ทุกขณะของวันนี้มาจากอวิชชา

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 437
๓. คิญชกาวสถสูตร
ว่าด้วยสัญญา ทิฏฐิ วิตกเป็นต้น
[๓๖๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระตำหนักที่สร้างด้วยอิฐ ใกล้หมู่บ้านของพระญาติ. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุ ทิฏฐิบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุ วิตกบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุ.
[๓๖๒] เมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระกัจจานะได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทิฏฐิที่ว่า พระสัมมาสัมพุทธะ ในบุคคลที่มิใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้ ย่อมปรากฏเพราะอาศัยอะไร.
[๓๖๓] พ. ดูก่อนกัจจานะ ธาตุคืออวิชชานี้ เป็นธาตุใหญ่แล ดูก่อนกัจจานะ สัญญาที่เลว ทิฏฐิที่เลว วิตกที่เลว เจตนาที่เลว ความปรารถนาที่เลว ความตั้งใจที่เลว บุคคลที่เลว วาจาที่เลว บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุที่เลว บุคคลที่เลวนั้น ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก ย่อมทำให้ตื้น ซึ่งธรรมที่เลว เรากล่าวว่า อุปบัติของบุคคลที่เลวนั้น ย่อมเลว.
ดูก่อนกัจจานะ สัญญาที่ปานกลาง ทิฏฐิที่ปานกลาง วิตกที่ปานกลาง เจตนาที่ปานกลาง ความปรารถนาที่ปานกลาง ความตั้งใจที่ปานกลาง บุคคลที่ปานกลาง วาจาที่ปานกลาง บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุที่ปานกลาง บุคคลที่ปานกลางนั้นย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก ย่อมทำให้ตื้น ซึ่งธรรมที่ปานกลาง เรากล่าวว่า อุปบัติของบุคคลที่ปานกลางนั้น เป็นปานกลาง.
ดูก่อนกัจจานะ สัญญาที่ประณีต ทิฏฐิที่ประณีต วิตกที่ประณีต เจตนาที่ประณีต ความปรารถนาที่ประณีต ความตั้งใจที่ประณีต บุคคลที่ประณีต วาจาที่ประณีต บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุที่ประณีต บุคคลที่ประณีตนั้น ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก ย่อมทำให้ตื้น ซึ่งธรรมที่ประณีต เรากล่าวว่า อุปบัติของบุคคลที่ประณีตนั้น ย่อมประณีต.
จบคิญชกาวสถสูตรที่ ๓
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 433
๗. อวิชชาสูตร
ว่าด้วยอวิชชา
[๑๖๙๔] ภิกษุนั้นนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อวิชชาๆ ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉน และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงจะชื่อว่าตกอยู่ในอวิชชา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ความไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุให้เกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางที่จะให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่าอวิชชา และด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลย่อมชื่อว่า ตกอยู่ในอวิชชา ดูก่อนภิกษุ เพราะฉะนั้นแหละ เธอพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบอวิชชาสูตรที่ ๗
อ.คำปั่น: ก็ได้ฟังเรื่องของความมืดแล้ว ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งครับ ไม่ว่าจะเป็นความมืดด้วยอำนาจของ อวิชชา หรือว่า อกุศลธรรมทั้งหลาย ก็มืดมน เพราะว่าไม่ทำให้เข้าใจความจริงได้เลยครับ
เวลาที่ได้ฟังเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในความเป็นไปของอกุศลนะครับ พระองค์ก็ทรงแสดงความเป็นไปของ อวิชชา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เป็นธาตุใหญ่ แต่ว่าแม้ว่าจะได้ฟังอย่างนี้ครับ แต่ว่าก็ยังไม่ค่อยได้เห็นโทษของความไม่รู้ครับ
อย่างข้อความในพระสูตรหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสังยุตตนิกาย นิทานวรรค คิญชกาวสถสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกร กัจจานะ ธาตุ คืออวิชชานี้เป็นธาตุใหญ่แล ดูกร กัจจานะ สัญญาที่เลว ทิฏฐิที่เลว วิตกที่เลว เจตนาที่เลว ความปราถนาที่เลว ความตั้งใจที่เลว บุคคลที่เลว วาจาที่เลว บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธาตุที่เลว ครับท่านอาจารย์ครับ พระองค์ก็ตรัสถึง ธาตุใหญ่ ก็คืออวิชชา ซึ่งพระองค์ก็ตรัสว่า เป็นธาตุใหญ่ด้วย และก็เป็นธาตุที่เลวด้วยครับ แม้ว่า พระองค์จะแสดงมากมายในเรื่องของความเป็นไปของ อวิชชา หรือว่า โมหะ แต่ในขณะนี้ก็ยังไม่ได้เห็นประโยชน์เลยครับว่า โมหะ จะเป็นโทษเป็นภัยอย่างไรครับ แต่ว่าเป็นกิเลสอย่างอื่นอย่างเช่น ความโกรธ หรือว่าความติดข้องที่มีกำลัง ก็พอที่จะเห็นได้ แต่อวิชชานี่ล้ำลึกมากเลยครับ
ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ในความละเอียดตรงนี้ด้วยครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มี อวิชชา โลภะจะเกิดได้ไหม? อกุศลทั้งหลายจะเกิดได้ไหม?
อ.คำปั่น: ถ้าไม่มี อวิชชา ก็เกิดไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: ชัดเจนไหม?
อ.คำปั่น: ชัดเจน แต่ยังไม่ได้เห็นอย่างนั้นครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น โลภะ เป็นไปไม่หยุด สงครามอะไร น้ำท่วมอะไรทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปไม่หยุดเลย เพราะอวิชชาใช่ไหม?
ธาตุใหญ่ ให้มีทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีวันหยุด ใหญ่ไหม?!! ทำให้เกิดได้หมดทุกอย่าง ไม่หยุด
อ.คำปั่น: ใหญ่มากครับ
ท่านอาจารย์: ไม่มีอะไรที่จะไม่เป็นไปเพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ อยู่ในความมืดของอวิชชา ก็ไม่รู้ เป็นไปทุกอย่างขนาดนี้ สว่างเพียงแค่จุดเดียวที่เห็น คิดดู!! นั่นคือ สว่างในฐานะที่เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ในความสว่างของปัญญาในความมืดสนิท สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อย แม้ความมืดว่า มืดอย่างไรที่เป็นความมืดที่เป็นอวิชชา
มืดขนาดปิดไฟ ก็พอรู้ใช่ไหม มืดอื่นก็รู้ มืดอย่างนั้นนั่นแหละเล็กน้อย เพราะไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ทุกขณะของวันนี้มาจากอวิชชา ทุกเหตุการณ์ไม่ว่าจะในโลกมาจากอวิชชา ไม่ว่าจะที่ไหนในจักรวาลใดทั้งหมดที่ยังมีการเกิดขึ้นมาจากอวิชชา
อ.คำปั่น: ครับ ก็ต้องได้ฟังพระธรรมต่อไปครับท่านอาจารย์ ได้รับการเตือนด้วยพระธรรม ด้วยคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปครับ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ก็เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ได้ไตร่ตรองถึงความเป็นจริงครับว่า เป็นจริงอย่างนั้นทั้งหมดเลย อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวมาเป็นจริงอย่างนั้นอย่างนั้นจริงๆ ครับท่านอาจารย์
เมื่อวานนี้ อ.อรรณพ ได้กล่าวว่า ก็ต้องเป็นผู้ที่เหมือนกับได้รับการหล่อหลอมกล่อมเกลาด้วยพระธรรมครับท่านอาจารย์ ก็ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปครับ กราบเท้าท่านอจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ทุกคำ ไม่ว่าคำไหน ส่องไปถึงความเป็นจริงที่ลึกซึ้ง ใครจะรู้ว่า อะไรเป็นเหตุที่แท้จริงให้โลกปรากฏเกิดขึ้นดับไปไม่มีวันสิ้นสุด
ขอเชิญฟังได้ที่..
ก่อนการตรัสรู้นั้นโลกมืด มืดด้วยอวิชชา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบบูชาคุณพระรัตนตรัยเหนือเศียรเกล้า
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง



