยนิมิตหมายความว่า เพียงขณะเดียวรู้ไม่ได้ ถูกไหม ต้องมีจิตก่อนเห็น จิตหลังเห็นแต่สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้คือเห็นเท่านั้น กี่ขณะแล้ว แต่มีแต่เห็นเท่านั้น โดยนัยของวิถีจิตแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่เห็น ๑ ขณะจะปรากฏได้ หรือ รูปๆ หนึ่งจะปรากฏให้รู้ได้ เพราะการเกิดดับสืบต่อซ้ำๆ ของสภาพธรรมรวดเร็วสุดประมาณ

- (เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ความรวดเร็วของการเกิดดับเท่านั้นแต่เพราะไม่มีความเข้าใจด้วย แต่เมื่อเข้าใจความเข้าใจก็เข้าใจสิ่งที่ปรากฏโดยนิมิต เพราะฉะนั้นไม่ใช่การเข้าใจที่ละ ๑ ธรรมเพราะสิ่งที่ปรากฏกับปัญญาก็ปรากฏกับอวิชชา) แม้เพียง ๑ ลักษณะของ ๑ ธรรมก็ปรากฏโดยนิมิต เช่น นิมิตของเห็นเป็นนิมิตของสภาพที่กำลังเห็นเท่านั้น เป็นนิมิตขอสภาพที่กำลังได้ยินเท่านั้น เพียง ๑ ลักษณะของสภาพธรรมเท่านั้นที่สามารถจะรู้ได้โดยนิมิต

- ไม่สำคัญเลยเพราะว่า ความเข้าใจถูกสามารถเกิดขึ้นดี๋ยวนี้ก็ได้ เป็นความเข้าใจที่แทงตลอดอย่างชัดเจนยิ่งในสิ่งที่มีจริงทีละหนึ่ง เพราะเรากำลังพูดถึง ๑​ ขณะที่รู้อารมณ์ เราสนทนากันอย่างนี้แล้วความจริงก็ต้องเป็นอย่างนี้ สิ่งที่ต้องรู้ก็ต้องเป็นจริงอย่างนี้อย่างที่สนทนากันเปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ความเช้าใจถูกแทนที่ความไม่รู้ในสภาพที่กำลังเห็นหรือสภาพที่ถูกเห็นตามความเป็นจริง เพราะว่าปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นคนเต็มไปหมด แต่ความจริงโลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเพราะปรากฏกับความไม่รู้

- แต่แม้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สิ่งที่มีสามารถศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีได้ว่า จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นคนเป็นใครไปได้อย่างไร เพราะว่ามีสิ่งที่เกิดเพื่อรู้สิ่งที่ปรากฏแล้วดับเท่านั้นในชีวิตประจำวัน เห็นไหม

- ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงสูงสุดในขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริง ต้องเป็นเหมือนอย่างนี้ไม่เปลี่ยนเลย แต่ว่าต้องเป็นปัญญาที่มีกำลังมากพอที่จะละสภพาธรรมอื่นๆ เพราะกำลังเข้าใจเพียง ๑ ธรรมที่กำลังมีเท่านั้นที่ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ มิฉะนั้นไม่ถึงสติปัฏฐาน ไม่ถึงวิปัสสนาญาณ

- (คุณสุคิน - เมื่อได้ฟังก็เข้าใจตามในขั้นคิดได้ว่าต้องวเป็นอย่างนั้น แต่ขณะเดียวกันจะเข้าใจอย่างนั้นได้ก็ต้องไตร่ตรองอย่างมาก ต้องสะสมความเข้าใจอย่างมากจนกว่าจะถึงความเข้าใจว่าการเข้าใจธรรมต้องเป็นอย่างนี้ซึ่งยากมากๆ)

- เพราะฉะนั้นนั่นเป็นขณะที่เริ่มเข้าใจว่าบารมีคืออะไร ไม่ใช่แค่ ๑ ขณะที่เข้าใจ แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเดี๋ยวนี้เข้าใจกี่ขณะ เปลี่ยนไม่ได้ ขณะที่เข้าใจความจริงต้องเป็นปัญญาที่เฉียบแหลมมากๆ ที่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏด้วยความเข้าใจถูกในอริยสัจจะตั้งแต่ขั้นแรก เห็นไหม ไม่ใช่เรา ไม่คาดคิดมาก่อน เป็นความจริงเพราะว่าแต่ละขณะเดี๋ยวนี้ไม่มีใครคาดคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้นได้เลย ความจริงเปลี่ยนไม่ได้เพราะจริง

- เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า เข้าใจแค่ไหนในขณะที่เรากำลังสนทนากันก็มีเห็นมีได้ยิน ก่อนที่จะฟังด้วยความเคารพไม่มีความเข้าใจมีแต่การจำคำ จำว่านาม จำว่ารูป จำว่าเห็นเป็นนาม สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูป ฯลฯ ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการคิด เป็นการจำ หรือเป็นการกล่าวตามโดยไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ด้วยเหตุนี้สัจจะบารมีที่ตรงต่อความจริงจึงสำคัญอย่างยิ่ง

- เดี่ยวนี้จริงไหม อะไรปรากฏ สัมปฏิจฉันนะ สัณตีรณะไม่ปรากฏ จิตก่อนเห็นไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นปรากฏเป็นเพียงนิมิตของเห็น เพราะฉะนั้นขณะที่รู้แจ้งประจักษ์แจ้งลักษณะของเห็นที่กำลังปรากฏและอารมณ์ เห็นไหม นามรูปคือเดี๋ยวนี้ แต่เดี๋ยวนี้คือความไม่รู้ ไม่มีแม้แต่ความเข้าใจในความต่างของปริยัติและปฏิปัตติ

- เพราะฉะนั้นจะเข้าถึงการประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้อย่างไร (คุณสุคิน - ปัญหาหนึ่งก็คือ เรียนปริยัติแต่ยังไม่เป็นปริยัติ และมีความติดข้องมากในขณะนั้นในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความเข้าใจและนั่นยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ยากขึ้น) เพราะว่าเพียงฟังเท่านั้นไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดเพียงพอ

- พระธรรมเป็นคำสอน แต่ความจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีใกล้มากตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทั้งหมดเป็นธรรม แต่เรายึดคำสอนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในตำราที่พูดถึงนามธรรม เห็นไหม มันไม่ใช่ขณะที่จำ ไม่ใช่ขณะที่ติดข้อง ไม่ใช่ขณะที่กำลังมีแข็งเดี๋ยวนี้เลย เราเพียงศึกษาในตาราเล่มนี้เล่มนั้นแต่ความจริงมีธรรมอยู่ไม่ไกลเลยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

- ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงลึกซึ้งอย่างยิ่งก่อนที่จะสามารถนำไปสู่ขณะที่เข้าใจความจริงต้องเป็นการอบรมที่ยาวนานมากๆ ด้วยความเข้าใจขั้นที่สูงขึ้น ชัดเจนขึ้นพอที่จะรู้ได้ว่า ถ้าไม่มีขณะที่เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีในระหว่างที่กำลังสนทนากัน ยกตัวอย่างเช่น เห็นกำลังมี เห็นอยู่ไหน ไม่ไกลเลยใช่ไหม ฯลฯ แต่ขณะที่กำลังสนทนาเรื่องเห็นไม่ได้คิดถึงเห็นที่กำลังเห็นเลยจนกว่าเกิดขึ้นโดยปัจจัยทันทีตรงนั้น ต้องมีปัจจัยให้รำลึกรู้พร้อมความเข้าใจถูกทันทีโดยไม่คาดคิด เป็นการผุดขึ้นปัญญาแต่ยังไม่ชัดเจนเพราะปัญญายังไม่คมพอที่จะเข้าใจชัดเพราะต้องเป็นความเข้าใจที่เป็นไปตามลำดับขั้นโดยความเป็นอนัตตา

- (ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจก็ต้องเป็นความไม่รู้ ความติดข้องสลับกับความเห็นผิดตลอดเวลา แต่ขอให้กล่าวถึงเนกขัมมะบารมี ถ้าไม่ได้ยินเรื่องเนกขัมมะบ่อยๆ ก็ไม่มีปัจจัยที่จะสละออกจากความไม่รู้) เพราะฉะนั้นต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจถูกเป็นปัญญาบารมีเพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้บารมีอื่น ความอดทน วิริยะ สัจจะ เนกขัมมะ อธิษฐาน เห็นไหม กำลังอบรมบารมีทุกประการ ด้วยปัญญาที่เข้าใจและอบรมให้เจริญขึ้นทีละน้อยๆ เพิ่มขึ้นๆ เป็นธรรมดาเดี๋ยวนี้ และนี้เป็นหนทางเดียวเป็นอริยสัจจะที่ ๔

- (ขอให้กล่าวถึงมรรคหรือหนทาง) แต่ละขณะคือหนทาง ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ อบรมเพิ่มขึ้นเพื่อเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นในระดับต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัยตามธรรมดา ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น จากเมื่อก่อนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก็เริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่มีในแต่ละวัน จากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยก็เริ่มที่จะเข้าใจเรื่องราวของนามและรูป ฯลฯ ที่กำลังมีที่อยู่ใกล้มาก ไม่ใช่เพียงแค่อายตนะ ฯลฯ แต่อะไรคืออานิสงส์ของความเข้าใจอายตนะ ไม่ว่าจะโดยนัยไหนอย่างไรแต่ทั้งหมดเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้และมีอยู่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

- เมื่อถึงตอนนั้นก็เริ่มที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีทีละ ๑ ด้วยการรู้ตรงลักษณะพร้อมความเข้าใจถูก เริ่มที่จะอบรมเพราะว่าขณะที่เริ่ทต้นควาเข้าใมจยังไม่ชัดเจนพอ แต่ๆ ละขณะที่เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ค่อยๆ เป็นปัจจัยให้เกิดเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยใส่ใจมาก่อน มนสิการ เห็นไหม ไม่ใช่ใคร แม้มนสิการเดี๋ยวนี้ก็มีทุกขณะแต่ไม่รู้และสติที่ระลึกเป็นไปในกุศลก็ต้องมีแต่ไม่รู้ ศรัทธาก็มีแต่ไม่รู้ ทุกสิ่งที่กำลังมีแต่ก็ไม่รู้จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อะไรเป็นอะไรและอยู่ไม่ไกลเลย เพียงเกิดขึ้น ๑​ ขณะแล้วดับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 24 พ.ค. 2568

- (ขอให้กล่าวถึงฉันทะ แม่ฉันทะจะไม่ใช่มรรคแต่ดูเหมือนว่าฉันทะก็สำคัญและต้องอบรมฉันทะด้วยใช่ไหม) ฉันทิทธิบาท อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา และเราใช้คำว่า “ฉันทะ” แต่เราไม่รู้ลักษณะของฉันทะ มีฉันทะตลอดเวลาเกือบจะตลอดเวลา เห็นไหม ฉันทะคือความสนใจในอารมณ์ เมื่อฉันทะเกิดฉันทะไม่ได้ปรากฏเพราะอ่อนมากแต่ปรากฏเมื่อฉันทะมีกำลัง คุณสนใจทำอาหารไหม คุณสนใจวาดรูปไหม

- (มีฉันทะแทบจะตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่า เมื่อฉันทะเกิดกับกุศลก็สามารถที่จะรู้ฉันทะได้ใช่ไหม) ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องกุศลอกุศลในขั้นเริ่มต้นเลยเพราะว่า ยังไม่ได้รู้จักฉันทะที่เป็นความสนใจเลย แต่ในแต่ละวันต้องมีขณะที่สนใจแต่ไม่รู้ (เข้าใจว่าถ้าพูดเป็นเหตุการณ์ก็พอสรุปได้ว่ามีฉันทะ เช่น มาเข้าฟังธรรมก็ต้องมีฉันทะที่จะฟัง)

- ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่พยายามที่จะไปหาฉันทะแต่เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ (ไม่รู้) แต่เราศึกษาเพื่อรู้ ถ้าไม่มีความสนใจที่าจะฟังะรรม จะมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเพิ่มขึ้นไหม จะมีเดี๋ยวนี้ได้ไหม นามและรูปทั้งหมดถูกปกปิดไว้แม้ว่าจะมีธรรมแต่ละขณะตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่รู้ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสิ่งที่กำลังมีซึ่งถูกปกปิดไว้ แม้ฉันทะเดี๋ยวนี้กก็ถูกปิดไว้ ความติดข้องเดี๋ยวนี้ก็ถูกปิดไว้ สัญญาความจำเดี๋ยวนี้ก็ถูกปิดไว้ ทั้งหมดถูกปิกปิดไว้ด้วยความไม่รู้

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจากศีรษะจรดเท้า เห็นกำลังมีพร้อมเจตสิก หลังเห็นแล้วมีอะไร อยู่ที่ไหน ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ฟังจนกว่าจะไม่มีศีรษะไม่มีเท้ามีแต่ธรรม ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมต่างก็เป็นสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ศีรษะ ไม่ใช่เท้า แต่ทั้งหมดเป็นธรรม

- (คิดว่านี้เป็นจุดสำคัญ เพราะว่าทั้งหมดเป็นธรรมแม้จะถูกปกปิดไว้แต่ที่แย่กว่านั้นทุกอย่างเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกือบจะตลอดเวลา และหนทางเดียวที่จะออกไปได้คือ ความเข้าใจถูกว่า เป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม)

- ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี ความมั่นคงในความจริงต่อๆ ไปว่า สิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเหมือนที่เคยเป็นตามปกติเพราะว่า แต่ละ ๑ เป็นอนัตตา สิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสีหรือสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏในขณะที่เห็น และเราเห็นได้เพียงสีต่างๆ เท่านั้น แล้วจะเป็นคน เป็นบ้าน เป็นรถไปได้อย่างไร ในเมื่อเป็นเพียงสีที่ปรากฏเท่านั้น อะไรจริง อะไรจริงที่สุด สิ่งที่กำลังเห็นคือ เห็นสิ่งที่ถูกเห็นได้เท่านั้นเพราะมีปัจจัยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกระทบจักขุปสาทและเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้น แต่ไม่มีใครสามารถที่เปลี่ยนลักษณะที่เป็นสีนี้ได้ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็น

- แต่เมื่อมีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่มีความเข้าใจในสภาพธรรมนั้นที่เกิดขึ้นเห็นเพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่สภาพรู้เกิดขึ้นรู้ก็เป็นเราแทนที่จะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามปัจจัยเพื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้จึงพิจารณาความจริงของแต่ละคำที่ได้ฟังด้วยความมั่นคง เป็นอธิษฐานบารมีที่เพิ่มขึ้น เป็นสัจจะบารมีที่เพิ่มขึ้นด้วยความอดทนอย่างยิ่งและวิริยะ

- (คุณสุคิน - ดูเหมือนว่าสิ่งที่มีจริงนั้นที่มีอยู่ใกล้สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ แต่การเข้าใกล้ความจริงนั้น ยังเป็นเราและเมื่อเข้าใกล้ความจริงเท่าไหร่ ความเป็นเราก็น้อยลงเท่านั้นเป็นอย่างนั้นใช่ไหม) ทุกอย่างเหมือนเดิมเป็นธรรมดา แต่ความต่างคือ ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเลยแต่เริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง นี่คือความต่างที่ไม่เข้าใจเลยกับเริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่มี เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่เริ่มที่จะเห็นว่ามีอะไรตรงนั้น ถ้าไม่มีแสงสว่างนำทางก็มืดเหมือนไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย

- แม้มืดก็ปรากฏแสงสว่าง พิจารณาวิถีจิตทางมโนทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร ทั้งหมดมืด มีเพียงทางทวารเดียวที่สว่างเป็นนิมิตของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เห็นไหมว่า สิ่งที่มีจริงลึกซึ้งแค่ไหน เมื่อปรากฏไม่มีสิ่งใดปรากฏพร้อมกันใน ๑ ขณะ ด้วยเหตุนี้อารมณ์ที่ปรากฏหรือถูกระลึกรู้จึงปรากฏดีเพียง ๑ ธรรม

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้สภาพธรรมถูกปกปิดไว้ไม่รู้เลย เริ่มเข้าใจแต่ละคำที่ทรงแสดงเหมือนหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิดทีละหนึ่งเพื่อเข้ามจสิ่งที่กำลังมี

- (คุณสุคิน - ภัยจริงๆ คือ ความมืดมิดของความไม่รู้แม้กำลังได้ฟังก็เข้าใจเพียงคำ แต่สภาพธรรมกำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ตลอดเวลาแต่ไม่เข้าใจเลย) ถ้าเดี๋ยวนี้มืดมาก จะมีเข้าใจได้อย่างไรว่า ในแต่ละวันไม่สว่างเลยนอกจากขณะที่กำลังเห็น และสามารถที่จะเป็นความไม่รู้ หรือเป็นความไม่เข้าใจในความมืด ต่อเมื่อใดมีความเห็นถูกความเข้าใจถูกก็สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีในความมืดเพราะทุกอย่างมืดยกเว้นขณะที่เห็น

- โลกที่ถูกปิดไว้ด้วยความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางทวารต่างๆ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันทีที่ปรากฏ ใครรู้ กี่ขณะ กี่วิถี ที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นจะเข้าใจความไม่เที่ยงของสิ่งที่กำลังมีได้อย่างไร โลกแตกดับอย่างเรร็วสุดประมาณตลอดเวลา เป็นโลกที่ถูกปกปิดไว้แต่ความจริงแล้วไม่มีคน ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับเท่านั้น และนี้คือ อริยสัจธรรม

- ความจริงของธรรม คือ สิ่งที่มีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีปัจจัยให้เกิดและทันทีที่เกิดแล้วดับทันที จริงไหม ศึกษาเพิ่มมั่นคงในความจริง ไม่ใช่พยายามที่จะไปเปลี่ยนธรรมจากมืดให้เป็นสว่างเป็นปัญญาได้ เพราะเหตุว่า ต้องเป็นความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง การไตร่ตรองพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบที่จะมั่นคงในความจริง มั่นคงขึ้นๆ เพิ่มขึ้นๆ เพื่อที่จะไม่ลืมสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ในชีวิตประจำวัน

- แม้ขณะนั้นก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขณะที่เข้าใจถูกได้ว่า สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น เห็นไหม เป็นการอบรมที่ค่อยๆ เจริญขึ้นๆ ทีละน้อยด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความปรารถนา ไม่ใช่ด้วยความต้องการ

- (คุณสุคิน - ตอนนี้คิดถึงบารมี ตอนนี้มีความอดทน จะเห็นได้ว่าสะสมบารมีมาน้อยมาก ขณะที่สนทนาถึงสิ่งที่มีจริงใจก็คิดเรื่องอื่น แสดงให้เห็นว่า อบรมบารมีมาน้อยแค่ไหน) ด้วยเหตุนี้จึงฟังเรื่องบารมี ๑๐ เพียงแต่จำคำ จำชื่อ แต่ไม่รู้ว่าขณะไหนที่อรบรมบารมีทีละเล็กทีละน้อย ต้องเป็นเดี๋ยวนี้แต่ละขณะที่เข้าใจด้วยความอดทนอย่่างยิ่งที่จะไม่พยายามด้วยความเป็นเราแล้วๆ เล่าๆ เป็นเราที่ทำ เป็นเราเห็น เราได้ยิน

- เพราะฉะนั้นเป็นขณะที่อดทนที่สุด ยากมากที่จะอดทนที่จะเป็นเราอีกต้องด้วยความเข้าใจถูกเท่านั้นที่ทำหน้าที่ของความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นหนทางลึกซึ้งอย่างยิ่งขณะที่เข้าใจขณะนั้นเป็นหนทางเป็นมรรค ลึกซึ้งอย่างยิ่งใครรู้ว่าความเข้าใจเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ระดับไหนไม่มีทางรู้เหมือนจับด้ามมีดทุกวันไม่รู้ว่าสึกไปเท่าไหร่ทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าความสึกจะปรากฏให้รู้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 24 พ.ค. 2568

- (คุณสุคิน - หนทางลึกซึ้ง คิดว่าแม้ยังไม่เข้าใจแต่ที่สำคัญกว่าคือไม่ทิ้งการฟัง เพราะว่า เมื่อได้ยินเรื่องหนทางเรื่องมรรค ก็คิดว่าหมายถึงอะไร หมายความว่าอย่างไรแต่ถ้าไม่เข้าใจก็รู้ว่าไม่เข้าใจแต่ควรฟังต่อไป) เป็นหนทางเดียว ปริยัติ ปฏิปัตติและปฏิเวธเพราะเราได้ยินได้ฟังมามาก ใครไม่รู้บ้างว่า กำลังเห็นและเห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น เห็นต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถรู้อะไรได้ เพราะเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้เป็นธาตรู้ เห็นไหม เราได้ฟังมามากในแต่ละชาติแต่ความใส่ใจ ความจำได้ไม่ลืม สติที่ระลึกได้ไม่ลืมในสิ่งที่ได้ฟังเรื่องแข็ง เห็น คิดนึก ฯลฯ มีมากแค่ไหน ด้วยเหตุนี้จึงลึกซึ้งอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้จึงสวนทางกับสิ่งที่เคยสะสมมาด้วยความมไ่รู้และความติดข้อง

- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์พูดเรื่องเห็นมา ๗๐ ปี ทำให้คิดว่า เราในฐานะผู้ฟังเป็นผู้ว่ายาก ดื้อรั้นมาก ไม่เห็นคุณค่าที่จะเข้าใจความจริง เราพูดแต่เราไม่ได้ฟังจริงๆ ทำให้ไม่เข้าใจจริงๆ ) และนั่นเป็นกิจของอกุศลของอวิชชาและอกุศลทุกประการ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีในแต่ละชาติในแสนโกฏกัปป์ตามเหตุตามปัจจัย จนกระทั่งนางวิสาขาฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนเจ็ดขวบก็บรรุพระโสดาบัน ใครรู้ เป็นแล้วทันทีขณะนั้นตามเหตุตามปัจจัยที่ถึงพร้อมที่จะตรัสรู้ความจริงโดยไม่คาดคิดมาก่อน เดี๋ยวนี้หรือขณะไหนก็ได้ ด้วยการสะสมของกุศลและอกุศลทุกประเภทที่กิจหน้าที่ของตนที่ปรุงแต่งจนเป็นขณะนี้เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขณะอื่น

- และนี้เป็นวิริยะบารมี เป็นวิริยารัมภคาถาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ได้สะสมความไม่รู้มามากเท่าไหร่ สะสมอกุศลมานานแค่ไหน และจะค่อยๆ ขัดเกลาออกไปทีละน้อยๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไม่สงสัยในสิ่งที่มีว่า เป็นอย่างนี้ที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เกินกว่าที่จะไปพยายามหรือเฝ้ารอ หรือไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน แต่ความเข้าใจทำหน้าที่ของความเข้าใจไม่ใช่เราที่ทำได้แต่เป็นความเข้าใจแต่ละขณะๆ ที่สะสมไปให้ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น โดยไม่รู้ว่าว่าแค่ไหนจนกว่าจะถึงเวลาที่รู้ได้

- และเพราะความเข้าใจในระดับนั้นเองจะเป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจเพราะทุกๆ ขณะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยสามารถที่จะเข้าใจถูกได้ ไม่ใช่เพียงคิดถึงเรื่องราวแต่สภาพธรรมกำลังมีจริงเป็นที่ตั้งให้ระลึกรู้พร้อมความเข้าใจถูกได้ตามเหตุตามปัจจัย สำคัญที่สุดคือตามเหตุตามปัจจัยเป็นหนทางเดียวที่จะละความความคิดว่าเป็นเราออกไปได้ และด้วยเวลาที่ยาวนาน จึงต้องมีความอดทนอย่างยิ่งที่จะไม่ไปทำอะไรแต่เริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ยากที่สุดถ้าปราศจากปัจจัยที่เพยงพอที่จะให้ความเข้าใจเกิดขึ้น ความเข้าใจก็เกิดไม่ได้ เป็นเพียงความคิดนึกถึงเรื่องราวเท่านั้นแต่ยังดีกว่าไม่คิดถึงเลย

- เพราะฉะนั้นมีสติหลายระดับจนกว่าจะเป็นสติปัฏฐาน (คุณสุคิน - ท่านอาจรย์กล่าวถึงขันติว่า สำคัญมาก ถ้าไม่มีขันติก็เป็นโลภะเพราะขันติเป็นปฏิปักษ์กับโลภะ) คิดถึงกุศลกับอกุศล อะไรมีมากกว่ากันในแต่ละวัน (อกุศลมากกว่า กุศลน้อยมาก) สามารถที่จะมีอกุศลน้อยลงได้ไหม (ได้ด้วยบารมีทั้งหมด) ด้วยขันติในแต่ละขณะย่อมเป็นไปได้ ขันติที่จะไม่มีความไม่รู้ในเห็นอีกต่อไป ค่อยๆ เริ่มที่จะใส่ใจลักษณะของสภาพธรรมที่เราใช้คำว่า นาม แต่ไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าไม่มีความเข้าใจในสภาพธรรมที่รู้อารมณ์

- อีกนานแค่ไหนที่จะไม่ลืมสิ่งที่มีมิฉะนั้นความไม่รู้และความติดข้องจะไม่ลดน้อยลงเลย เป็นขันติไหม ด้วยเหตุนี้จึงมีบารมี (ไม่เข้าใจว่า อดทนที่จะไม่มีความไม่รู้หมายความว่าอย่างไร) วิริยะเจตสิก (วิริยเจตสิกสำคัญในหนทางที่จะเข้าใจความจริง) จึงมีวิริยะกถาที่เป็นไปในการเจริญปัญญาเพื่อเข้าใจความจริง สันตุฏฐิกถา ทั้งหมดคือวิริยะและขันติ วิริยะอันยิ่งที่ละอกุศลในชีวิตประวันมิฉะนั้นก็เพิ่มขึ้นมากขึ้น

- เมื่อไม่เป็นบารมีจะเข้าใจความจริงได้อย่างไร ความไม่รูิ ความติดข้องและอกุศลทุกประการปกปิดความจริง ด้วยเหตุนี้บารมีทุกประการจึงเป็นเครื่องอกุศลทุกประเภท

- คุณโซฮานอยู่ไหม สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งถ้าประสงค์ที่จะเข้าใจสิ่งใด ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยความไม่รู้หรือความติดข้อง เป็นสิ่งที่ลวงอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีความเข้าใจในพระคุณมหาศาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นว่า เราห่างไกลจะพระปัญญาของพระองค์มากเท่าไหร่ เปรียบกันไม่ได้เลย ดังนั้นจึงเคารพทุกคำที่แสดงความจริง พูดง่ายมากว่า มีจิต มีเจตสิก มีรูป แต่เดี๋ยวนี้อะไรเป็นอะไร

- ไม่ใช่แค่ตอบหรือแค่จำแต่เริ่มที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เรากำลังสนทนากัน ไม่ว่าจะเป็นแข็งที่กำลังมีจริงๆ แต่ไม่รู้ สิ่งที่เราได้ฟังที่เป็นสภาพที่มีจริงๆ ที่เป็นสภาพรู้ที่รู้สิ่งที่มากระทบกายเป็นเพียงขณะหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย นี้คือคำจริงของความเข้าใจถูกเพื่อจะที่เห็นประดยชน์ของสิ่งที่มีค่าที่สุดคือขณะที่เข้าใจความจริงว่า ต้องอบรมไปทีละขณะๆ

- ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นการอ่านคำจริงของมีสิ่งที่มีจริงที่พร้อมจะให้รู้ตามความเป็นจริงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่จะให้ความเข้าใจเกิดขึ้นเข้าใจหรือยังไม่เข้าใจในขณะนั้น แต่ความเข้าใจถูกอบรมเจริญขึ้นเป็นสัจจบารมี อธิษฐานบารมี ไม่มีอะไรในโลกนี้นอกจากปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูปและไม่มีอะไรเหมือนเดิมเกิดแล้วดับและไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

- (คุณโซฮาน - เมื่อฟังอีกฟังแล้วฟังอีกก็เป็นบารมี) แน่นอนถ้ามีความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจใม่ใช่บารมี (ถ้าตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นบารมีไหม) ตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมายความว่าอย่างไร (ฟังคำและอ่านพระพุทธพจน์) ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเข้าใจหรือไม่เข้าใจ (ด้วยความเข้าใจ) เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจคำจริงขณะนั้นเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเข้าใจ ขณะอื่นที่ไม่เข้าใจก็เพียงเคารพ

- (เพราะฉะนั้นบางครั้งก็เป็นบารมี บางครั้งก็ไม่เป็นบารมีถึงแม้จะมีการฟังคำของพระองค์) เมื่อไม่มีความเข้าใจในคำของพระสัมมาสัมพุทะเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า เข้าใจ เป็นแค่คำ แต่ฟังแล้วฟังอีกเริ่มที่จะเข้าใจแต่ละคำที่แสดงถึงสภาพธรรมที่เป็นความจริงขณะนี้ เพราะฉะนั้นเคารพสูงสุดในคุณธรรมของพระองค์เพราะถ้าไม่มีคำของพระองค์จะเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร และสิ่งที่มีเกิดเพราะปัจจัยแล้วดับ ขณะต่อไปอาจจะเป็นขณะสุดท้ายก้ได้

- เพราะฉะนั้นเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเคารพคำที่พระองค์ทรงแสดงความจริง (คุณสุคิน - คุณโซฮานสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยที่ไม่เข้าใจคำของพระองค์ได้ไหม)

- (คุณโซฮาน - ไม่ได้ แต่มีคนที่แสดงความเคารพต่อพระองค์ แต่ไม่เข้าใจคำที่ทรงแสดง)

- (คุณสุคิน - นั่นเป็นความเคารพจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นความคิดเรื่องการเคารพของตนเอง)

- (คุณโซฮาน - เป็นความคิดของตนเอง เพราะไม่ได้เข้าใจจริงๆ)

- (คุณสุคิน - เพราะความเข้าใจต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรถูก อะไรผิด จะเป็นความเคารพได้หรือ)

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 24 พ.ค. 2568

- เพราะฉะนั้น เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (ต้องเข้าใจ) เดี๋ยวนี้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (เคารพด้วยความเข้าใจถูก) เคารพเท่าที่เข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงสอน ถูกไหม ถ้าไม่เข้าใจความจริง รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเคารพผู้ที่กล่าวคำจริง ถูกไหม เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะสอนความจริงสูงสุดของทุกสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงแสดงได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจความจริงของจิตเป็นความเคารพต่อผู้ที่ทรงตรัสรู้เพราะเข้าใจสิง่ที่ทรงแสดงเพื่อประจักษ์แจ้งความจริง

- (คุณสุคิน - เพราะฉะนั้นำม่สงสัยว่า ขณะไหนเคารพพระองค์และขณะไหนไม่เคารพพระองค์ และใครเคารพพระองค์ ใครไม่เคารพพระองค์ ไม่สงสัยใช่ไหม)

- (คุณโซฮาน - ใช่ เพราะต้องรู้ว่าพระองค์ทรงสอนอะไร)

- (คุณสุคิน - และยังเห็นได้ด้วยว่า ความเข้าใจผิดในคำสอนของพระองค์ ซึ่งเป็นการทำลายคำสอนในพระพุทธศาสนา)

- (คุณโซฮาน - การฟังและเข้าใจความจริงตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบารมีด้วยหรือไม่) เพราะฉะนั้น บารมีคืออะไร ไม่ใช่แค่คำ บารมีคืออะไร (คือความเข้าใจ) เฉพาะความเข้าใจเท่านั้นหรือ ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะประแจ้งความจริงต้องเป็นเวลาที่ยาวนานมามาก เพียง ๑ คำ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า พระองค์ทรงตรัสรู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงที่เป็นสัจจะ สัจจธรรมจนถึงอริยสัจจธรรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ถ้าไม่มีคำของพระองค์จะเข้าใจจะถึงระดับที่ประจักษ์แจ้งความจริงที่พระองค์ทรงแสดงได้อย่างไร

- เข้าใจแต่ละคำของพระองค์ เช่น เดี๋ยวนี้เห็นไม่ใช่ใคร เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ สามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของเห็นได้ไหม แม้โดยนิมิตว่ากำลังมีเห็น ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม ฯลฯ ทีละเล็กทีละน้อยเป็นความเ้ขาใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นแต่ละขณะ เป็นเป็นบารมีที่จะเข้าใจความจริง กุศลทุกประการเป็นเครื่องกั้นไม่ให้ขณะที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น

- เพราะฉะนั้นอะไรเป็นบารมี กุศลทุกประการที่มีความเข้าใจถูกเป็นปัจจัย การเห็นโทษสภัยของความไม่รู้และความติดข้องในแสนโกฏกัปป์เกิดดับสืบต่อไม่มีทางออกจากสังสารวัฏฏ์จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่งไม่มีวันหยุด

- เพราะฉะนั้นบารมีมีเท่าไหร่ (คุณโซฮาน - มีหลายประเภท แต่ตนเองเท่านั้นที่รู้)

- (คุณปายัล - บารมีมี 10) สนทนาทีละบารมีดีไหม (ทานบารมี ศีลบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี สัจจับารมี…) ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงบารมี

- (คุณโซฮาน - บารมีเป็นไปเพื่ออบรมความเข้าใจถูกและศีล)

- ทานคืออะไร (การให้อาหารคนอื่นเป็นทาน) เพราะฉะนั้นใครๆ ก็ทำได้ ใช่ไหม (การให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนเป็นทาน) เพื่ออะไร (การใส่บาต การให้อาหารคนที่ไม่มีอาหารได้ทาน) เพื่ออะไร ตามความจริงการให้ทานเป็นหนทาง ๑ ที่จะสละละความติดข้อง ใช่ไหม เพราะเห็นโทษของโลภะ ถูกไหม

- เพราะบางคนไม่มีความเข้าใจความจริง แต่ยินดีที่จะให้ทานตามที่ได้สะสมมาโดยไม่มีความเข้าใจจริง เพรราะฉะนั้นการให้สิ่งของกับคนยากไร้เป็นบารมีไหม ไม่เข้าใจความจริง

- เพราะฉะนั้นการเห็ษโทษของอกุศล ผู้ที่ได้ฟังคำสอนเริ่มที่จะมีความเห็นถูกที่จะสละไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือสิ่งของโดยการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้รับ เพราะฉะนั้นไม่ใช่การที่ใครอยากจะให้ทานเพื่อให้เกิดปัญญาในขณะที่ให้ แต่เป็นอุปนิสัยของผู้นั้นที่เป็นไปในการให้ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นเป็นไปในการสละซึ่งไม่ใช่แค่การสละวัตุสิ่งของให้กับผู้ยากไร้หรือสละให้เพื่อประโยชน์ของผู้รับ

- แต่ทานมี ๓​ ประเภท ที่เป็นไปในการให้วัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น แต่ยังมีการให้อภัย เห็นไหม เพราะเห็นโทษภัยของการไม่เมตตา เพียงอภัยให้ใครก็ตามที่มาทำร้ายหรือเบียดเบียนเพราะทุกคนยังมีอกุศล และเพียงความเข้าใจเท่านั้นที่จะค่อยๆ ละคลายอกุศล ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่มีปัจจัยให้กุศลเกิดโดยการให้ทาน การให้อภัย ฯลฯ ก็จะเป็นขณะที่เป็นอกุศล

- เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูกว่า การสะสมความไม่รู้และความติดข้อง และหนทางเดียวที่จะไม่มีความติดข้องและอกุศลมากๆ อย่างเดิมก็ต้องเป็นการสะสมกุศลเพิ่มขึ้นๆ เพราะอกุศลมีมากและสะสมเพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ จึงอันตรายอย่างยิ่ง การเข้าใจความจริงจึงเป็นหนทางและเป็นประโยชน์ของกุศลที่เป็นปัจจัยให้มีแม้ขณะที่สามารถที่จะให้อภัยได้เป็นทานอีกประเภทหนึ่งคือ อภัยทาน

- ถ้าปราศจากความเข้าใจถูก อะไรจะเป็นปัจจัยให้คิดที่จะให้ทานและให้อภัย (คุณสุคิน - ดูเหมือนอภัยทานเห็นคุณค่าของการให้ แต่เห็นค่าของเมตตาด้วย) ใช่ แต่อภัยคือ ไม่มีโทสะ มิฉะนั้นก็คิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้โกรธ ทำร้า่ย ทำลาย เป็นอันตราย เพราะต้องเป็นไปตามการสะสมที่เพิ่มขึ้นๆ ยากมากที่จะสละออกไปได้

- เพราะฉะนั้นการเห็นอกุศลและการเห็นประโน์ของกุศลไม่ว่าเป็นไปอย่างไรจะเป็นปัจจัยให้เป็นมิตรเป็นเพื่อน แม้ขณะที่ให้ก็ให้ด้วยไมตรีไม่ว่าผู้รับจะเป็นใคร กุศลทำให้จิตสะอาดปราศจากอกุศลในขณะนั้นทีละน้อยจนกระทั่งจิตสะอาดเพิ่มขึ้นๆ ต้องเป็นเวลาที่ยาวนานมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 24 พ.ค. 2568

- ด้วยเหตุนี้อกุศลไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้ความเข้าใจถูกหรือการประจักษ์แจ้งความจริงเกิดขึ้นได้ ต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลเท่านั้นในแต่ละวันแต่ละขณะที่สามารถที่จะอบรมเจริญขึ้นได้ ปัญญาเท่านั้นที่เข้าใจถูก ไม่ต้องคิดถึงปัญญาแต่มีปัญญาเป็นปัจจัยให้กุศลเกิดขึ้นในขณะนั้น และนั่คือบารมี

- เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ฟังคำของพระองค์ ไตร่ตรองพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ เริ่มที่จะเห็นภัยของอกุศล แม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นอกุศลที่จะสะสมเป็นอุปนิสสัยต่อไปเพิ่มขึ้นๆ ด้วยเหตุนี้นิสัยจึงต่างๆ กันเป็นไปในกุศลอกุศลที่ต่างกัน

- และทานที่ดีที่สุดในบรรดาทานทั้งหมดคือ ธรรมทาน เพราะว่าไม่ว่าจะให้วัตถุทานมากเท่าไหร่ก็ดับหมดไม่เหลือ แต่ความเข้าใจถูกไม่หาย แต่อบรมเพิ่มขึ้น การให้ที่ดีที่สุด คือ ธรรมทาน อนุเคาระห์เกือ้กูลให้เข้าใจความจริงไม่ว่าชาติไหนๆ เพื่อที่เริ่มมีความเห้นถูกเข้าใจถูกในความจริง ทีละน้อยๆ เพราะไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกมากได้ในขั้นเริ่มต้นเพราะสะสมอกุศลมามากมายในสังสารวัฏฏ์

- ด้วยเหตุนี้กุศลแต่ละขณะจึงมีค่าอย่างยิ่งและการให้ก็ให้เท่าที่จะเป็นไปได้ตามการสะสม (คุณสุคิน - ธรรมทาน คือการให้หนังสือธรรมหรือสนทนาธรรมให้ฟังด้วยไหม) ให้หนังสือไว้อ่านหรือให้ไปวางไว้เฉยๆ จะให้หนังสือธรรมกับคนที่ไม่สนใจที่จะศึกษาไหม หรือ ให้ใครก็ได้ที่สนใจที่จะเข้าใจถูก และนั้นเป็นบารมี

- เห็นไหม เราไม่หวังที่จะเข้าใจประจักษ์แจ้งแทงตลอดนามรูปเดี๋ยวนี้เพราะเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องอาศัยกุศลที่ชำระจิตให้สะอาดผ่องใส อาศัยความเข้าใจที่จะเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ เห็นภัยของอกุศล เพราะฉะนั้นเป็นกุศลได้หลายทาง หนึ่งในนั้นคือการให้ทาน แต่ก็มีหนทางอื่น มีบารมีอื่นด้วย ตอนนี้เข้าใจทานบารมีชัดเจนขึ้นไหม

- ปัญญาเป็นสภาพที่มีค่าที่สุดในบรรดาโสภณธรรมทั้งหมดเพราะเหตุว่าสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นได้ และเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลทุกประการ มีเจตสิกอื่นๆ ด้วยเช่น สัทธา ด้วยเหตุนี้สัทธาจึงเป็นอินทรีย์ เป็นพละ เพราะเกิดพร้อมกับความเข้าใจถูกแต่ทำคนละกิจ ด้วยเหตุนี้ค่อยๆ ศึกษาสภาพธรรมแต่ละอย่างเพิ่มขึ้นเพื่อรู้ว่าแต่ละ ๑ ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นเองได้ตามลำพัง

- มีคำถามเกี่ยวกับทานบารมีไหม หรือเริ่มเป็นทานบารมีเมื่อมีความเข้าใจถูกในขณะที่มีค่าที่สุดพร้อมความเข้าใจที่เป็นปัจจัยให้กุศลเกิดขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนที่ไม่มีความเข้าใจเลย

- (คุณสุคิน - ขอความเข้าใจอนุโมทนา) เป็นเพียงการยินดีในการกระทำที่เป็นกุศล “สาธุ” เห็นไหม เป็นคำที่คนไทยใช้ บางครั้งก็พูด ๒ คำรวมกันเป็น “อนุโมทนาสาธุ” แต่ทั้ง ๒ คำเป็นภาษาบาลี เป็นขณะที่ยินดีในุศลของผู้อื่น ไม่ว่าจะรับรู้จากการอ่านหรือจากวิธีอื่น แต่เป็นกุศลที่เรารับรู้ก็ยินดีในกุศลนั้น ไม่ว่าใครในโลกนี้ต้องมีขณะที่ยินดีในกุษลของผู้อื่น ถูกต้องไหม

- (คุณสุคิน - สำหรับผมอนุโมทนาไม่ค่อยเกิดขึ้น มั่นใจว่าเป็นไปตามการสะสม) ไม่จำเป็นต้องพูดว่า “อนุโมทนา” หรือ “สาธุ” หรือ “อนุโมทนาสาธุ” แต่มีขณะนั้น เป็นกุศลที่เกิดขึ้นยินดีในกุศลของผู้อื่น แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจก็ไม่ใช่ของจริง เพราะฉะนั้นเป้นขณะที่ยินดีขึ้นอยู่กับปัจจัยในขณะนั้นว่าจะยินดีแค่ไหน

- เพราะฉะนั้น คุณโซฮานมีสถานการณ์ไหนไหมที่ยินดีในทานของผู้อื่น (มีหลายเหตุการณ์ เช่น ท่านอาจารย์กล่าวธรรมพวกเราฟังและเราก็อนุโมทนาท่าน) ตอนนี้เริ่มเห็นประโยชน์ของความเข้าใจถูกในธรรมซึ่งเกิดขึ้นยากมาก ไม่ได้มีอย่างนี้ในทุกชาติ มีเพียงบางชาติแล้วแต่เหตุปัจจัย ด้วยเหตุนี้แต่ละขณะจึงมีค่าอย่างยิ่งและเป็นบารมีแต่ละเมื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ยิ่งเข้าใจความจริงเท่าไหร่ ยิ่งเป็นบารมีที่เป็นปัจจัยให้บารมีอื่นเกิดขึ้นนอกจากทานบารมี ไม่ใช่แค่ให้วัตุสิ่งของเพื่อประโยชน์ของผู้รับ แต่ยังมีการให้อภัยและธรรมทานซึ่งเป็นการให้ทานที่ดีที่สุด

- และตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้มีบารมีเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จุดประสงค์คือ ให้มีอกุศลน้อยลง ให้มีกุศลเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นปัจจัยให้ถึงขณะที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะว่าอกุศลความไม่รู้ไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ได้

- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์กล่าวถึงบารมีต่างๆ ที่เกิดพร้อมกัน เช่น ขณะที่เข้าใจถูกก็ต้องมีสัจจะบารมี วิริยะบารมี อธิษฐานบารมี ดูเหมือนว่าเมื่อเราพูดถึงทานบารมีขณะนั้นก็ต้องมีวิริยะด้วยเพราะเกิดพร้อมกัน) ถูกต้อง และเริ่มที่จะเข้าใจคุณค่าของบารมีที่เป็นปัจจัยให้ตรัสรู้ความจริง มีคำถามอะไรไหม

- มีบารมีอะไร หรือเริ่มเป็นบารมีอะไรไหม (คุณปายัล - ทานบารมี) และปัญญาบารมีมีไหม ถูกไหม (มีปัญญาบารมีด้วยที่เกิดจากความเข้าใจ) และวิริยะบารมี และขันติบารมี เพราะคุณปายัลกล่าวตอนต้นว่ามี ๑๐​ บารมีขึ้นอยู่กับว่า บารมีไหนชัดเจนในขณะนั้นเพราะเกิดพร้อมกัน

- (คุณสุคิน - ยินดีที่ปายัล ปรียา โซฮานเข้ามาสนทนาวันนี้นึกถึงอีกบารมีคือ อธิษบานบารมี เพราะถ้าไม่มั่นคงที่จะเข้าใจความจริงก็คงไม่เข้ามาสนทนา) และเรายินดี เป็นบารมีอะไร (ทานบารมี) เมตตาบารมี

- คุณจะเกื้อกูลธรรมกับเพื่อนไหม หรือเกื้อกูลญาติพี่น้องเช่น ปายัล หรือปรียา ทุกวันนี้ยังสนทนาธรรมกันอยู่หรือเปล่า (คุณปายัล - ยังสนทนาธรรมกันเมื่อมาเจอกัน) เห็นไหมความเข้าใจถูกจะดำเนินไปตามครรลองของพระธรรม ใครจะรู้ เป็นการสะสมบารมีแต่ละขณะๆ ไม่มากก็น้อยตามเหตุปัจจัย เป็นธรรม

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางกายหรือทางวาจานั่นแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ได้สะสมมา การให้ทานด้วยความปราณีต ยิ่นสิ่งของมห้ด้วยรอยยิ้ม ฯลฯ มีความเป็นมิตรเป็นเพื่อนกับทุกคนไม่ว่าจะในสถานการณ์อย่างไร มีใครทำผิดก็พร้อมจะเป็นเพื่อนเพราะรู้ว่าเพราะความไม่รฝู้และความติดข้องทำให้มีการกระทำผิดเช่นนั้นและไม่เข้าใจธรรม มีความเอื้อเฟื้อ ใจดี มีเมตตา ทั้งหมดเป็นบารมี

- ตอนนี้มีอะไรจะสนทนาไหม (สนทนาศีลบารมี) ก่อนอื่นไม่ใช่แค่คำว่า ศีล ที่เราเคยคิดว่ามี ศีล ๕​ ศีล ๘ ศีล ๑๐​ หรือมากกว่านั้น แต่ศีลคืออะไร ต้องมีความเข้าใจศีลถูกต้องตั้งแต่ต้นเพื่อเป็นปัญญาบารมีเพื่อเป็นปัจจัยแก่บารมีอื่นๆ ธรรมทานบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี เมตตาบารมี

- เพราะฉะนั้นศีลคืออะไร (คือความประพฤติเป็นไปของจิต) และเจตสิกด้วย เห็นไหม เมื่อเราพูดถึงจิตก็หมายรวมเจตสิกด้วย เพราะว่าเกิดพร้อมกันแม้จะไม่ใช่สิ่งเดียวกันและอาศัยกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจิตไม่มีเจตสิกจะมีศีลไหม (ไม่มี)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 24 พ.ค. 2568

- เพราะฉะนั้นในพระอภิธรรมมีคำว่า กุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล ต่างจากกุศลธรรม อกุศลธรรมและอัพยากตธรรม ต่างกันอย่างไร (คุณสุคิน - ถ้าเป็นธรรมมีรูปด้วย แต่ศีลเป็นจิตและเจตสิกเท่านั้น) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นกุศลศีลคืออะไร (จิตที่เกิดกับโสภณเจตสิก) อกุศลศีลคืออะไร (จิตที่เกิดกับอกุศลเจตสิก) และอัพยากตศีล (คือจิตที่เกิดกับเจตสิกที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล) เป็นความประพฤติเป็นไปของพระอรหันต์ (และเห็นได้ยินด้วย) นั่นเป็นวิบาก (วิบากไม่รวมอยู่ในอัพยากตศีลหรือ) วิบากต้องเกิดขึ้นเพื่อรู้อารมณ์เนื่องจากมีกรรมเป็นปัจจัยให้ผลให้ต้องรู้อารมณ์นั้น

- ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นในแต่ละคำที่หมายถึงแต่ละธรรม (นี่เป็นตัวอย่างที่ติดคำแล้วมาสรุปเองตามความคิดแต่ไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นเมื่อจิตและเจตสิกประพฤติเป็นไปเป็นชีวิตประจำวัน ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นสามารถหาธรรมได้ไม่ไกลเลยเพราะมีอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

- หมายความว่า ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไรก็ลืมเสมอว่ามีอยู่ตรงนี้ จนกว่าจะมีปัจจัยให้เข้าใจขณะนี้ที่กำลังเห้น กำลังได้ยิน ไม่ได้ไกล มิฉะนั้นก็มีเราที่พยายามที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่รู้อารมณ์แต่ไม่ใกล้ความจริงเพราะตามไปในสิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นขณะที่รู้ตรงลักษณะของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่เกิดขึ้น และนั่นเป็นศีลไหม (ขณะที่เป็นไปหลังเห็นหลังได้ยินเป็นศีล) เห็นไหม ศีลก็คือชีวิตประจำวัน

- ด้วยเหตุนี้ สำหรับคฤหัสถ์มีศีลเท่าไหร่ สำหรับบรรพชิตเท่าไหร่ ฯลฯ แต่ความจริงเป็นความประพฤติเป็นไปของจิตและเจตสิก โลภะมีอยุ่ไม่ว่าจะสวมจีวรหรือไม่หรือปุถุชน สุนัขหรือแมว ทั้งหมดก็เหมือนกันเพราะโลภะเป็นโลภะ

- เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงอกุศลศีล หมายถึงเพราะมนุษย์หรือเปล่า (ไม่ใช่เพราะธรรมเป็นธรรม) ด้วยเหตุนี้เรียนเพื่อเข้าใจว่า ไม่ว่าอะไรปรากฏเป็นแมว เป็นสุนัข เป็นเทวดา เป็นพรหม ฯลฯ ทั้งหมดเป็นจิตและเจตสิก และความประพฤติเป็นไปของจิตและเจตสิกที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็เป็นกุศลศีล อกุศลศีล และสำหรับพระอรหันต์ผู้ดับเหตุให้เกิดกุศลหรืออกุศลอีกต่อไปความประพฤติก็เป็นเป็นอัพยากตศีล

- เพราะฉะนั้นกุศลศีลเท่านั้นที่เป็นบารมีใช่ไหม และไม่สำคัญเลยว่าจะมี ๑ มี ๒ มี ๕​ มี ๖ มี ๗ หรือ ๒๐ แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคนที่จะเป็นประโยชน์ของความประพฤติเป็นไปในกุศล ด้วยเหตุนี้เมื่ออ่านเรื่องพระธรรมวินัยไม่ใช่แต่ภิกษุเท่านั้นที่อ่าน ใครอ่านใครศึกาาก็ได้และขณะที่เข้าใจประโยชน์ของความประพฤติเป็นไปที่เป็นกุศล ก็มีศีลมากกว่าศีล ๕ หรือศีล ๘ เพราะทั้งหมดเป็นกุศลศีลตามเหตุตามปัจจัย

- เพราะฉะนั้นขณะที่กล่าวต้อนรับอาคันตุกะหรือผู้มาที่มาใหม่ด้วยความยินดีด้วยไมตรี จะเป็นศีลประเภทไหนข้อไหนก็ไม่สำคัญเพราะขณะนั้นเป็นกุศลศีล ถูกต้องไหม ไม่ใช่ติดอยู่กับศีลด้วยการนับข้อ

- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์กลาวได้ถูกต้องว่า เบื้องต้องต้องเข้าใจก่อนว่า ศีลคืออะไร เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยไม่ต้องไปกังวลว่าเป็นกุศลเป็นอกุศลแต่เข้าใจว่าศีลคืออะไรก่อน แต่ก็ดีที่ได้ฟังว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลศีลและอกุศลศีลซึ่งทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเข้าใจว่า ศีลก็เป็นธรรม)

- ถูกต้อง เพราะว่า จิตเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจ ไม่มีใครทำอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าโดยนัยที่ประพฤติเป็นไปจึงเป็นศีล กุศลศีล หรือ อกุศลศีล เรื่องศีลชัดเจนไหม (คุณสุคิน - ไม่เคยชัดเจนพอ ต้องฟังแล้วฟังอีก)

- โซฮาน ปายัล ปรียา เข้าใจศีลในนัยของความประฤติเป็นไปของจิตเจตสิกไหม ในชีวิตประจำวันไม่มีคนไม่มีใครเมื่อศึกษาความจริง จริงๆ แล้วเป็นเพียงสภาพธรรม จิต เจตสิก และรูป

- ขณะที่กำลังฆ่า รูปเป็นอกุศลไหม (คุณสุคิน - มีความประพฤติทางเป็นไปทางกายที่เป็นเกิดจากจิตเป็นปัจจัย แต่รูปเองไม่ใช่อกุศล อกุศลต้องเป็นจิตและเจตสิกเท่านั้น)

- เพราะฉะนั้นเมื่อเราพูดถึงการฆ่า เราไม่คิดถึงการกระทำ แต่เราคิดถึงความตั้งใจจงใจในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้เจตนาจึงเป็นศีล มีกุศลเจตนาหรืออกุศลเจตนา ความประพฤติของจิต วิรตีเจตสิกก็เป็นศีลด้วย เป็นความประพฤติเป็นไปของจิต

- (คุณสุคิน - ตอนนี้ชัดเจนขึ้นไม่ใช่แค่พูดว่า ศีลคือความประพฤติเป็นไปของจิต แต่ต้องเป็นความประพฤติเป็นไปของเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิตประเภทต่างๆ ด้วย) เพราะฉะนั้นเรากำลังศึกษาธรรม เห็นไหม และศึกษาสิ่งที่กำลังมีว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมซึ่งแตกต่างกันมากมายโดยการสะสมและตามเหตุตามปัจจัยที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็วเป็นสังขารธรรมทั้งหมดที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม

- เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจทีละคำให้กว้างขวางขึ้น ให้ลึกซึ้งขึ้น เพราะธรรมหลากหลายโดยนัยของปัจจัยและการสะสม ไม่ใช่ใครทั้งสิอ้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของเพราะไม่มีคน เราคิดว่าเป็นของเราแต่ความจริงดับหมดแล้วแต่ละขณะ

- เพียงศึกษาความจริงเพื่อเข้าใจความจริงที่เคยยึดถือว่าเป็นโลกเป็นชีวิตตามความเป็นจริง และความเข้าใจจากใครที่เข้าใจอย่างนี้อย่างลึกซึ้ง และขณะที่คิดถึงพระคุณ คิดถึงพระเมตตา พระมหากรุณาของผู้ที่ทรงตรัสรู้เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลายในสากลจักรวาล คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระคุณสูงสุด ขณะที่เคารพพระองค์สูงสุดคือขณะที่เข้าใจพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

- ถ้าไม่มีความเข้าใจความจริงจากคำของพระองค์ จะสามารถที่จะมีกิริยาอาการที่เป็นไปในการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเรากำลังบูชาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกขณะที่เข้าใจคำของพระองค์ด้วยพระมหากรุณา พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ สมควรแก่เวลาแล้ว สวัสดีทุกคนค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 25 พ.ค. 2568

ถ้าไม่มีความเข้าใจความจริงจากคำของพระองค์ จะสามารถที่จะมีกิริยาอาการที่เป็นไปในการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเรากำลังบูชาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกขณะที่เข้าใจคำของพระองค์ด้วยพระมหากรุณา พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ


 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 25 พ.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ