นิพพานไปทางไหน

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิพพานไปทางไหน ... อยู่ที่ใจเห็น
นิพพานัง ปัสสะติ มัคคะติ คะเวสะติ เอตายาติ สัมมาทิฏฐิ ฯ
ปัสสติ - เห็นอยู่ มัคคะติ - ดำเนินไปอยู่ คะเวสะติ - แสวงหาอยู่ นิพพานัง ซึ่งพระนิพพาน (อนัตตา) เอตายาติ เพราะเหตุนั้น สัมมาทิฏฐิ จึงได้ชื่อว่า "สัมมาทิฏฐิ"คำว่า "สัมมาทิฏฐิ" คือความรู้เห็นทางไปนิพพาน จึงได้ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ คำว่า ทางไปนิพพาน ก็คือ อนัตตานั่นเอง นอกจากอนัตตานี้แล้ว ไม่มีทางอื่นเลยที่จะไปถึงนิพพานหากว่าเห็นอนัตตา ก็เห็นทางไปนิพพาน คำว่า "อนัตตา" ก็คือ สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องนั่นเอง สัมมาทิฏฐิจึงเป็นมรรคสัจจ์และเป็นเหตุแห่งนิโรธความดับสงบเย็นแห่งกิเลสนี่แหละทางไปนิพพาน
Photo cr. My story
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ปฐมกูฏสูตร
(ว่าด้วยธรรมที่เกิดจากการรักษาและไม่รักษาจิต)
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่อนาถบิณฑิกคฤบดี ว่า เมื่อไม่ได้รักษาจิต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็เป็นอันไม่ได้รักษา เมื่อไม่ได้รักษา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ย่อมเปียกด้วยน้ำคือกิเลส และย่อมเสียหาย การตายก็ไม่เป็นการตายที่ดี เปรียบเหมือนเรือนยอด เมื่อมุงไม่ดี ทั้งยอด ทั้งกลอน ทั้งฝา เป็นอันไม่ได้รักษา ก็เปียก ก็ผุ
ในทางตรงกันข้าม เมื่อได้รักษาจิต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็เป็นอันได้รักษา เมื่อได้รักษา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ย่อมไม่เปียกด้วยน้ำคือกิเลส และย่อมไม่เสียหาย การตาย ก็เป็นการตายที่ดี เปรียบเหมือนเรือนยอด เมื่อมุงดี ทั้งยอด ทั้งกลอน ทั้งฝา เป็นอันได้รักษา ก็ไม่เปียก ก็ไม่ผุ
Phito cr. My story

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกให้เข้าใจธรรมตามพระองค์ด้วย จึงทรงแสดงพระธรรมประกาศพระศาสนา ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว คำสอนทั้งหมดพระองค์ทรงแสดงให้
เข้าใจความจริงไม่พ้นไปจากสภาพ
ธรรมที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ซึ่งเมื่อจะกล่าวให้สั้นกว่านั้น คือ ไม่พ้นไปจากนามธรรม กับ รูปธรรม และ สั้นที่สุด คือ ธรรม นั่นเอง
ธรรมทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ แต่ต้องใช้ชื่อ เพื่อให้รู้ว่ากำลังพูดถึงธรรมอะไร อันจะเป็นเครื่องส่องให้ผู้ฟังได้เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ แต่ไม่ใช่ให้ไปติดที่ชื่อ เมื่อได้ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับแล้ว ก็จะเข้าใจว่า ธาตุรู้ หรือ สภาพรู้นั้น มี ๒ อย่าง คือ อย่างแรก เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้แจ้งอารมณ์ (จิต) และอย่างที่ ๒ คือ สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกันกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และสำหรับในภูมิที่มีขันธ์๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย (เจตสิก) ตัวอย่างเจตสิก เช่น ความโลภ ความโกรธ ความไม่รู้ ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว ความระลึกได้ ความเลื่อมใส ความเข้าใจถูกเห็นถูก ความเพียร ความไม่โลภ ความไม่โกรธ เป็นต้น ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้มากมาย ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เมื่อเป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ประกอบกับจิต จึงชื่อว่า เจตสิก
ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เพื่อละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิดและ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ บุคคลผู้ที่ตั้งใจศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ ย่อมจะได้ประโยชน์จากพระธรรม
ธรรม เป็นเรื่องยาก จึงต้องตั้งใจฟังตั้งใจศึกษา ความรู้ความเข้าใจจึงจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ


