Thai-Hindi 19 April 2025
Thai-Hindi 19 April 2025
- เข้าใจความหมายของธรรมโดยชื่อเท่านั้นแต่ต้องส่องไปถึงตัวจริง เพราะว่าสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แสดงถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะแต่เราลืมไม่รู้เลยว่า ถ้าเมื่อพระองค์ทรงแสดงความจริงที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะแสดงว่า เราไม่เคยรู้ความจริงเลยสักขณะเดียวสักอย่างเดียวใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นเริ่มคิดถึงสิ่งที่ได้ฟัง ต้องส่องถึงสิ่งที่กำลังมีซึ่งไม่เคยรู้แต่มี เช่น ความจำ มีไหม เพราะฉะนั้นภาษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คือ “สัญญา” สภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นจำเท่านั้นจึงเป็นสภาพ ๑ เท่านั้นที่เกิดขึ้นจำเท่านั้นมีจริง นี้คือการที่จะฟังพระธรรมให้ถึงการเป็นธรรม ไม่ใช่ว่าฟังเพียงชื่อแล้วก็รู้เรื่อง ฆนสัญญา อัตตสัญญา ถิรสัญญา ฯลฯ มีแต่ชื่อ แต่ชื่อทั้งหมดต่างกันโดยความลึกซึ้งอย่างยิ่งยวด
- เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่ศึกษาธรรมเพียงได้ยินคำแล้วสนใจชื่อแล้วคิดว่าเข้าใจ แต่ให้รู้ว่าทุกคำกำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ไม่เคยรู้แม้แต่ความจำประเภทไหนตามที่ได้ยิน ถิรสัญญาบ้าง อัตตสัญญาบ้าง ฆนสัญญษบ้าง เพราะฉะนั้นต้องฟังธรรมด้วยความเคารพว่า ความไม่รู้มีมากในสังสารวัฏฏ์
- เพราะฉะนั้นแม้พระองค์จะทรงแสดงความจริงว่า กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงนี้แต่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นเพราะปัญญาไม่มี ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะเริ่มเห็นที่ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ เช่น ความจำ มีทุกขณะใช่ไหม รู้ไหมว่ามีสัญญาทุกขณะ (คุณฮัง - ฟังแล้วเข้าใจ) แต่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีสัญญา ที่กำลังพูดก็มีสัญญาเจตสิกที่จำ ไม่อย่างนั้นจะพูดเป็นคำๆ ออกมาได้ไหม แล้วคิดบ้างหรือเปล่าว่า นั่นคือสภาพธรรมที่จำไม่ใช่เรา
- (ถ้าไม่ไตร่ตรองก็ไม่ระลึกถึงสัญญา) ฟังคำไหนคิดต่อยาวมาก ถูกต้องไหม ทำไมไม่ฟังแล้วเริ่มคิดเฉพาะคำที่ได้ฟังเท่านั้น ไม่ใช่คิดเองยาวๆ เหมือนเคย ถามคำนี้เป็นเรื่องยาวๆ หมดที่คิดเอง แต่คำนี้แหละ คำว่าเดี๋ยวนี้ก็มีความจำแต่ไม่รู้ เริ่มคิดแล้วใช่ไหม ทุกอย่างมีแน่นนอนแต่ไม่รู้เลย มีแต่ความไม่รู้ถูกต้องไหม
- เมื่อไม่รู้สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏเพียง ๑ แสนสั้นรวดเร็วแต่ปรากฏเป็นนิมิตแม้อะไรก็ตามเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามเป็นนิมิตของสิ่งนั้นแล้ว เห็นความลึกซึ้งไหมที่จะฟัง ไม่รีบร้อนแต่ว่าเข้าใจความลึกซึ้ง ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นต่อให้สับละเอีดยจนปรากฏเล็กเท่าไหร่แต่ก็เป็นการรวมกันของธาตุที่เกิดดับเร็วเพราะ ๑ ที่เกิดแล้งดับรู้ไท่ได้แน่นอนเพราะจิตเกิดต่อตามลำดับทันที ไม่ใช่ความเข้าใจที่สามารถที่จะต่อจากเห็นแล้วก็รู้เห็นทันทีได้
- เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏเพราะมีเห็นเกิดขึ้นเห็นแต่ละหนึ่งๆ เร็วมากรวมกันปรากฏ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้กี่ขณะ (หลายขณะ) เพราะฉะนั้นเป็น “นิมิตของเห็น” ใช่ไหม รวมกันแล้วใช่ไหม (รวมกัน) เพราะฉะนั้นเป็น “ฆนสัญญา” ใช่ไหม สัญญาที่จำสิ่งที่รวมกันว่าเป็นความจำ แม้แต่จำเดี๋ยวนี้ก็ปรากฏโดยฆนสัญญารวมกันแล้วก็จำได้ แม้แต่สัญญา แม้แต่เห็น ฯลฯ
- เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องละความไม่รู้ เป็นเรื่องละความติดข้อง คนที่ศึกษาไม่ได้ศึกษาอย่างนี้ ไม่ได้ศึกษาเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความติดข้องซึ่งมากมายมหาศาลอยู่ในจิตสืบต่อกันตลอดแสนโกฏกัปป์มาแล้วจนไม่เหลือเลยคิดดู
- เพราะฉะนั้นอีกนานเท่าไหร่ที่ไม่ต้องกังวลเพราะถ้ากังวลก็เรานั่นแหละต้องการ กับดักมีมากมายของความไม่รู้และความติดข้อง เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อจะได้ตรงที่จะรู้ว่า ขณะนี้ความไม่รู้อะไรบ้าง ไม่รู้ทุกอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดง ไม่รู้ว่าสภาพจำเดี๋ยวนี้กำลังจำทุกขณะ จริงไหม
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมด้วยความเคารพ ไม่ได้หวังต้องการอะไรเลยนอกจากฟังแล้วเข้าใจว่า ความไม่รู้มีมหาศาลและทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีค่าประมาณไม่ได้ที่จะทำให้ความไม่รู้นั้นค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งไม่สามารถที่จะปิดบังภาวะความเป็นจริงของสภาพธรรม
- ด้วยเหตุนี้สัญญารู้จักสัญญาสภาพจำแล้วใช่ไหม (เริ่มรู้จัก) รู้จักฆนสัญญาแล้วใช่ไหม (ใช่) เมื่อมีฆนสัญญาจำสิ่งที่รวมกันก็เข้าใจผิดว่า นั่นเป็นสิ่งที่เที่ยงเป็นสิ่งหนึ่ง เป็นนิ้ว เป็นแขน เป็นขา เป็น “อัตตา” สิ่งหนึ่งสิ่งใดจึงเป็น “อัตตสัญญา” เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจสัญญาเจตสิก สภาพจำซึ่งจำทุกขณะแต่จำโดยฆนสัญญาสิ่งที่ปรากฏรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เมื่อเป็นฆนสัญญาก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดยึดถือว่าเที่ยงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั่นคือ อัตตสัญญา
- สงสัยอะไรไหม เดี๋ยวนี้เองทุกขณะกว่าจะเปิดเผย (ฆนสัญญารวมกันหลายทวารหรือในทวารเดียว) นี้ฟังธรรมด้วยความเข้าใจหรือเปล่า ไม่มีเลยถ้าด้วยความเข้าใจ เห็นทางไหน (ทางตา) ทางเดียวหรือเปล่า (ทางเดียว) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นปรากฏไหม กำลังมีเห็นไหม (กำลังมีเห็นแต่ว่าลักษณะของเห็นยังไม่ปรากฏ)
- เพราะฉะนั้นเห็นหลายขณะไหมเดี๋ยวนี้ (ใช่) เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจฆนสัญญาของเห็นไหม (หลายขณะของเห็น) แล้วสงสัยอะไร ไม่ใช่ถามให้ตอบ ถามให้คิดจนเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ถามให้ตอบ ถามให้คิดไตร่ตรองจนรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะมั่นคง
- ความเข้าใจไม่ใช่มั่นคงง่ายๆ ฟังแล้วมั่นคงเลย ”ใช่แล้ว ไม่ใช่เรา“ ไม่ใช่อย่างนั้น ฟังแล้วแต่ละ ๑ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น และค่อยๆ พูดถึงว่า เพราะอะไรจึงปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะเพียงสิ่งเดียวสั้นมากเล็กมากที่สุดปรากฏไม่ได้โดยวิถีจิตโดยความเป็นอย่างรวดเร็วโดยการเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งรู้ว่า แม้เห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เห็น ๑ ขณะ มีจิตก่อนเห็นมีจิตหลังเห็นกี่ขณะ แล้วมีเห็นเหมือนตลอดเวลาที่เห็น แสดงว่า แม้เห็นก็ปรากฏโดยการรวมกันเป็น ๑ เห็นจึงเป็นฆนสัญญาจำเห็นว่าเป็นเห็น รวมกันแล้วว่าเป็นเห็นแต่เห็นจริงๆ หลายขณะ
- ฟังธรรมเพื่อเข้าใจอย่าลืม ไม่ใช่เพื่อตอบ (คุณสุคิน - ไม่ทราบว่าอย่างนี้ถูกไหม สัญญาก็จำทุกอย่างคือทั้ง ๖ ทวาร จำสี จำเสียง ฯลฯ เพราะฉะนั้นเวลาเห็น มันรวดเร็วมาก เวลาเห็นใคร เห็นสี เราก็คิดว่าเป็นหน้าตาคน คนนี้มีเสียงอย่างนี้ๆ สัญญาเกิดเร็วมาก คือ จิตเกิดดับสลับกันเร็วมากและสัญญาก็มีอยู่ทุกจิต แต่เมื่อเราใช้ฆนสัญญาก็หมายถึง เฉพาะ ๑ ไม่ใช่รวมๆ กันหลายทวาร)
- เพียง ๑ เดียวจะเป็น ”ฆน“ ได้ไหม (คุณสุคิน - ไม่ได้หมายถึง ๑ จิต หมายถึงฆนสัญญาของเห็น ฆนสัญญาของสี ฆนสัญญาของได้ยิน ฆนสัญญาของเสียงเป็นลักษณนั้นใช่ไหม) ไม่ใช่ ”ใช่ไหม“ แต่เดี๋ยวนี้เป็นเห็นใช่ไหม เห็นหนึ่งหรือเห็นหลายขณะ (หลายขณะ) รวมแล้วใช่ไหมจึงเป็น ”ฆน“ รวมกันเพราะฉะนั้นเข้าใจความหมายของ ”ฆน“ เลย ถ้าสัญญา ๑ ขณะไม่ใช่ฆนสัญญาแต่ที่ปรากฏนี้ฆนสัญญาทั้งนั้นแต่ละหนึ่งๆ ละเอียดยิบ
- (และไม่ใช่อย่างที่สงสัยว่า ความหมายของฆนนี้รวมทวารอื่นด้วยหรือเปล่า แต่ว่าฆนนี้หมายถึง ๑) หมายความว่าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ฟัง (ตรงนั้นยากอยู่แล้ว) ไม่ใช่ ต้องรู้ว่าธรรมลึกซึ้ง เลิกวิธีเดิมทั้งหมดที่ไม่เข้าใจแม้แต่คำว่า ฆนสัญญา ที่ค่อยๆ พูดว่า สัญญาเป็นสภาพจำ ๑ ชนิดเท่านั้นในบรรดาธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเป็นหนึ่งๆ ๆ ปนกันไม่ได้
- ค่อยๆ ฟัง สัญญาเป็นสภาพที่มีจริงจะเป็นอื่นไม่ได้ สัญญาจำทุกขณะไม่ใช่เพียงแต่พูดว่า ”สัญญาจำทุกขณะ“ แต่เดี๋ยวนี้แหละไม่รู้เลยว่า กำลังจำทุกขณะโดยที่ว่าไม่ใช่เราแต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจำ สภาพธรรมนั้นต่งกับสภาพธรรมอื่นจึงมีชื่อให้รู้ว่าหมายความถึงสภาพจำใช้คำว่า ”สัญญา“ ในภาษาบาลี เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยที่มั่นคงอย่างนี้ ไม่ใช่ไปคิดเองยาวเหยียดแต่ว่าแน่ใจว่ามีสภาพจำเป็นธรรมชนิด ๑ และธรรมทุกอย่างเกิดขึ้น ๑ ขณะแต่ไม่ได้ปรากฏ ๑ ขณะ แค่นี้เข้าใจไหม
- (ท่านอาจารย์ให้เราระลึกและคิดว่าเรามีนิสัยที่คิดยาวแต่ว่าก็ห้ามไม่ได้เป็นนิสัยชอบเรื่องราว) เพราะฉะนั้นไม่มีวันเข้าใจธรรมโดยวิธีนี้ถ้าไม่แก้นิสัย ถ้าไม่แก้นิสัยไม่มีทางเลย การศึกษาธรรมเห็นความลึกซึ้งนั้นถูกต้อง เห็นความลึกซึ้งจนไม่ไปขวนขวายที่จะคิดเองแต่รู้ว่า แต่ละคำกว่าจะถึงความมั่นคงว่าเป็นจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมเปลี่ยนไม่ได้เป็นปรมัตถธรรม เห็นต้องเป็นเห็น ๑ เท่านั้น ธรรม ๑ คือเห็น จะเป็นอื่นไม่ได้เลยฟังให้เข้าใจความลึกซึ้ง ไม่ใช่ฟังแล้วรีบร้อนที่จะคิด ที่จะกล่าว ที่จะถามกัน ที่จะสนทนากัน ไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่า เดี๋ยวนี้ธรรมอะไร
- กว่าจะรู้ความหมายของคำว่า ฆนสัญญา ไม่ใช่ไปคิดเองแต่ให้ค่อยๆ เข้าถึงความจริงที่ลึกซึ้ง แต่ละขณะรวดเร็วขณะไหน แค่ลืมตามีสิ่งที่กระทบตาจนรู้หมดว่าอะไร ตุ๊กตา ดอกไม้ โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง ตั่ง หมอน ที่นอน รวมหมดทันทีเป็นไปได้หรือ
- เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่า อยู่ในโลกของความไม่รู้เทียบกับความรู้ชัดเจนหมดทุกอย่างในสากลจักรวาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกันมากเพียงที่พอเอ่ยปุ๊บเราเข้าใจปั๊บ เป็นไปไม่ได้เลยแต่ให้รู้ว่า ความมืดสนิทปิดบังแม้สัญญาเกิดดับขณะนี้ก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้
- เพราะฉะนั้นฟังแต่ละคำด้วยความเข้าใจความจริงในความเป็นธรรม ไม่ต้องยาวแต่ลึกและมั่นคง เช่น สัญญาเจตสิกเป็นสภาพจำ มีแน่ๆ ไม่เรียกก็ได้ แต่มีจริงๆ ก็จะต้องเป็นธรรมเพราะมีจริงและมีจริงก็ไม่ใช่จิตด้วย จิตเป็นธาตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง สัญญาไม่ใช่อย่างนั้นเลยแต่ว่าเป็นธาตุรู้ที่เกิดกับจิตแล้วจำสิ่งที่จิตรู้แจ้งเพราะสัญญารู้สิ่งที่จิตรู้แจ้ง เจตสิกทั้งหมดรู้สิ่งที่จิตรู้แจ้งโดยประการและโดยลักษณะของตนๆ
- แค่นี้มั่นคงไหม ปลูกฝังความเข้าใจธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่รีบจำคำแล้วสงสัย พอมาถึงฆนสัญญาสังสัย พอมาถึงอัตตสัญญาสงสัย เพราะไม่เข้าใจความเป็นจริงตามลำดับและไม่ใช่สำหรับถามให้ตอบ ถามให้ไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงทีละน้อยทีมัานคงอย่างยิ่งไม่เปลี่ยนเลย
- (ดูเหมือนว่าง่ายมากแต่จริงๆ แล้วไม่ง่าย มันยากมากจริงๆ) และจะเริ่มรู้ว่ายากเมื่อเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมและเริ่มรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งแค่ไหนจึงสามารถที่จะเปิดโลกมืดสนิทแสนโกฏกัปป์มาแล้วให้เห็นความจริงโดยขั้นฟังให้เข้าใจ แต่ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจจนสามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่ได้ฟังจนเข้าใจที่มีเดี๋ยวนี้ทีละ ๑ เห็นไหม แต่ไม่ใช่โดยความเป็นเรา ไม่ใช่โดยความเป็นจิต แต่ต้องโดยภาวะของธรรมอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันทุกวันทุกขณะดับไปไม่มีใครรู้เลย
- นี้คือเริ่มรู้จักธรรมที่ลึกซึ้ง มิฉะนั้นไม่มีทางรู้จักธรรมที่ลึกซึ้งได้เลย ได้ยินก็อันนี้เป็นอะไร ฆนสัญญาเป็นอะไร อัตตสัญญาเป็นอะไร หมายความว่าอะไร ไม่ได้เข้าใจความเป็นสัญญาซึ่งเป็นธรรม อยู่ในโลกของความมืดสนิทหลงวนเวียนอยู่นั่นแหละ
- มีจิตเกิด ไม่รู้อะไร แล้วก็มีการรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คิดนึกมากมายมหาศาลแล้วก็ไม่รู้อะไร และก็มีการรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทีละหนึ่งแล้วก็ไม่รู้อะไร เป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงแต่ละ ๑ ให้เริ่มเข้าใจถูกต้องในความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืนเลย เกิดขึ้นแล้วดับไปโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร
- ฟังธรรมกว่าจะถึงความลึกซึ้ง ไม่ใช่ไปจบ ๙ ปริเฉทแต่ไม่รู้อะไรเลย อ่านพระไตรปิฎกแต่ไม่เข้าใจอะไรเลยเพราะมุ่งที่จะรู้คำและความหมายว่า อัตตาคืออะไร สัญญาคืออะไร ถิรสัญญาคืออะไร ฆนสัญญาคืออะไร ต้องการเพียงเท่านั้นเองแต่หารู้ไม่ว่าเพื่ออะไร เพื่อรู้จักความจำที่กำลังจำเดี๋ยวนี้ทุกขณะ
- (แสดงว่าการเริ่มรู้นี้ยากมาก) แน่นอน เทียบกับความไม่รู้แสนโกฏกัปป์แล้วมาได้ยินคำอย่างนี้แล้วจะรู้เลยหรือ คิดดูเป็นไปได้หรือ พูดถึงสัญญาในขณะที่สัญญากำลังจำทุกขณะ ปรากฏหรือยัง สามารถรู้หรือยัง ปัญญาค่อยๆ เข้าใกล้จนรู้ลักษณะที่เป็นสัญญาหรือยัง และขณะนั้นไม่ใช่จิตเป็นเจตสิก เกิดได้อย่างไรทั้งหมด ลึกซึ้งแค่ไหนกว่าจะกวาดความไม่รู้จนไม่เหลือ มากมหาศาลท่วมจักรวาลแล้วจะออกไปได้อย่างไรที่ละ ๑ ขณะจนไม่เหลือ ต้องเป็นผู้ที่อดทนอย่างยิ่ง เห็นค่าอย่างยิ่ง ความต่างของความไม่รู้กับความรู้ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ
- เพราะฉะนั้นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้เริ่มได้ยินได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีจนสามารถรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นคุณฮังเข้าใจหรือยัง สัญญาเจตสิก (เริ่มเข้าใจ) ฆนสัญญาเข้าใจไหม เดี๋ยวนี้มีไหม (มี) ทุกขณะที่ปรากฏใช่ไหม (ใช่) แล้วก็เป็นอัตตสัญญาใช่ไหม (เป็นด้วย) เห็นไหมเริ่มเข้าใจความจริงไม่ใช่เลย แล้วเมื่อไหร่จะรู้จนไม่เหลืออัตตสัญญา แล้วฆนสัญาเปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)
- แต่อัตตสัญญาหมดจากฆนสัญญาที่จำได้ใช่ไหม แต่ฆนสัญญาก็ยังคงเป็นฆนสัญญา สิ่งใดปรากฏๆ ไม่ใช่ตัว ๑ ขณะของสัญญา แต่ฆนการจำสิ่งต่างๆ เฉพาะทีละ ๑ แม้หนึ่งก็ไม่ใช่ ๑ เดียวจึงเป็นฆนสัญญา ลึกซึ้งไหม (มากๆ) ถ้าไม่ฟังอย่างนี้จะเข้าใจได้ไหมในความต่างของฆนสัญญา อัตตสัญญา จนกว่าจะเป็นอนัตตสัญญา คิดดูห่างไกลกันลิบของอัตตสัญญากับอนัตตสัญญาแต่ก็ปรากฏโดยฆนสัญญา เห็นไหมความลึกซึ้ง
- (คุณสุคิน - หมายถึงว่า แม้อนัตตสัญญาก็เป็นฆนสัญญาใช่ไหม) ฆนสัญญาคือสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงที่เพียง ๑ เดียวเกิดแล้วกับถูกต้องไหม (ซึ่งก็เป็นธรรมดาของจิตเพราะจิตเกิดดับเร็วมาก อย่างไรๆ ก็ต้องเกิดหลายขณะกว่าจะรู้ได้) แล้วรู้ไหม ถ้าไม่พูดอย่างนี้แล้วรู้ไหมว่าเป็นฆนสัญญาหรือเปล่า
- เพียงแค่คำเดียวก็ต้องเข้าใจขึ้นจนมั่นคงในความถูกต้องในความเป็นจริงกว่าจะรู้แจ้งในสิ่งนั้นได้เพราะไม่เปลี่ยน สิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงตามที่เป็นจริงว่าขณะนี้สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเลย ถูกต้องไหม เริ่มรู้ว่าอยู่ในความมืดแค่ไหน จากไม่มีสิ่งใดปรากฏแล้วทางหนึ่งทางใดปรากฏแล้วก็หมดเป็นอย่างนี้ตลอดในสังสารวัฏฏ์ จนถึงจิตขณะสุดท้ายดับไม่มีอะไรเกิดต่อได้เลย มิฉะนั้นก็เป็นอย่างนี้ตลอดไปโดยไม่รู้ ความไม่รู้จะมากมายมหาศาลแค่ไหน
- (คณสุคิน - เพราะฉะนั้นความต่างกันระหว่างพวกเราที่ไม่รู้เพราะเป็นปุถุชนอยู่กับพระอริยะก็คือว่า ฆนสัญญาคือ มีอยู่ตลอดสำหรับเราก็แทรกด้วยความเห็นผิดคืออัตตสัญญาแต่ของพระอริยะไม่มีอัตตสัญญาแต่มีอนัตตสัญญาที่เข้าใจว่า สัญญานี้ก็คือเป็นธรรม) สัญญานี้เป็นธรรมหมายความว่าอะไร (เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ๑)
- เพราะฉะนั้นสัญญาเกิดทีละ ๑ ใช่ไหม แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงใช่ไหม (ไม่ได้ปรากกตามความเป็นจริงสำหรับพวกเรา) เพราะฉะนั้นไม่ใช่พวกเราหรือใคร ความเป็นจริงของสัญญาเมื่อปรากฏๆ เป็นฆนสัญญาทั้งนั้น ใช่ไหม
- (ตรงนี้ถึงเป็นคำถามว่า สัญญาปรากฏต่อปัญญาก็ไม่ใช่ฆนสัญญา มิใช่หรือ) ไม่ใช่เลย นั่นผิด ไม่มั่นคงต่อฆนสัญญา ลืมแล้วหรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดปรากฏๆ โดยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่สิ่ง ๑ ที่เกิดดับ ได้ไหมปัญจทวารวัชชนะ (นั่นเราแยกนิมิตกับฆนสัญญาไม่ใช่หรือ)
- เดี๋ยวก่อนนะคะ เอาใหม่เอาให้มั่นคงเลย สัญญาสภาพจำเป็น ๑ หรือเป็น ๒ หรือเป็น ๓ หรือเป็น ๕ หรือเป็น ๑๐ เจตสิก (เป็นเจตสิก ๑) เปลี่ยนได้ไหมไม่ให้เป็นจำ (ไม่ได้) เกิดเมื่อไหร่จำแล้วใช่ไหม (เกิดแล้วจำ) เดี๋ยวนี้จำหรือเปล่า (จำ) เดี๋ยวนี้จำอะไร (จำสิ่งที่เห็น จำเสียงที่ได้ยิน) กี่เสียง เป็นนิมิตของเสียงหรือเปล่า (เป็นนิมิตของเสียง) เพราะฉะนั้นเป็นฆนสัญญาของเสียงหรือเปล่า (ตรงนี้ไม่แน่ใจแต่ผลแน่นอนเป็นฆนสัญญาทันที)
- ฟังใหม่อีก หยุดๆ ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงอะไรหมดของเรา ฟังคำของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าตอบยาวในความคิดของเราจบที่คำของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้สัญญาปรากฏๆ เป็นฆนสัญญาหรือเปล่า ต้องไตร่ตรองตรงนี้ไม่ใช่ไปคิดยาว (เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดรวมกัน)
- เพราะฉะนั้นเพียง ๑ สัญญาที่ไม่ใช่ฆนสัญญาจะปรากฏไหม (๑ ไม่ปรากฏ) เพราะฉะนั้นทุกอย่างปรากฏโดยความเป็นหนึ่งที่เป็นนิมิตใช่ไหม เพราะฉะนั้นสัญญาเดี๋ยวนี้ไม่เป็นวิตักกะ ไม่เป็นเวทนา ไม่เป็นอะไรหมด แต่เป็นสัญญาแต่ปรากฏโดย ๑ ขณะหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นจึงปรากฏเป็นฆนสัญญาของหนึ่งสิ่ง ความละเอียดเห็นไหม ปรากฏโดยความเป็นฆนสัญญารวมแล้วของหนึ่งสิ่ง เช่น ของเห็นกี่เห็นทำให้เป็นฆนสัญญาจำเห็นหลายๆ เห็น
- เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะปรากฏเพียง ๑ เลย โดยฆนสัญญาทั้งนั้น เปลี่ยนได้ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นฆนสัญญาหรือเปล่า หรือไม่มีฆนสัญญาอีกแล้ว (มี ไม่มีเป็นไปไม่ได้) นี่แหละคือความเข้าใจที่ต้องเข้าใจว่า เปลี่ยนไม่ได้ นี้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นธรรมต้องเป็นอย่างนี้แต่อัตตสัญญาหมดได้เพราะรู้ความจริง แต่เมื่อไม่รู้ความจริงคิดถึงสิ่งที่เป็นฆนสัญญาจำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงไม่ใช่อนัตตา แต่เป็นสิ่งหนึ่สิ่งใดที่ปรากฏว่าเที่ยงเป็นอัตตสัญญา นิจจสัญญา เห็นไหม ความจำว่าเที่ยง
- ต้องเข้าใจศึกษาด้วยความมั่นคง อย่าเอาความคิดของเรามาเลย ทิ้งไปให้หมดเลย มันเข้ามาปิดบังเปล่าๆ แทนที่จะฟังสิ่งหนึ่งให้ละเอียดขึ้นๆ กลายเป็นแทรกด้วยความคิดของเราไม่ใช่ฟังธรรม ถ้าฟังธรรมต้องฟังธรรมไม่ใช่ความคิดของเราเข้าไปแทรก เดี๋ยวนี้เข้าใจฆนสัญญาหรือยัง (เริ่มเข้าใจแต่ฟังเรื่องนิมิตด้วยและยังไม่ชัดเจนระหว่างความต่างของนิมิตและฆนสัญญา)
- เดี๋ยวนี้เห็นกี่เห็น (หลายขณะ) เป็นนิมิตของเห็นใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นสัญญาก็เป็นฆนสัญญาของเห็นใช่ไหม (เป็นฆนสัญญา ตอนนี้เริ่มเข้าใจ) ของเห็นๆ ต้องให้รู้ด้วย ไม่ใช่ฆนสัญญาเฉยๆ เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจคำว่า นิมิต จึงเข้าใจคำว่า สัญญาที่เป็นฆนสัญญาเพราะนิมิต (เข้าใจแล้ว ไปปนหลายเรื่อง)
- โดยมากจะคิดเองแถมเข้ามาตลอด เราเป็นใคร คิดเองผิด คิดเองไม่ลึกซึ้ง คิดเองปิดบัง เลิกคิดเองสิแต่แต่ละคำไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกจนกระทั่งหมดความสงสัยในคำว่า สัญญาสภาพจำ นิมิตปรากฏทั้งโลก อะไรปรากฏๆ โดยนิมิตทั้งนั้นเพราะความรวดเร็ว เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้วเต็มไปหมด แต่ต้องทีละขณะที่กระทบตา สิ่งเล็กๆ นั้นจึงจะปรากฏ กว่าจะรวมกันแต่ละหนึ่งจนกระทั่งมากมายมหาศาล นี้คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ปิดบังความจริงมาแสนโกฏกัปป์ ในสังสารวัฏฏ์
- (คิดอยู่ว่า การคิดเองเป็นปัญหาหนึ่งซึ่งไม่ใช่แค่เวลาสนทนาและศึกษาธรรม แต่อีกปัญหาคือฟังไม่ดีเพราะคิดเอง เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน) คอยว่าใครที่จะสนทนาเพื่อที่จะเข้าใจว่า ไม่ใช่คิดเองแต่ต้องฟังให้ละเอียด (คือปัญหาเดิมเพราะความไม่รู้เยอะ ความเป็นตัวตนเยอะ เริ่มจากฟังไม่ดีเองแล้วคิดเองเพราะกิเลสเยอะมาก) เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสที่จะไตร่ตรองละเอียดขึ้นลึกซึ้งขึ้นไม่คิดเอง
- (คุณเมตตา - ฟังแล้วนึกถึงเรื่องสติที่คุณอ้อมเคยไปสนทนาที่บ้านท่านอาจารย์ ก่อนไปหาท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้สวยก็พอใจและก็คิดจะนำไปให้ท่านอาจารย์เป็นสติที่เป็นไปในความนอบน้อมที่จะให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันแต่ละขณะละเอียดมาก ซึ่งสติเกิดยากมาก เข้าใจว่าลึกซึ้งมาก ถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้งตรงนี้ในขั้นการฟังก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจอะไรได้เลย กราบระลึกถึงคุณท่านอาจารย์เสมอ) กว่าจะรู้อย่างนี้ เห็นไหม เป็นผู้ที่คิดเองได้ไหม ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นจึงเริ่มรู้ว่า แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้ง จิตอยู่ไหน เดี๋ยวนี้แท้ๆ ยังไม่รู้เลย เห็นไหม แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ ทรงพระมหากรุณาแสดงให้รู้ว่า สิ่งที่ไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนตายคือทุกขณะในชีวิต
- เพราะฉะนั้นเวลาที่พระองค์ตรัสแสดงความจริง ให้รู้ว่าความจริงคือเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ไม่ว่าจะพูดถึงสัญญาจำ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องมีเพื่อเตือนให้รู้ว่าในขณะที่จำเป็นสภาพธรรมที่จำ กำลังจำจริงๆ เห็นไหม ค่อยๆ ละความไม่รู้ในสิ่งที่ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ได้อยู่ห่างไกลเลย อยู่ทุกขณะแต่ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องรู้ว่า ทุกคำกล่าวเพื่อให้รู้สิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้และทุกขณะ
- เพราะฉะนั้นอย่างที่เราพูดถึงสัญญาสภาพจำเดี๋ยวนี้แน่นอน ต้องมีสัญญาแน่นอนแต่ไม่มีใครรู้เลยว่า สัญญาคืออะไร เพราะฉะนั้นกว่าจะได้ยินได้ฟัง กว่าจะเข้าใจ กว่าจะรู้ว่า แม้สัญญากำลังมีแท้ๆ กว่าจะมีความเข้าใจในสภาพที่มีเดี๋ยวนี้ได้ต้องอาศัยว่า ประโยชน์ของการฟังทุกคำไม่ใช่อยู่ในหนังสือที่จดจำกันมาว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร แต่ทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสทุกกาลหมายความถึงให้รู้เดี๋ยวนี้ว่าอะไร ให้เข้าใจให้ถูกต้องในความเป็นจริงซึ่งค่อยๆ ฟังจนกระทั่งค่อยๆ มั่นคงในความเป็นธรรม ประโยชน์อยู่ตรงนี้
- เพราะฉะนั้นก็ต้องอดทนที่จะรู้ว่า พูดถึงธรรมแต่ละ ๑ มีจริงๆ สามารถจะรู้ได้ในขณะที่ฟังจนกว่าจะระลึกได้ อย่างคุณอ้อมเป็นต้น ก็รู้ว่า ในขณะที่เห็นดอกไม้สวยพอใจ แน่นอนสวย ดอกไม้สวยจะไม่พอใจได้อย่างไร พอใจในขณะที่เห็นว่าสวย แต่พอคิดถึงที่จะมอบให้คนอื่นเพื่อแสดงความเคารพ ขณะนั้นถ้าไม่มีลักษณะของสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นสติ เราใช้คำว่า “สติ” เพราะเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล
- พูดถึงสติเมื่อไหร่คือขณะที่ระลึกเป็นไปในกุศล ในความดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจและในชีวิตประจำวันมีไหม เป็นเราและร้ายกาจด้วย นานๆ จะมีสักที เพราะฉะนั้นก็รู้ตามความเป็นจริงว่า อะไรมากกว่าอะไร ความชั่วกับความดี ความไม่รู้กับความรู้ แต่พระมหากรุณาที่ทรงแสดงความจริงให้เริ่มรู้ว่า ทุกครั้งที่มีขณะนั้นอนัตตาไม่ใช่มีใครไปทำเลยแต่เพราะธรรมอย่างหนึ่งคือ สติเจตสิกเกิดขึ้นระลึกเป็นไปในกุศล
- ฟังคำพูดแล้วต้องรู้ว่า สติอยู่ไหน ไม่ไกลเลยอยู่ในขณะที่กำลังระลึกเป็นไปในกุศล ไม่ว่าจะขณะรับประทานอาหารเอื้อมมือยื่นไปให้คนอื่นที่เขาไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ อะไรทุกอย่างที่เป็นไปในกุศลพระองค์ทรงตรัสให้รู้ว่า ขณะนั้นไม่มีเรา ไม่ใช่สภาพจำ แต่เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งระลึกเป็นไปในกุศลเกิดขึ้น กว่าจะรู้ กว่าจะระลึกได้หลังจากที่ฟังแล้ว เช่น เดี๋ยวนี้ฟังเรื่องสัญญาสภาพจำยังไม่ได้ระลึกถึงสัญญาใช่ไหม แต่ได้ฟังแล้วเข้าใจแล้วเป็นพื้นฐานที่จนกว่าจะระลึกโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยตัวตนพยายามให้ระลึก นั่นผิด นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่สติแต่เป็นเราเป็นความเห็นผิด แทนที่จะรู้ว่าเป็นธรรมก็เป็นเรา
- เห็นความลึกซึ้งไหมว่า ทุกคำไม่ว่าจะเป็นสติก็ต้องรู้ว่า ชีวิตประจำวันนั่นแหละถูกปิดบังไม่ให้รู้ว่าเป็นธรรมประเภทไหนแต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเริ่มเปิดเผยความจริงซึ่งเป็นอย่างนี้ตลอดทุกขณะทุกวันให้ค่อยๆ รู้ ให้ค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรมแต่ละ ๑ นี้คือศึกษาธรรมตัวธรรมที่กำลังปรากฏให้รู้ว่ามี ขณะนั้นเป็นอะไรแต่ขณะนั้นจำใช่ไหมแล้วคิดถึงคำใช่ไหม แต่ยังไม่ถึงภาวะของสติซึ่งไม่ใช่ธรรมอื่นเพราะฉะนั้นก็เป็นความรู้ตามลำดับที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น ละเอียดขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกคำ
- เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เข้าใจสติ เข้าใจสัญญา (เริ่มเข้าใจความจริงที่กำลังมีอยู่ขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจ) จนกว่าจะระลึกตรงนั้นได้ถึงจะรู้จริงๆ ว่าตรงนั้นเองขณะนั้นเอง นิมิต ฆนสัญญา ทั้งหมดอยู่ตรงนั้น (คุณเมตตา - เริ่มเข้าใจขึ้น กราบเท้าท่านอาจารย์ที่ให้ความเข้าใจถึงความลึกซึ้งของแต่ละขณะแต่ละสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ให้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจถึงว่า ศึกษาธรรมคือศึกษาอย่างไร ศึกษาสิ่งที่มีจริงขณะนี้ไม่ใช่จำแต่ชื่อแล้วมาตอบได้แล้วไปคิดเองก็ยาก ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ กราบเท้าท่านอาจารย์)
- (คุณฮัง - ถิรสัญญาต่างกับฆนสัญญาอย่างไร) ถิระ หมายความว่าอะไร เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า (ถ้าไตร่ตรองก็เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม) ยังไม่มั่นคงเพราะต้องไตร่ตรองใช่ไหม
- (คุณสุคิน - แม้ว่าคนที่ตอบได้ว่าเป็นธรรมก็ไตร่ตรองทันที ต้องมีการไตร่ตรองอยู่แล้ว มีคิดอยู่ตลอดเวลามิใช่หรือ) เดี๋ยวก่อนนะคะ เพียงแค่ตอบเข้าใจแค่ไหน (ตอบด้วยความเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็คือการไตร่ตรองมิใช่หรือ) ไม่ค่ะเพราะเหตุว่าแค่จำ ถามเด็กสิ ตอบได้แค่จำ
- ถ้าศึกษาธรรมโดยละเอียดแม้แต่ไตร่ตรองมีจริงไหม (มีจริง) เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) เกิดเมื่อไหร่ (ถ้าใช้คำว่าไตร่ตรองหมายถึงตอนที่เกิดกับความเข้าใจ) แต่ว่าทั่วๆ ไป มีไตร่ตรองไหม (มีตลอด) เพราะฉะนั้นการใส่ใจในสิ่งที่มีมากน้อยแค่ไหนละเอียดแค่ไหนต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏ มีการใส่ใจในสิ่งที่ปรากฏไหม (เวลานี้ไม่มี)
- แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีธรรม ๑ ซึ่งเกิดพร้อมจิต จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏคืออารมณ์ แต่สภาพธรรมอื่นที่เกิดพร้อมจิตรู้อารมณ์ที่จิตรู้แจ้งโดยฐานะ โดยลักษณะ โดยกิจการงานต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะรู้ไหมว่า ขณะเห็นมีเจตสิกอะไรที่เกิดกับจิตนั้นแล้ว
- เพราะฉะนั้นจึงฟังเพื่อจะได้เริ่มเข้าใจว่า แม้แต่เห็นตั้งแต่แสนโกฏกัปป์มาแล้วก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับเห็น ๑ ขณะ แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่าอัศจรรย์ สิ่งที่ไม่เคยรู้แม้มีแต่ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้สนใจใส่ใจไตร่ตรองจะไม่สามารถเข้าใจได้ เพียงแต่ฟังแล้วจำ แต่ถึงอย่างนั้นขณะที่ฟังแล้วจำก็ยังคงมีสภาพที่ใส่ใจในสิ่งที่ปรากฏ
- เพราะฉะนั้นเกิดกับจิตทุกขณะใช้คำว่า “มนสิการ” สภาพที่ใส่ใจ ใส่ใจ มนะ ในอารมณ์นั้น ต่างกันแล้วกับขณะที่กำลังรู้แจ้ง ต่างกันแล้วกับขณะที่จำแต่ทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยจากการที่ได้ตรัสรู้ไม่มีใครรู้ได้เลยสักอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพ
- เพราะฉะนั้นมีสภาพธรรมที่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นใส่ใจ เพราะฉะนั้นใส่ใจน้อยหรือมาก ละเอียดหรือไม่ละเอียด ถูกหรือผิด ไม่เหมือนกันเลยต่างกันไปทุกขณะ เพราะฉะนั้นฟังแล้วไม่ใส่ใจในความละเอียดแต่ว่าขณะนั้นใส่ใจเฉพาะในอารมณ์ นี้คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาด้วยความเคารพสูงสุดในการที่รู้ว่า ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดขึ้นๆ ๆ จะไม่ถึงภาวะที่ละเอียดอย่างยิ่งของธรรมที่ลึกซึ้ง
- (คุณสุคิน - ช่วยขยายความ การไม่ได้ใส่ใจในความละเอียดแต่ใส่ใจในอารมณ์) เพราะเหตุว่าสภาพใส่ใจเกิดแล้วใส่ใจแล้วไม่มีใครรู้ ลึกซึ้งไหม ทำไมไม่ปรากฏให้รู้ (ลึกซึ้งมาก) นี่แหละทุกอย่างที่มีแสนสั้นแสนละเอียด ถ้าเมื่อรู้ความจริงจะต้องรู้ว่า ไม่ใช่อย่างที่ปรากฏ ที่ปรากฏนี้หยาบพอที่จะรู้ได้ยังไม่รู้ ถูกต้องไหม
- (หมายถึงว่า ที่ฟังแล้วคิดถึงใส่ใจ ตอนนั้นคิดถึงอารมณ์แล้วสรุปว่าเป็นใส่ใจหรือเปล่า) แน่นอน ถ้าเป็นสภาพรู้ต้องมีอารณ์แล้วแต่ว่าจะเป็นฐานะของจิตหรือเจตสิกแต่ละ ๑ ไม่มีอารณ์ไม่ได้ ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้มีเห็น สภาพเห็นเป็นสภาพรู้แจ้งอารณ์แต่ขณะนั้นก็มีสภาพภาวะที่ใส่ใจในอารมณ์โดยไม่มีใครรู้
- เพราะฉะนั้นกำลังใส่ใจเริ่มที่จะรู้ลักษณะต่างของภาวะที่ต่างกับเจตสิกอื่นเมื่อสามารถจะรู้ได้แต่เพียงนิดเดียวแค่นั้นไม่รู้หรอก เพราะฉะนั้นจึงมีความใส่ใจในชีวิตประจำวันอย่างละเอียด (แต่แม้ว่าขั้นคิดก็พอจะเข้าใจได้ว่า สัญญาไม่ใช่ความจำ ไม่ใช่สมาธิคือต่างกันพอจะเข้าใจขั้นคิดได้) เป็นชีวิตประจำวันใช่ไหม กว่าจะรู้ว่าเป็นปกติในชีวิตประจำวันถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะเอาความเป็นตัวตนออกไปได้ไหมในเมื่อมันมหาศาลเยอะแยะไปหมด
- (ความเข้าใจเพิ่มความเข้าใจที่จะเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เป็นก็คือปกติเป็นอย่างนี้) เพราะฉะนั้นปกติมีใส่ใจไหม (มีแต่ไม่รู้ ยังไม่ปกติ) เป็นปกติต่างหาก เป็นปกติของธรรม (เป็นปกติก็คือตามที่ได้ฟังแต่ยังไม่เข้าใจเลยว่า ปกติความจริงของปกตินี้คืออะไร) เพราะฉะนั้นจึงมีธรรมที่ไม่สามารถเข้าใจได้คือ อวิชชา เพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่ต้องฟังให้รู้ว่าเป็นลักษณะที่เป็นธรรม ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อว่ามีอะไรบ้าง (ซึ่งเหมือนกัน อวิชชาเป็นปกติก็ไม่รู้อวิชชาอีกก็เป็นเพียงแต่ชื่อ)
- เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะคุยเรื่องนี้ใช่ไหม เพื่อค่อยๆ รู้ใช่ไหม (ทีแรกคิดว่าจะคุยเรื่องอวิชชาแต่คิดว่าการที่ฟังเรื่องธรรมไหนก็ตามปริยายคือเข้าใจอวิชชาด้วย) ถ้าไม่พูดถึงอวิชชาก็ไม่สามารถเข้าใจอวิชชาขึ้น (ต้องเข้าใจทุกธรรมไม่อย่างนั้นความเห็นผิดก็ยังอยู่ ความเป็นตัวตนก็ยังอยู่)
- เพราะฉะนั้นเราจะไม่คิดเองอย่างเดิมแต่ฟังละเอียดขึ้น ถ้าคิดอย่างเดิมจะไม่มีความละเอียด แต่พอฟังเพิ่มขึ้น ความละเอียดเพิ่มขึ้น นี้คือฟังแล้วใส่ใจ ถูกไหม (ฟังแล้วใส่ใจกับฟังด้วยความใส่ใจตรงนี้ยังไม่รู้ความต่าง) ใส่ใจเกิดทุกขณะจิต เพราะฉะนั้นเราเริ่มเห็นแล้วไม่ใช่เฉพาะเมื่อปรากฏว่ามีการใส่ใจแต่ทุกขณะที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดใส่ใจในสิ่งนั้น ไม่ใส่ใจไม่ได้
- (ไม่มีใส่ใจเป็นไปไม่ได้เพราะต้องมีใส่ใจทุกขณะ) เราพูดเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจเพราะว่าเข้าใจก็มีในชีวิตประจำวันและส่วนใหญ๋ก็รู้ผิดๆ ด้วยความเห็นผิด) เพื่อให้เข้าใจขึ้นใช่ไหม แล้วกำลังใส่ใจก็ลืมแล้วใช่ไหม จนกว่าจะเป็น “ถิรสัญญา” คิดดูว่าเมื่อไหร่จะเป็นอย่างนั้นจึงสามารถสติระลึกได้ ขณะนั้นอะไรที่ได้ศึกษามาแล้วเพื่อรู้ความเป็นจริงว่า แต่ละ ๑ ที่มีในชีวิตทุกขณะไม่ใช่เราเพราะฟังแล้วเข้าใจแล้วถึงเวลาจริงๆ ที่จะเข้าใจตรงสิ่งที่กำลังปรากฏ
- (ตรงนี้หมายถึงถิรสัญญาไม่ใช่หมายถึงตัวสัญญาอย่างเดียวแต่หมายถึงโยนิโสมนสิการด้วยใช่ไหม) ยังค่ะ พูดทีละอย่าง ปนกันอีกแล้ว ปนไม่ได้ ถิรสัญญาเป็นอื่นไม่ได้นอกจากสัญญาที่มั่นคงซึ่งเวลานี้เรารู้ได้ว่า ไม่มั่นคง ลืมแล้ว จนกว่ามั่นคงเมื่อไหร่ ไม่ลืม สติจึงระลึกได้เพราะสัญญามั่นคง ถ้าสัญญาไม่มั่นคงสติก็ระลึกไม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้แข็งธรรมนะ ไม่ใช่เนื้อ ไม่ใช่ขา ไม่ใช่แขน ไม่ใช่อะไรเลย เดี๋ยวธรรมนั่นแหละสัญญามั่นคงสติจึงระลึกได้
- (คำที่ใช้สำหรับสติ ระลึกไปเกี่ยวข้องกับสัญญาด้วย คืออย่างไร) เกิดพร้อมกันหรือเปล่า (พร้อมกัน) แล้วเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ระลึกอะไร (เดี๋ยวนี้เป็นอกุศล) เพราะฉะนั้นสัญญาไม่มั่นคงว่า เป็นธรรม (เพราะฉะนั้นไม่เป็นการระลึกเป็นแต่การจำผิดๆ) ถ้าสัญญามั่นคงคือขณะนี้เป็นธรรมไม่ใช่เราจึงเป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกด้วยความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏเพราะสัญญามั่นคงที่รู้ว่า ขณะนั้นมีจริงเป็นธรรมที่จะต้องศึกษาต่อไป อบรมต่อไป เข้าใจต่อไป
- (ฟังมาตลอดว่าถิรสัญญาเป็นปัจจัยให้สติระลึก ฟังดูเหมือนว่าคนละขณะกัน) เอาหล่ะ พูดถึงน้อยๆ สั้นๆ ขณะนี้สัญญาอะไร ไม่ใช่ถิรสัญญาใช่ไหม (ไม่ใช่) ต่อเมื่อไรมั่นคงแล้วเป็นปัจจัยให้สติเกิดพร้อมกันระลึกเป็นไปในความจริงของสิ่งที่ปรากฏ (พร้อมกันก็ต้องเป็นปัจจัยตอนนั้นพร้อมกันเลยใช่ไหม) ก็เกิดพร้อมกันกี่ประเภท กุศลจิตแต่ละขณะแล้วสติปัฏฐานหล่ะ
- เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ได้เรียนด้วยความเข้าใจความเป็นอนัตตาแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งต้องไม่ปนกันด้วย อาศัยกันและกันเกิดพร้อมกันได้แต่ไม่ปนกัน เหมือนเดิมที่เราเคยฟังแต่สัญญาไม่มั่นคงจึงสงสัย
- (ตรงนี้ทำไมถึงให้ความสำคัญต่อสัญญาและมีคำว่า ถิรสัญญา ปกติให้ความสำคัญต่อสติหรือปัญญา สัญญาตรงนี้ให้ความสำคัญเพื่อจะให้เข้าใจอะไร) ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจะมีสัญญารู้ว่าธรรมเป็นอะไรหรือเปล่า (สัญญาเกิดกับทุกจิต มีอยู่แล้วต้องจำอยู่แล้ว) คิดเองๆ ต้องฟังธรรม สัญญาเกิดกับจิตทุกขณะ เป็นสัญญาที่เกิดกับกุศลก็มี เกิดกับอกุศลก็มี ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลก็มี ต่างกันไหม
- เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า ธรรม มีสัญญาจำไหม แล้วดีนี้เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) สัญญาขณะนั้นจำมั่นคงหรือเข้าใจมั่นคงว่าเป็นธรรม (เข้าใจว่า ถ้าถิรสัญญามั่นคงกว่านี้ปัญญาก็มั่นคงกว่านี้) ฟังแบบคิดเองตามไปด้วยหมด เพราะฉะนั้นฟัง ไม่คิดเอง เราคิดเองได้ไหใ เพราะฉะนั้นเริ่มฟังเพื่อจะได้เป็นสัญญาที่มั่นคงว่า ไม่คิดเอง มั่นคงที่เป็นถิรสัญญา เห็นไหม ต้องมีความละเอียดอย่างยิ่งแม้แต่ฟัง เคยฟังแบบคิดเองแต่รู้ว่าคิดเองไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร เราเป็นใคร พระองค์ตรัสแล้วเราคิดเองได้หรือแค่ไหน
- เพราะฉะนั้นถิรสัญญาจำในความประเสริฐยิ่งของพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั่นคงที่จะไม่คิดเอง เห็นไหม สัญญามั่นคงในทุกอย่าง (แสดงว่าค่อยปรุงแต่งอยู่ทุกครั้งที่มีปัญญาเกิดขึ้น) ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง กว่าจะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เราแม้ในขั้นฟังรอบที่ ๑ ก็ยังรู้ได้ว่า มั่นคงหมายความถึงอะไร เห็นไหม เพราะมีคำว่า ถิรสัญญา มีคำว่า ฆนสัญญา มีคำว่า อัตตสัญญา มีคำว่า อนัตตสัญญา มีคำว่า ทุกขสัญญา มีคำว่า อนิจจสัญญา ทุกอย่างหมดไม่ใช่ให้เราไปจำๆ ๆ แต่ไม่ว่าเป็นคำไหน ฟังไตร่ตรองจนรู้ความจริงว่าเป็นธรรม
- ขณะนี้มีสัญญาไหม (คุณฮัง - ทุกขณะมีสัญญา) จำใช่ไหม (ยังจำอยู่) มั่นคงไหม (ยังไม่มั่นคง) มั่นคงเมื่อไหร่ เมื่อไม่ลืมว่าเดี่ยวนี้เป็นสัญญาที่จำ ขั้นไหน (ขั้นปริยัติ) มั่นคงไหม (ยังไม่มั่นคง) ต้องรู้แน่ว่า ไม่มั่นคงเลย ยังไม่ถึงระดับที่เรียกว่ามั่นคง เพราะอะไร (ฟังยังไม่พอ) เพราะยังลืมว่าเป็นสัญญา
- (แล้วถิรสัญญากับฆนสัญญาต่างกันอย่างไร) เอาอีกแล้ว เดี๋ยวนี้สิ่งที่จำเป็นฆนสัญญาหรือเปล่า (เป็น) ตอบอย่างนี้เสมอไปไหม ถามเมื่อไหร่ก็ตอบอย่างนี้ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ว่าอะไรที่ปรากฏเป็นฆนสัญญาทั้งนั้นเพราะเพียง ๑ สัญญาที่เกิดกับ ๑ จิตรู้ไม่ได้แน่นอน ต้องเป็นนิมิตทั้งหมดของสัญญา เดี๋ยวนี้ที่เห็นเป็นนิมิตแล้วเพราะฉะนั้นสัญญาก็เป็นสัญญาที่จำนิมิตเป็นฆนสัญญาใช่ไหมที่จำนิมิต แล้วเป็นอัตตสัญญาหรือเปล่า (เป็น) เริ่มเข้าใจความต่างหรือเปล่า (คุณฮัง - เริ่มเข้าใจ) (คุณสุคิน - เริ่มเข้าใจยังไม่ได้เป็นถิรสัญญาใช่ไหม)
- ไม่เห็นน่าสงสัยเลย จำมั่นคงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นถิรสัญญาขณะนั้นในเรื่องนั้น ถ้าไม่มีถิรสัญญาสติปัฏฐานจะเกิดได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นที่สติปัฏฐานเกิดเพราะจำมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรม สติจึงระลึกที่ธรรมเพื่อเข้าใจธรรมได้ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ กว่าจะเข้าใจได้และไม่ใช่เข้าใจระดับนี้เท่านั้นยังต้องเข้าใจยิ่งกว่านี้คือตัวธรรมที่ปรากฏ นั่นแหละถิรสัญญาเป็นปัจจัยให้สติระลึกและเข้าใจสิ่งนั้นได้ เพราะเดี๋ยวนี้พูดถึงสัญญาเจตสิก เข้าใจเพียงเรื่องของสัญญาแต่ไม่ใช่ตรงตัวสัญญาที่กำลังเกิดดับ
- เดี๋ยวนี้สัญญาวิปาสหรือเปล่า (ก็มีก็เป็นถ้าไม่เข้าใจสัญญาเป็นธรรมก็เป็นสัญญาวิปาส) (ทุกครั้งที่อกุศลเกิดก็ต้องวิปลาส) เห็นไหม สัญญาค่อยๆ จำความจริง ถ้าไม่ได้ฟังเลยจะไม่มีสัญญาอย่างนี้เลย ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นจริงอย่างนี้ทุกขณะ เห็นไหม เราก็ต้องยังพูดถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟังให้เข้าใจขึ้นเพื่อที่จะถึงการมั่นคงขึ้นในความจริง เพราะฉะนั้นถิรสัญญาก็เริ่มมั่นคงขึ้นเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
- ถ้าไม่พูดถึงธรรมเลยจะมีความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นไหม (อยากให้พูดเรื่องสติเพิ่ม ถ้าสติที่เกิดกับกุศลไม่เกิดจะให้สติปัฏฐานเกิดได้อย่างไร หมายถึงนัยไหน) หมายถึงนัยว่า สติปัฏฐานต้องเกิดกับปัญญาเท่านั้น และไม่ใช่ปัญญาเพียงขั้นฟัง ทุกครั้งที่เป็นไปในกุศลขณะนั้นสติเกิดร่วมด้วยระลึกเป็นไปในกุศล ไม่ใช่ฟังแล้วเผลอไขว้เขวคิดเรื่องอื่น ขณะนั้นเพราะสติไม่ได้เกิดขึ้นจึงคิดเรื่องอื่นไขว้เขวไป
- แต่ว่าในขณะที่ฟังแล้วสติเกิด ขณะนั้นทำให้ฟังด้วยการระลึกเป็นในทุกคำที่เข้าใจขึ้น สติเกิดกับกุศลสภาพธรรมที่ดีงามทุกประการทุกระดับเพราะสติเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศลเท่านั้นไม่ใช่ในอกุศลที่จะเปนกุศล เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นกุศลจึงไม่ใช่เราเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นจึงรู้ว่า อะไรเป็นอะไร เพราะฉะนั้นที่สติปัฏฐานเกิดแล้วจะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเป็นไปไม่ได้
- ถิรสัญญาหรือเปล่าขณะที่สติเกิด (ถ้าเป็นสติปัฏฐานก็ต้องเป็นถิรสัญญา) นั่นแหละเริ่มเข้าใจความหมายของถิรสัญญาเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดแน่นอน ทุกคำที่เราพูดถึงก็เข้าใจชัดเจนขึ้นใช่ไหม และสัญญาก็ค่อยๆ มั่นคงในธรรม เดี๋ยวนี้มีสัญญาไหม (ไม่มีสัญญาเป็นไปไม่ได้) และสัญญาเดี๋ยวนี้เป็นอกุศลสัญญาหรือเปล่า (ยกเว้นตอนที่ฟังแล้วเข้าใจสัญญาก็เป็นอกุศล)
- เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจความไม่มีเราใช่ไหมทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นจึงเห็นคุณอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เข้าใจความจริง ปลูกฝังความมั่นคงต่อความจริงทีละเล็กทีละน้อยแต่ธรรมก็ละเอียดมาก ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษาโดยประการทั้งปวงแต่ต้องเริ่มต้นให้ถูกต้อง ถ้าเริ่มต้นผิดคิดแต่จะจำเท่านั้นก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมเลย
- (แม้คำว่าเริ่มต้นก็ยังไม่เข้าใจ จะลืมตลอดและเป็นการเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่มีความเข้าใจ) เพราะว่าของที่มาทับถมก็มากมายตลอดเวลา ฟังนิดเดียว สตินิดเดียวกว่าสัญญาจะมั่นคงอย่างอื่นก็เกิดบ่อยกว่า จนกระทั่งต้องเริ่มต้นอีกที่จะเอาสิ่งที่เพิ่มเติมหนาแน่นค่อยๆ ออกไปอีก เป็นสิ่งที่นานแสนนานแต่คนที่รู้ความจริงปีติยินดีที่รู้หนทางที่จะรู้ว่า ยังมีทางที่จะพ้นจากจิตที่อารมณ์ไม่ปรากฏแล้วก็มีอารมณ์ปรากฏทั้งวันสลับกับจิตที่ไม่มีอารมณ์เลยจนตายแล้วก็เกิดอีกก็เป็นอย่างนี้จนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้ายเมื่อดับไม่สามารถเป็นปัจจัยให้จิตอะไรต่อไปเกิดอีกได้เลย
- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราอยู่ตรงไหน เวียนว่ายอยู่ท่ามกลางความมืดสนิทของความไม่รู้จนกว่าจะค่อยๆ รู้หนทางและมีความเพียรความอดทนที่จะรู้ว่า หนทางมีแต่ต้องเป็นทางเดียวไม่ใช่ทางอื่น ที่จะสามารถเพราะรู้ความจริงจึงสามารถพ้นจากความไม่รู้ได้ ถิรสัญญาทีละน้อยใช่ไหม ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะฉะนั้นความอดทนมีแล้วใช่ไหมที่จะรู้ว่า ความจริงลึกซึ้งแต่รู้ได้โดยความเข้าใจขึ้นเท่านั้นไม่ใช่คิดเองหรือทำอย่างอื่นเลย หนทางตรงก็คือสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้
- สนทนาธรรมเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นเพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เราเคยได้ฟังมาแล้ว ความเข้าใจของเราพอหรือยัง (นับวันยิ่งรู้สึกว่าไม่พอ เท่าไหร่ก็ไม่พอ น้อยมาก ดูเหมือนฟังมาพอสมควรแต่ไม่เลยน้อยมาก) นี้เป็นการที่สะสมสัจจบารมีตรงต่อความเป็นจริงลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่ลึกซึ้งป่านนี้ก็ปรากฏให้รู้แล้ว ทั้งๆ ที่ปรากฏแต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
- แค่นี้ก็ต้องรู้ว่าอยู่ในโลกของความไม่รู้จริงๆ ในความเป็นจริงว่า หามีอะไรไม่ที่ยั่งยืนนอกจากมีสิ่งที่เดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ ปกปิดไว้ด้วยการสืบต่อเหมือนเที่ยง เหมือนไม่มีอะไรดับไปเลย เหมือนเป็นเรามั่นคง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมั่นคง แล้วจะละหรือถ้าคิดอย่างนี้ ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พอใจติดข้องแน่นอนเพราะเป็นสิ่งหนึ่งแล้ว ติดข้องแล้วว่าเป็นสิ่งนั้น ความละเอียดของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีแต่ยากที่จะรู้ได้ถ้าไม่ฟังด้วยความเคารพจริงๆ ในความลึกซึ้งว่า ฟังเพื่อสะสมความเข้าใจที่ถูกต้อง
- แค่รู้ว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงไม่ได้ปรากฏตามที่ปรากฏ แค่นี้คิดดูแล้วจะรู้สิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้เมื่อได้ฟังความจริงของแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้สนใจเลย ไม่มีวันที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ (ไม่สนใจเลยเป็นเพราะความเห็นผิดใช่ไหม) สะสมมาที่จะไม่สนใจความจริง พอใจที่จะไม่รู้ความจริง รู้ไปทำไม เห็นไหมบางคิด ฟังเรื่องอะไร ก็ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ให้รู้ว่าความจริงคืออะไร พูดเรื่องเห็นเรื่องได้ยินก็มีจริงๆ แล้วความจริงของสิ่งที่มีจริงคืออะไร ไม่ได้เห็นตลอดไป ไม่ได้จำสิ่งเดียวตลอดไป ไม่ได้คิดสิ่งเดียวตลอดไป ทุกอย่างเร็วแสนเร็วที่จะมีแล้วไม่มี
- เพราะฉะนั้นมีทำไมเหมือนตอนที่ไม่มีเพราะมีแล้วก็ไม่มี กว่าจะรู้ความจริงในชีวิตประจำวันจริงๆ ก็เพราะปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏสั้นมากแล้วไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็จบไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกชาติ ไม่รู้อะไรแล้วก็รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ไม่รู้อีก แล้วก็รู้อีกแล้วก็ไม่รู้อีกเท่านั้นเองไม่สิ้นสุด
- เมื่อวานนี้ก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งได้ฟัง ทั้งสนุก ทั้งอะไรสารพัดอย่าง เมื่อวานนี้เป็นอย่างนี้ วันนี้ก็เหมือนอย่างนั้นแล้วก็ไม่เหลือ แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้แล้วก็ไม่เหลือ แล้วก็เป็นอย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด ออกไม่ได้ พ้นไม่ได้ ติดกับที่จะต้องเป็นอย่างนี้จนกว่าจะเห็นประโยชน์จริงๆ ของการรู้ความจริงซึ่งแม้ว่าจะแสนยากแต่อย่างน้อยที่สุดยังรู้ว่าความจริงคืออะไร ก่อนที่จะหน่าย ก่อนที่จะคลาย ก่อนที่จะเห็นโทษของการที่จากไม่มีแล้วก็มามีแล้วก็ไม่มี
- (ยังต้องติดกับอีกหลายกัปป์) แล้วความไม่รู้จะมืดสักแค่ไหน เมื่อไม่รู้ก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่ไม่ดี น่ารังเกียจ ขยะแขยงคืออะไร เหมือนเด็กไม่รู้ว่าอุจจาระเป็นอย่างไรก็จับไปเล่นไป (ทำให้นึกถึงพระสูตรที่พระพุทธองค์กล่าวถึงเด็กที่ไม่รู้เรื่องเอาของมีคมเข้าปากแล้วพระพุทธองค์เหมือนแม่ที่ดึงของมีคมออก เหมือนการที่ท่านสอนพระธรรม เราก็เหมือนเด็ก)
- กว่าจะรู้จักพระองค์แล้วเห็นคุณสูงสุดที่ทำให้สิ่งที่ไม่เคยได้เข้าใจเลยได้เข้าใจความจริงตรงตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น ประโยชน์มหาศาลในสังสารวัฏฏ์ ปลูกฝังจนกระทั่งเติบโต จนกระทั่งมั่นคง จนกระทั่งรู้จริง จนกระทั่งเห็นโทษของการที่ไม่มีแล้วก็มีแล้วก็ไม่มี ทุกคำเป็นจริงอย่างนั้นที่จะต้องค่อยๆ มั่นคงขึ้นเพราะสัญญาจำด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าไม่เปลี่ยนเมื่อไหร่เข้าใจขึ้นเมื่อนั้นก็เป็นความที่มั่นคงขึ้น
- (รู้อย่างนี้ก็ต้องเจริญกุศล ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็เจริญกุศลทุกระดับ) เมื่อเห็นโทษของอกุศล อกุศลไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลยไม่ว่าใครจะทำอะไรผิดถูกอย่างไร ขณะที่คิดถึงขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลอยู่ตรงนี้ เพรราะฉะนั้นการอภัยสบายมากจบทุกอย่าง
- (ความต่างที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจกับไม่ได้ฟังเหมือนคนละโลกกันเลย ถ้าไม่ได้ฟังอกุศลอยู่กับคนอื่นตลอด อะไรก็คนอื่นผิดแต่เริ่มฟังพระธรรมเริ่มเห็นว่า อกุศลอยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่ที่อื่น) เพราะฉะนั้นประมาณคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม มหาศาลเพียงใด
- ใครไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง (คนที่ไม่ฟัง ไม่เคยได้โอกาสฟัง ถ้าไม่มีความเข้าใจเกิดขึ้น แม้เรียกตัวเองว่าชาวพุทธก็ไม่ได้เห็นคุณของพระพุทธองค์) และชาวพุทธไม่จำกัดเลยว่าเป็นใคร (อยู่ตรงความเข้าใจ เข้าใจเมื่อไหร่เป็นชาวพุทธ)
- เพราะฉะนั้นโอกาสที่อยู่ในโลกนี้ก็คงไม่นาน แล้วแต่ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ แต่จากไปด้วยการรู้ความจริงประเสริฐกว่าการที่ทั้งชาติตลอดมาตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ติดข้องด้วยความไม่รู้ แล้วก็จากโลกนี้ไปไม่มีวันที่จะรู้ความจริงได้ ก็น่าเสียดายเกิดมาจากไม่มีอะไรแล้วก็มี แล้วก็ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ไม่มีตลอด แล้วก็หมดไปๆ ไปต่ออีกเป็นอย่างนี้อีกไม่มีวันจบสิ้น
- (ชาตินี้ขอใช้คำว่า โชคดี ถ้าไม่มีท่านอาจารย์ก็ไม่มีเลย เราก็มืดต่อไป พ้นชาตินี้จะได้ฟังต่อเมื่อไหร่ นี้ก็อกุศลอีกแล้วจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน ยากมากอกุศลเยอะมาก) แต่ก็คิดดูได้เลย สิ่งใดจะเกิดขึ้นต้องมีเหตุปัจจัย “ทำไมได้ฟัง” และฟังด้วยความเคารพ ด้วยความเข้าใจในความลึกซึ้งต่างกับเพียงฟังเพราะต้องการที่จะรู้โน่นถามนี้อะไรเป็นอะไร แต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั่นเอง แต่ความไม่รู้ในความจริงปิดบังหมดจนกว่าจะค่อยๆ เผยความจริง แต่ละหนึ่งๆ ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังมี เห็นไหมจะยากสักแค่ไหนแต่ก็เป็นประโยชน์มากมายมหาศาลเพียงนั้นเพราะลึกซึ้งจริง ต้องไม่ลืมสักคำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส รู้ความจริงของสิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ ที่พึ่ง ไม่ไปอื่น
- (คุณเมตตา - เห็นด้วยกับคุณสุคินอย่างมากที่ว่า ชาตินี้ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่มีท่านอาจารย์ที่จะมาเกื้อกูลให้เข้าใจถึงความลึกซึ้งของธรรม ก็ยากแสนยากถ้าไม่รู้จักธรรมที่แสนจะลึกซึ้งก็ไม่มีทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริงแน่นอน อย่างที่เกื้อกูลคุณฮํงตอนเช้าเรื่องสัญญา) แล้วไม่ลืมเลยเดี๋ยวนี้มีสัญญาที่เรากล่าวถึงทั้งหมด เดี๋ยวนี้เองมีสัญญาสภาพจำและสภาพจำนั้นขณะนี้หรือในขณะไหนก็เป็นฆนสัญญาจำสิ่งที่รวมกันปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และยังมีความเห็นผิดว่าเป็นเรา เที่ยง ไม่ดับไม่สูญเลย เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงเป็นอัตตสัญญา เห็นไหม มีสัญญา มีฆนสัญญา มีอัตตสัญญา
- เพราะฉะนั้นจนกว่าจะเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มีเรา ถิรสัญญา เป็นปัจจัยให้สติสามารถระลึกเกิดขึ้นรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้โดยความเป็นอนัตตาชัดเจนว่า ทุกอย่างต้องนำไปสู่ความมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นธรรมแต่ละ ๑ ที่เกิดแล้วดับ เห็นไหมว่า ความจริงคือว่า มีทุกอย่างตามที่ได้ฟังแน่ๆ สัญญามีแน่ ฆนสัญญามีแน่ อัตตสัญญามีแน่ใช่ไหม จนกว่าจะค่อยๆ รู้ความจริง ค่อยๆ ละคลายจนกระทั่งเป็นอนัตตสัญญากับขณะที่ปัญญารู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา จะขาดสัญญาไม่ได้เลย
- เพราะฉะนั้นสัญญาก็หลากหลายมากแต่ว่าสัญญาที่มั่นคงในความเป็นจริงที่ได้ฟังเท่านั้นที่จะทำให้ขณะนั้นมีการไม่ลืมระลึกได้ที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏเป็นลักษณะของสติที่สามารถจะเกิดในขณะนั้นให้รู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ใครเลยแต่เป็นสติที่เป็นขั้นสามารถรู้ลักษณะที่กำลังปรากฏและเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นสติปัฏฐานเป็นสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อรู้สิ่งที่มีจริงทุกขณะแม้เดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง
- (อนัตตสัญญาเกิดขึ้นเฉพาะกับสติปํฏฐานและวิปัสสนาหรือเปล่า) เพราะเหตุว่า เดี๋ยวนี้ใครจำ (ไม่ใช่ทุกครั้งจะมีใครจำแต่ว่าขั้นปริยัติก็เป็นความเข้าใจเหมือนเริ่มจะมีอนัตตสัญญาบ้างไม่ใช่หรือ) ถ้าเราเข้าใจจริงๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงชื่อแต่ลักษณะที่เข้าใจแล้วนั้นพอได้ยินชื่อ เรารู้เลยว่าเป็นความจริงระดับไหน
- เพราะฉะนั้นขณะนี้ได้ยินคำว่า ธรรม แค่คำนี้ก่อน จากที่ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นจริงแต่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นจริงตามธรรมแต่ละหนึ่งๆ เช่นแข็งก็เป็นธรรม เป็นจริง เปลี่ยนไม่ได้ เข้าใจอย่างนี้เห็นความเป็นอนัตตาหรือยัง หรือยังเป็นเราจำ (เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม) เพราะฉะนั้นจึงเป็นขั้นปริยัติ ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่กุศล ขณะนั้นไม่มีอกุศลเกิดร่วมด้วย จิตสะอาด (แต่สัญญาที่เกิดด้วยก็ไม่ใช่อัตตสัญญาแต่ก็ไม่ใช่อนัตตสัญญา) เพราะฉะนั้นเป็นขั้นจำเป็นขั้นปริยัติ มั่นคงเมื่อไหร่เมื่อนั้นจึงจะเป็นปัจจัยให้รู้ตรงถึงเฉพาะตามที่ได้เข้าใจ เวลานี้ถึงเฉพาะหรือเปล่าในเมื่อแข็งเป็นที่นอนไปแล้ว เป็นหมอนไปแล้ว เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ไปแล้ว
- เพราะฉะนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า ปัญญามีขั้นฟัง ถ้าไม่มีเลยจะถึงขั้นเฉพาะไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงฟังเข้าใจแล้วถึงด้วยความเข้าใจจนถึงประจักษ์แจ้งด้วยึความเข้าใจตามที่ได้ฟังจึงมีอริยวัจจธรรม ๓ รอบ ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญญาแต่ปัญญานั้นจำเรื่องราว ถูกต้องไหม จำว่าแข็งเป็นธรรมแต่ยังไม่ถึงตรงแข็ง
- เพราะฉะนั้นปัญญาก็เกิดกับกุศลจิตได้ทุกขณะที่มีความเข้าใจตามลำดับขั้น ค่อยๆ สะสมแต่ละ ๑ ขณะบังคับบัญชาไม่ได้เย มีปัจจัยเกิดและการที่เราสนทนากันก็จะเป็นปัจจัยให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดๆ อะไรจะเกิดขึ้นขณะนั้น เมื่อได้ฟังแล้วก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้ขณะนั้นอะไรปรากฏให้รู้ให้เข้าใจได้แม้ขั้นคิด
- เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะรู้ได้เลยถ้าความเข้าใจขั้นฟังไม่พอ ก็เป็นความเข้าใจขั้นคิดที่เพิ่มความละเอียดขึ้น ถูกต้องไหม (ละเดียดขึ้นหมายถึงใคร่ครวญธรรมมากขึ้น) หมายความว่า รู้ความลึกซึ้งของธรรมแล้วก็ละความหวัง ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่ความเห็นถูกต้องเพราะยังหวังด้วยความไม่รู้ เครื่องกั้นมีมากที่จะให้เป็นไปที่จะไม่รู้ความจริงเพราะมีธรรมที่เป็นเหตุที่จะให้ไม่รู้ หนาแน่นมั่นคงมากกว่าจะฟันฝ่าไปด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย
- แต่ปัญญาก็สามารถที่จะมีกำลังได้ มิฉะนั้นอกุศลทั้งหมายไม่สามารถจะหมดไปได้ถ้าปัญญาไม่มีกำลัง แต่เพราะปัญญาประเสริฐสุดในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถที่จะละความไม่รู้และอกุศลทั้งหลายโดยไม่ใช่เรา
- (เคยได้ฟังว่า ฆนสัญญาก็เป็นเหตุที่จะไม่ให้เข้าใจ ตรงนี้ถูกหรือผิด) ต้องหมายความว่า ฆนสัญญาเป็นปกติใช่ไหม (เป็นปกติแล้วก็สามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว) เป็นปกติที่ไม่รู้เพราะไม่ได้ฟังธรรม ใช่ไหม (เป็นปกติก็เป็นฆนสัญญาไม่ใช่หรือ) ไม่ได้ตอบตรงคำถาม เพรระะนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจตรงนี้เลย
- เพราะฉะนั้นฆนสัญญามีตลอดเวลาใช่ไหม (ใช่) แต่ไม่มีความเข้าใจว่าเป็นฆนสัญญาใช่ไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นเมื่อมีควมเข้าใจขึ้น รู้จักว่า ฆนสัญญาคืออะไร ก็เริ่มที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เราแต่ถ้ายังไม่ได้ฟังธรรมเลย เพราะฆนสัญญานั่นแหละจึงทำให้เกิดความคิดว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถูกต้องไหม นี้คือเหตุที่ต่างกันถ้าไม่ได้ฟัง
- (หมายถึงเหตุอยู่ตรงไม่รู้) แน่นอน ไม่รู้ไม่สามารถจะรู้ได้เลย ต้องไม่รู้ไปเรื่อยๆ หนาแน่นขึ้น ไม่รู้มากขึ้น ดำมากขึ้น ยึดถือมากขึ้นเพราะไม่รู้ (แต่ไม่ใช่เพราะเกิดดับสลับกันเร็วมากเป็นเหตุใช่ไหม) สลับกันเร็วมากเป็นธรรมดาของธรรมแต่รู้ความจริงหรือไม่รู้ความจริง
- เพราะฉะนั้นถ้าไตร่ตรองธรรมตามที่ได้ฟังละเอียดขึ้นลึกขึ้น นั่นประโยชน์มหาศาลเพราะไม่เอาความคิดของเราเข้าไปปนเลย การที่จะไตร่ตรองสิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำลึกซึ้งขึ้น เช่น ฆนสัญญา ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังเลยก็เป็นอัตตสัญญาทำให้มั่นคงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะฆนสัญญาใช่ไหม แต่พอไดก้ฟังแล้วก้เริ่มรู้ว่า อะไรเป็นอะไรเพราะอะไร
- (ท่านอาจารย์ชี้ให้เห็นว่า อัตตสัญญา ความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเกิดบ่อยมากไม่ใช่หรือ) ตลอดเวลาที่ไม่รู้ความจริง ขณะใดที่เป็นอกุศลก็เป็นอกุศลด้วยโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ หรือความเห็นผิดแต่ละขณะต่างกัน เพราะฉะนั้นฆนสัญญามีตลอด โลภะก็เกิดมีในฆนสัญญาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว โทสะเกิดเพราะฆนสัญญาก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดวันตลอดคืน เป็นบ้าน เป็นคน เป็นรถยนต์ เป็นต้นไม้ แต่ละ ๑ ย่อยออกมาจนเหลือเพียง ๑ ก็ยังเป็นฆนสัญญาเพราะเพียง ๑ แท้ๆ รู้ไม่ได้ ที่ปรากฏแล้วนั่นเป็นฆนแล้วรวมแล้วเป็นกลุ่มแล้วแม้จะเล็กสักเพียงใด เพราฉะนั้นฆนสัญญาตั้งแต่ละเอียดจนกระทั่งถึงใหญ่ จนกระทั่งถึงหยาบ
- (เพราะฉะนั้นกุศลก็ต้องเกิดกับฆนสัญญาด้วย ไม่ได้หมายความว่า ฆนสัญยาต้องมีความเห็นผิดด้วย) เพราะฉะนั้นต้องฟังอย่างมั่นคงความจริงเปลี่ยนไม่ได้ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏๆ โดยนิมิตใช่ไหม ถ้าไม่เป็นฆนสัญญาจะมีนิมิตไหม (ตรงนี้ถ้าไม่มีนิมิตไม่มีมีฆนสัญญาแน่ แต่ถ้าถามว่าถ้าไม่มีฆนสัญญาจะมีนิมิตไหม ไม่ทราบ)
- เพียงหนึ่งผงเศษนิดเดียว เป็นผงแล้วใช่ไหมที่ลอยอยู่ (เป็นแล้ว) เพราะฉะนั้นเป็น ๑ แล้วโดยฆนสัญญาให้เห็นความละเอียดปานนั้น กว่าจะเพิ่มขึ้นๆ ใหญ่ขึ้นๆ เป็นคนโน้นคนนี้มากมาย ก็ถึงแม้ว่าแตกย่อยอย่างไรก็ปรากฏเพราะฆนสัญญาเพราะสิ่งนั้นเป็นนิมิตแล้ว เพราะฉะนั้นฟังธรรมจึงต้องละเอียดไม่ใช่คิดเอง คิดตามที่ได้ฟัง ไตร่ตรองตามที่ได้ฟังละเอียดขึ้น เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้นเปลี่ยนไม่ได่ ทุกอย่างปรากฏโดยนิมิต เพราะฉะนั้นนั่นคือ ฆนสัญญาจึงเป็นนิมิตได้ ถูกต้องไหม
- (คุณเมตตา - เราอยู่ในโลกของอัตตสัญญามายาวนาน จะเห็นถึงความยาวไกลของการอบรมเจริญปัญญาว่า กว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงแต่ละหนึ่งๆ อีกยาวไกลมากแต่ท่านอาจารย์ก็ให้หนทางที่ว่า จะต้องฟังไตร่ตรองเพื่อเข้าใจแต่ละหนึ่งๆ เห็นถึงความยาวไกลของสังสารวัฏฏ์กว่าที่จะเข้าใจประจักษ์แจ้งแต่ละ ๑ ได้แต่ก็มีหนทาง แต่ก็ไม่ลืมว่า เราอยู่ในโลกของอัตตสัญญาเหนียวแน่นมากกิเลสที่เกิดขึ้นมากมาย ก็อดทนและเพียรที่จะฟังและไตร่ตรองสะสมความเข้าใจต่อไป ค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะนี้เราอยู่ในโลกของอัตตสัญญาเพราะฆนสัญญา ฆนสัญญารวมเป็นกลุ่มก้อนกว่าที่เราจะไตร่ตรองแต่ละหนึ่งๆ เพื่อค่อยๆ ย่อยฆนออกมาแต่ละหนึ่งๆ เพื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็เห็นว่า อีกแสนไกลก็ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาไป กราบเท้าท่านอาจารย์)
- (คุณสุคิน - ที่คุณเมตตาพูดให้เราเห็นว่า เหตุที่เราสะสมความเห็นผิดมาเยอะ ความเป็นตัวตนมาเยอะจะมาตอนที่ฟังธรรมด้วย และเป็นอุปสรรคที่เราฟังเท่าไหร่ก็ฟังไม่ดีและไม่เข้าใจและคิดเอาเอง ตัวตนก็มีอยุ่ตลอดแม้ตอนฟังธรรมก็ยังมีตัวตนอยู่)
- (คุณเมตตา - แต่ว่าพวกเราก็ได้เริ่มฟังเริ่มเข้าใจ ถ้าเราฟังไม่ดีก็แน่นอนก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้าฟังด้วยดีว่า แต่ละขณะความจริงคืออะไร แต่เพราะว่าธรรมลึกซึ้ง ทันทีเลยเราอยู่ในโลกของอัตตสัญญาทันที ท่นอาจารย์ให้หนทางซึ่งไม่มีที่ไหนที่จะให้หนทางที่ลึกซึ้งอย่างนี้ มัวแต่ไปปฏิบัติแล้วรู้อะไร มัวแต่เป็นตัวตนไปปฏิบัติถ้าไม่ฟังแล้วไตร่ตรองธรรมว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้คืออะไรก็ไม่มีทางเลยที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้ เห็นถึงหนทางที่ท่านอาจารย์เกื้อกูลอันเชิญแต่ละคำของพระพุทธิงค์มาแสดงให้พวกเราเข้าใจ ให้เห็นถึงความลึกซึ้ังของธรรม สิ่งสำคัญคือศึกษาเพื่อเ็นความลึกซึ้งของธรรมว่ามันยากแค่ไหน เราอยู่ในโลกของอัตตสัญญาตลอดเวลา กว่าจะย่อย ค่อยๆ เข้าใจถึงแต่ละ ๑ ของธรรมที่มีจริงๆ จนกว่าจะถิรสัญญา สัญญาที่มั่นคงในความจริงแต่ละ ๑ ตรงนั้น ที่พูดเพื่อให้เห็นถึงคุณของท่านอาจารย์ที่ว่า ให้เข้าใจถึงว่า อดทนไหม เพียรไหมที่จะฟังเพื่อเข้าใจแต่ละขณะที่มีจริงๆ จนกว่าสัญญาที่มั่นคงว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ แสดงให้เห็นถึงความยาวไกลมาก เพราะเราสะสมคามไม่รู้มาในอดีตเท่าไหร่ ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้ง่าย ถ้าไม่อาศัยการฟังและไตร่ตรองความลึกซึ้งของธรรม ในเมื่อธรรมขณะนี้มีจริงๆ ไตร่ตรองสักวันหนึ่งในแสนโกฏกัปป์ข้างหน้า สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ถ้าขณะนี้หนทางเริ่มฟังเริ่มอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง สักวันหนึ่งก็สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้แสดงให้เห็นถึงว่า ธรรมลึกซึ้งแค่ไหน)
- ก็ยินดีในความเข้าใจทีละน้อยมากเมื่อเทียบกับความไม่รู้แต่กว่าจะค่อยๆ ขยับสิ่งที่ไม่ดีที่ติดแน่นเพื่อที่จะค่อยๆ หลุดออกไปทีละน้อยได้ต้องอาศัยบารมีทั้งหมด ก็ยินดีในกุศลที่พวกเราที่มีความเข้าใจกำลังได้ขยับไปแล้วทีละน้อย สวัสดีค่ะ
ปัญญาประเสริฐสุดในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถที่จะละความไม่รู้และอกุศลทั้งหลายโดยไม่ใช่เรา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ