กฏธรรมชาติเป็นอจินไตยหรือเปล่าครับ?

 
natthaset
วันที่  3 ต.ค. 2550
หมายเลข  4994
อ่าน  918

การดำเนินไป ความเป็นไป ของสรรพสิ่งมันมีสูตรตายตัวใช่ไหมครับ เมื่อปัจจัยนี้ประกอบด้วยปัจจัยนี้ ย่อมจะได้ผลมาอย่างนี้ ผลย่อมเหมือนกันถ้าปัจจัยเหมือนกันใช่ ไหมครับ แต่การที่ปัจจัยจะเหมือนกันให้ผลเหมือนกันเป็นไปแทบไม่ได้เลยใช่ไหมครับ เพราะผลหนึ่งเกิดจากปัจจัยหลายอย่างไม่เหมือนกันควบคุมไม่ได้ ผลจึงไม่เหมือนกันทีเดียว เรื่องของปัจจัยนั้น เป็นเรื่องซับซ้อนละเอียด (เช่น ปัจจัยที่พระสวดขึ้นต้นด้วย เหตุปัจจโย อารัมมณปัจจโยฯ) ปัญญาของปุถุชนยากจะเข้าใจใช่ใหม่ครับ ถามว่า ปัจจัยทั้งหลายเป็นเรื่องอจินไตย หรือเปล่าครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 3 ต.ค. 2550

การดำเนินไป ความเป็นไป ของสรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะมีปัจจัยให้เกิดย่อมเกิดขึ้น เพราะปัจจัยดับย่อมดับ ไม่ควรกล่าวว่ามีสูตรตายตัว เรื่องของปัจจัยโดย พิศดารพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎก ผู้ที่แจ้งอย่างละเอียดคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นสำหรับบุคคลอื่นรู้ได้ตามฐานะของตน ไม่มีใครรู้เท่าพระพุทธเจ้า ดังนั้นวิสัยความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจัยทั้งหลาย เรียกว่าพุทธวิสัย เป็นสิ่งที่บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด (อจินไตย)

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
อิสระ
วันที่ 3 ต.ค. 2550
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 3 ต.ค. 2550

ถ้าจะสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า จักรวาลคับแคบเกินไป ภวัคคพรหม ก็ต่ำเกินไป คุณของพระพุทธเจ้าหาที่สุดไม่ได้

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 3 ต.ค. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอแนะนำให้เข้าใจ ความเข้าใจพื้นฐานเพราะเรื่องปัจจัยเป็นเรื่องยากแม้ขั้นการคิด ไม่ต้องกล่าวถึงการประจักษ์ความจริงครับ การอบรมปัญญาต้องเริ่มจากเข้าใจว่า ธรรมคือ อะไรก่อน เพราะปัญญาต้องรู้ธรรมและอะไรเป็นธรรมหละ อยู่ในขณะนี้หรือเปล่า เพราะถ้าเราคิดนึกถึงเรื่องที่เหลือวิสัย ขณะที่คิดนึกอย่างนั้น เราก็ได้ข้ามความจริงไป แล้วที่เกิดกับเราทุกขณะ และสำคัญผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เริ่มต้นว่าธรรมคืออะไร อาจจะคิดว่าง่าย แต่ไม่ง่ายเลย ถ้าเข้าใจถูกต้องครับ อบรมปัญญาเบื้องต้น เพื่อดับกิเลสคือ ฟังให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไรครับ

ขออนุโมทนาครับ

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ครูโอ
วันที่ 3 ต.ค. 2550

ปัญญาหรือญาณ ที่จะรู้ถึงปัจจัยที่เป็นไปของสรรพสิ่งนั้นโดยละเอียดแล้ว ก็คือ การประจักษ์แจ้งถึงปัจจัยการเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมได้ ต้องเป็นญาณขั้นที่ ๒ คือ ปัจจยปริคคหญาณ ฉะนั้นก็ไม่ควรใจร้อนที่จะไปรู้ในสิ่งที่เกินกำลังปัญญาของเราในขณะนี้ครับ ถ้าเรายังมีกิเลส เมื่อจิตคิดเกิดขึ้น ความสงสัยก็มีปัจจัยให้เกิดได้ แต่สติจะระลึกรู้สภาพที่กำลังคิดได้หรือยัง ถ้ายังก็เริ่มศึกษาพระธรรมอันลึกซึ้งยิ่งต่อไปครับ เพราะกว่าที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรมด้วยพระปัญญาของพระองค์เอง ต้องทรงสั่งสมพระปัญญาบารมีถึง ๔ อสงขัยแสนกัปป์ เหตุนี้ ในฐานะที่เราเป็นเพียงปุถุชน ถ้ายังไม่ถึงขั้นที่ปัญญาจะมีกำลังจนประจักษ์แจ้งในธรรมได้ก็ไม่ควรที่จะคิดเอาเอง อนุมานเอาเอง ด้วยความพยายามของตนเองครับ

หนังสือปรมัตถธรรมสังเขปหน้า ๔๗๐

วิปัสสนาญาณที่ ๒

ปัจจยปริคคหญาณ

เมื่อวิปัสสนาญาณดับไปหมดแล้ว โลกก็ปรากฏรวมกันเหมือนเดิม ผู้เจริญสติปัฏฐานจึงรู้ชัดความต่างกันของขณะที่วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น และขณะที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เมื่อวิปัสสนาญาณดับหมดแล้ว ความไม่รู้ ความสงสัยในนามธรรม และรูปธรรมอื่นๆ ก็เกิดอีกได้ เพราะความไม่รู้และความสงสัยยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท นามรูปปริจเฉทญาณเป็นญาตปริญญาคือ ญาณที่รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณเท่านั้น ในขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณนั้น ไม่มีความไม่รู้และความสงสัยลักษณะธรรมที่ปรากฏ นามรูปปริจเฉทญาณเป็นวิปัสสนาขั้นต้นที่นำทางไปสู่วิปัสสนาญาณ ขั้นต่อๆ ไปที่ประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้น

เมื่อสติปัฏฐาน ระลึกรู้และพิจารณาสังเกตลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏต่อๆ ไปอีก ย่อมพิจารณารู้ ขณะที่อารมณ์แต่ละอารมณ์ปรากฏว่า สภาพรู้แต่ละอย่างนั้นย่อมเกิดขึ้นตามปัจจัยคือ อารมณ์ ถ้าอารมณ์นั้นๆ ไม่ปรากฏ นามธรรมที่รู้อารมณ์ก็เกิดไม่ได้ การปรากฏของแต่ละอารมณ์ย่อมทำให้ปัญญาเห็นสภาพเวทนา หรือทุกขเวทนา หรือนามคิดนึก ซึ่งปรากฏโดยสภาพที่แยกขาดจากกันทีละอารมณ์โดยลักษณะสูญเปล่าจากตัวตน เป็นต้น วิปัสสนาญาณประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นปรากฏตามปกติ แต่เป็นการประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรมทางมโนทวาร ซึ่งแยกขาดลักษณะของแต่ละอารมณ์ โดยลักษณะที่ว่างเปล่าจากสิ่งอื่นๆ และตัวตน เมื่อวิปัสสนาญาณดับหมดแล้ว โลกก็ปรากฏรวมกันเหมือนเดิม

ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อให้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาเนิ่นนานในสังสารวัฏ พระธรรมจะเป็นปัจจัยให้จิตน้อมไปที่จะเห็นคุณของการเจริญกุศลที่ประกอบไปด้วยปัญญา แล้วสังขารขันธ์จะทำหน้าที่ปรุงแต่งให้เริ่มละคลายเมื่อเริ่มเห็นโทษของอกุศลเอง ใจเย็นๆ หนทางนี้ยังอีกยาวนาน แต่เป็นหนทางเดียวที่สงบจากกิเลสถาวร เบาใจถาวร และเป็นหนทางที่จะไปถึงความสุขแท้ถาวร คือพระนิพพาน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natthaset
วันที่ 4 ต.ค. 2550

ขอความนอบน้อมจงมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natthaset
วันที่ 4 ต.ค. 2550

อบรมปัญญาเบื้องต้นเพื่อดับกิเลสคือ ฟังให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไรครับ เรียนถามท่าน "แล้วเจอกัน" ด้วยความเคารพยิ่งเช่นเคยครับ ว่าการฟังคือการอบรมปัญญาเบื้องต้นใช่ไหม ครับ แต่ผมก็ฟัง (การอ่านอ.สุจินต์บอกว่าคือ การฟัง) มาครึ่งชีวิตผมแล้วครับ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไรที่แท้จริง การเข้าใจกับการรู้ การเห็นธรรมในความหมายของท่านเหมือนกันหรือเปล่าครับ ผมต้องเตรียมใจให้พร้อมก่อนไหมครับก่อนที่จะเข้าใจ นอกจากการฟังแล้วผมต้องปฏิบัติตนดัดสันดานอะไรอื่น อีกไหมครับ

ขอบคุณครับ ถามมากขออภัยโทษด้วยครับ ด้วยความเคารพครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ต.ค. 2550

ต่ ก็ยังไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไรที่แท้จริง

ขณะนี้เป็นธรรม

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ วันที่ 17 มิถุนายน 2550

ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 12 มี.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ