Thai-Hindi 05 April 2025
Thai-Hindi 05 April 2025
- (คุณอาช่า - ขอให้อธิบายว่า รูปเกิดขณะนั้นเป็นภวังค์แล้วมีจิตเกิดดับอีก ๑๖ ขณะ อยากเข้าใจให้ถูก) เป็นสิ่งที่ประโยชน์อยู่ตรงไหน ถามเขาว่าประโยชน์อยู่ตรงไหน (คุณสุคิน - ควรจะเข้าใจเพราะมีอยู่ทุกขณะตอนนี้) เข้าใจทุกอย่างแต่ต้องให้เขาคิด เพราะว่า เขาจะไปอีกไกลมากถ้าไม่รู้ว่าประโยชน์จริงๆ นั้นคืออะไร เราตอบเขาได้แต่ว่าจะมีประโยชน์ไหม ให้เขาเพ่งเล็งถึงประโยชน์จริงๆ ก่อน
- (คุณสุคิน - พยายามถามจากหลายมุม สรุปว่า แน่นอนคือเพื่อเข้าใจ เพราะมีเห็นทั้งวัน มีการรู้รูปทั้งวัน ถ้าเข้าใจตรงนี้มากขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์) อยากรู้ว่าประโยชน์ของเขาคืออะไร อันนี้คือสำคัญที่สุดในการฟังธรรม ทุกคนลืม ถามอีกๆ ให้เขาคิดจนเขาตอบได้ (คุณอาช่า - ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา และความไม่รู้และความติดข้องก็ลดลง)
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่อยากรู้ละเอียดแต่รู้ว่า เมื่อรู้ละเอียดแล้วเห็นความลึกซึ้งจึงละความต้องการและความไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังดีๆ เพื่อที่จะได้รู้ความลึกซึ้ง ก่อนเห็น รูปอะไรเกิดบ้าง (ก่อนเห็นต้องมีรูปที่เกิดไม่อย่างนั้นเห็นก็ไม่เกิด) ถามว่า ฟังดีๆ จะได้เห็นความลึกซึ้งจะได้เข้าใจเพื่อละความติดข้อง ก่อนเห็น รูปอะไรเกิดบ้าง (สารภาพว่า ความไม่รู้อยู่ตรงนี้ รู้ว่าจิตเกิดดับตลอดเวลา แต่รูปเกิดดับตลอดเวลาหรือไม่ ตรงนี้ไม่เข้าใจ)
- ฟังอย่างนี้ คิดอย่างนี้ เท่านี้จะมีประโยชน์อะไร เห็นไหม ต้องเห็นประโยชน์แท้จริงของความลึกซึ้งแล้วฟังและตรงเพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่ต้องการคำตอบ เอาหนังสือมาตอบก็ได้ เพราะฉะนั้นฟังดีๆ คิดจนกว่าจะตอบถูก ไม่ยากเกินไปแต่เขาไม่ได้เคยคิด (มีปสาทรูปและสีที่กระทบกับปสาทรูป) เห็นไหม ถ้าคิดจะเข้าใจขึ้นว่า ต้องเป็นเหตุผล เป็นปัจจัย เป็นอะไรทุกอย่าง แต่ต้องมีความเข้าใจมั่นคงและละเอียด
- จักขุปสาทรูปมีอายุเท่าไหร่ (คุณอาช่า - เข้าใจว่า ปสาทรูปอายุยาวกว่าจิตแต่ไม่รู้ว่าแค่ไหน) รูปทุกรูปที่เป็นสภาวรูปมีอายุเท่ากันคือ ๑๗ ขณะจิต (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์เน้นให้เราฟัง เน้นให้เข้าใจมาเรื่อยๆ แต่เป็นอุปนิสัยของพวกเรา พวกที่ความรู้น้อยมาก ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้เยอะมาก ฟังไม่ค่อยดี ปัญหาอยู่ที่นั่น)
- ดิฉันทราบ เพราะฉะนั้นดิฉันรู้ว่า ความลึกซึ้งของธรรมไม่มีใครคิดถึง รู้เผินๆ จำนวนเท่านั้นเอง ไม่ใช่การศึกษาเพื่อรู้ความจริง (นั่นคือความเข้าใจน้อย ไม่รู้ว่าฟังเพื่ออะไร) ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องปลูกฝังนิสัยที่จะดำรงพระศาสนา (ไม่อย่างนั้น รู้ไปก็แค่นั้น) ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้าคิดอย่างนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย คำสอนของใครก็ได้ จดไว้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ ไร้ประโยชน์
- (คุณสุคิน - ช่วงนี้ท่านอาจารย์เน้นให้เราฟังมากเลย เป็นประโยชน์มาก) จะได้สะสมบารมี ต้องเข้าใจความลึกซึ้ง (แต่พูดถึงความเป็นประโยชน์ ในเมื่อความสะสมความไม่รู้มากขนาดนี้ ความติดข้อง ความเป็นตัวตนมากขนาดนี้ บางทีฟังไปก็ติดข้องทันทีก็ไม่รู้เพิ่มอีก ยากมาก)
- เพราะว่าใครจะเข้าใจแทนเขาไม่ได้ เขาต้องคิดเองไตร่ตรองเอง ทุกครั้งที่ฟังธรรม ต้องเห็นความลึกซึ้งและต้องรู้ว่า ต้องใส่ใจให้ดีทุกคำ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งทุกคำ เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความลึกซึ้งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมและตรัสถึงธรรมแต่ละคำต้องใส่ใจให้ดีทุกคำ ถามว่า จักขุปสาทรูปมีอายุเท่าไหร่ (เทียบกับจิต เท่ากับจิต ๑๗ ขณะ) สิ่งที่ปรากฏทางตา วัณณรูป มีอายุเท่าไหร่ (เท่ากับ ๑๗ ขณะของจิต) เวาที่จักขุปสาทรูปเกิดและวัณณรูปเกิดพร้อมกันจะดับพร้อมกันไหม (ดับพร้อมกัน)
- เพราะฉะนั้นเวลาที่จักขุปสาทรูปเกิดและวัณณรูปเกิด วัณณรูปกระทบจักขุปสาทรูป ๑ ขณะ ขณะที่มีจักขุปสาทรูปกระทบกับวัณณรูป ขณะนั้นจิตเป็นจิตอะไร (ภวังค์) เพราะฉะนั้นเราจะมีชื่อแสดงให้รู้ว่า รูปกระทบกับจักขุปสาทรูปขณะแรกเป็นอตีตภวังค์เพื่อจะแสดงว่า รูปจะดับเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “อตีตภวังค์” หมายความว่า เป็นขณะที่รูปที่เกิดกระทบกับจักขุปสาทรูป เพราะฉะนั้นเวลาที่จักขุปสาทรูปกระทบกับวัณณรูปเป็นเหตุให้ภวังค์ไหว เพราะฉะนั้นความต่างกันของอตีตภวังค์กับภวังค์ไหวคือ “ภวังคจลนะ” คืออะไร (จินตนาการว่า ภวังค์ไหว เหมือนเอานิ้วไปแตะบนน้ำแล้วน้ำไหว คิดอย่างนั้น)
- เพราะว่า ขณะนั้นต้องกระทบจิตด้วยไม่ใช่กระทบแต่เฉพาะปสาทรูป ถ้าไม่มีรูปกระทบจักขุปสาทที่จะทำให้จิตเห็นเกิด ขณะนั้นจะไม่รู้เลยว่า ก่อนจิตเห็นคืออะไร ทำหน้าที่อะไร แต่เมื่อมีสิ่งที่กระทบที่จะต้องเห็น ภวังค์ก็จะต้องหยุดทำหน้าที่ภวังค์ใช่ไหม มีปัจจัยที่จะให้จิตเห็นเกิด จิตเห็นอยู่ดีๆ จะเกิดไม่ได้ ทุกอย่างต้องอาศัยปัจจัย ถ้าไม่มีอะไรกระทบ ภวังค์ก็เป็นภวังค์ต่อไป แสดงให้เห็นว่า เป็นภวังค์ที่ ๒ ไม่ใช่ภวังค์แรกที่ถูกกระทบ เพราะฉะนั้นความต่างกันคือ ภวังค์ที่ ๑ แสดงว่า อารมณ์เริ่มกระทบเป็นอตีตภวังค์และภวังค์ยังดับไม่ได้เพราะเพิ่งเริ่มกระทบ
- เพราะฉะนั้นขณะแรกเป็นอตีตภวังค์แสดงว่า รูปเกิดพร้อมภวังค์นั้น และขณะที่ ๒ ยังทิ้งภวังค์ ยังหยุดหน้าที่ของภวังค์ทันทีไม่ได้ ต้องมีภวังคจลนะ เพราะฉะนั้นภวังค์ที่ ๓ เป็นภวังค์สุดท้ายจะทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้เพราะปัจจัยที่จะทำให้จิตเห็นเกิดต้องเกิดแล้วถึงเวลาแล้ว เพราะฉะนั้นความต่างของทางปัญจทวารคือ มีภวังค์ ๓ ขณะ อตีตภวังค์ถูกกระทบ และภวังคจลนะภวังค์ไหว และภวังค์สุดท้ายจะเป็นภวังค์ต่อไปไม่ได้ สิ้นสุดที่ภวังคุปัจเฉทะทางปัญจทวาร
- เพราะฉะนั้นภวังคุปัจเฉทะเป็นภวังค์สุดท้ายก่อนที่จะเป็นวิถีจิต วิถีจิตคืออะไร (จิตที่เกิดจากภวังค์) ไม่ใช่ วิถีจิตคืออะไร (รู้แค่นี้ วิถีจิตคือจิตที่เกิดจากทวารใดทวารหนึ่ง) ไม่ใช่เกิด วิถีจิตเป็นจิตที่รู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมเรื่องกิจของจิต จิตอะไรไม่ใช่วิถีจิต (ปฏิสนธิ ภวังค์และจุติไม่เป็นวิถีจิต) เพราะอะไร (เพราะอารมณ์ของ ๓ จิตนี้เป็นอารมณ์ของชาติก่อน) เพราะวิถีจิตเป็นจิตที่รู้อารมณ์ของโลกนี้
- เดี๋ยวนี้มีคุณอาช่า มีคุณอาคิ่ลไหม (ไม่) แล้วมีอะไร (อย่างเช่นเห็น) ถามว่า เดี๋ยวนี้มีคุณอาคิ่ล คุณอาช่าไหม (ไม่) มีจิต มีเจตสิก มีรูป ใช่ไหม (ใช่) เดี๋ยวนี้เป็นจิตเจตสิกอะไร (ตอนนี้มีเห็นและเจตสิกที่เกิดพร้อมเห็น) ถามว่า เดี๋ยวนี้มีจิตอะไรจนกว่าจะตอบถูก (วิถีจิต) เท่านั้นหรือ (มีภวังค์ด้วย) มีจิตที่เป็นวิถีกับจิตที่ไม่ใช่วิถี ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นวิถีจิตกับไม่ใช่วิถีจิตสลับกันตลอดเวลา
- มีรถยนต์ไหม (ไม่มี) มีถนนไหม (ไม่มี) มีร้านไหม (ไม่มี) แล้วมีอะไร (ความจริงมีแต่รูปจิตและเจตสิกที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย) รู้จักพระพุทธเจ้าหรือยัง (เริ่มรู้) นับถือเคารพมากไหม (นับถือที่สุดแต่น้อยตามความเข้าใจของตัวอง ยิ่งเข้าใจมากยิ่งนับถือมาก ยิ่งเห็นคุณค่าของพระพุทธองค์มาก)
- ถูกต้อง เพราะฉะนั้นชีวิตที่ยังมีเดี๋ยวนี้มีประโยชน์อะไร (ความเข้าใจ) และถ้าเข้าใจแล้วจะช่วยให้คนอื่นเข้าใจด้วย ดีไหม (ควร) แต่ต้องเข้าใจเองก่อนใช่ไหม (ตัวเองต้องเข้าใจก่อนถึงจะช่วยคนอื่นได้เพราะฉะนั้นตัวเองเข้าใจสำคัญที่สุด) ถ้าเข้าใจผิดไปสอนคนอื่นผิดเป็นโทษมากไหม (เป็นโทษมาก) เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ศึกษาด้วยความเคารพสูงสุดในความละเอียดที่ลึกซึ้ง
- คุณอาช่า คุณอาคิ่ลมีจิตเจตสิกที่ดีหรือมีจิตเจตสิกที่ไม่ดีมากกว่ากัน (เป็นจิตเจตสิกที่ไม่ดีมากกว่า) เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมแล้วก็จะค่อยๆ ลดจิตเจตสิกที่ไม่ดีใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะมีจิตเจตสิกที่ดีเพิ่มขึ้นได้ไหม (ถ้าไม่เข้าใจไม่สามารถเพิ่มความดีได้) ยินดีอย่างยิ่งในกุศลของคุณอาคิ่ลคุณอาช่าที่มีโอกาสได้เข้าใจธรรมและมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อไป
- เดี๋ยวนี้มีภวังคจิตไหม ก่อนฟังธรรมรู้ไหมว่ามีภวังคจิต ต้องฟังให้ดี ความรู้มีหลายระดับ ถ้าไม่ตรงไม่สามารถจะเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งได้ เรากำลังสนทนากันถึงคำที่ลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของเรา ถ้าไม่ฟังดีๆ ไม่ตร่ตรองละเอียดๆ จะไม่เข้าใจขึ้น
- ถามว่า รู้จักภวังคจิตไหม (ยังไม่รู้) จิตที่เป็นภวังค์ก็มีที่ไม่ใช่ภวังค์ก็มี เราพูดกันมาแล้วจะตอบว่าไม่รู้ได้หรือ ไม่รู้จักเลยหรือว่าภวังค์คืออะไร คนตรง ความตรง ต้องตอบตามความเป็นจริงตามความรู้ความเข้าใจเท่าที่มี ทุกคำถามเพื่อให้เริ่มเป็นคนตรงขึ้นๆ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นตรงต่อคำถาม ถามว่า เดี๋ยวนี้มีภวังคจิตไหม (มี) เมื่อไหร่ (ก่อนและหลังวิถีจิต) ขณะที่ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกซึ่งเป็นวิถีจิตเพราะฉะนั้นคำตอบถูกต้อง
- ถ้าไม่มีอารมณ์กระทบตาจะมีอตีตภวังค์ไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นจักขุปสาทรูปเกิดหรือเปล่า (เกิด) สิ่งที่กระทบตาเกิดหรือเปล่า (เกิด) เกิดพร้อมกันได้ไหม (ได้) เกิดไม่พร้อมกันได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมไม่ได้ (เพราะต้องเป็นอย่างนั้น) ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เมื่อรูปมีปัจจัยให้เกิด รูปต้องเกิดไม่เกี่ยวข้องกับภวังคจิต เข้าใจแล้วนะคะ เกิดพร้อมกันก็มี เกิดไม่พร้อมกันก็มี
- เพราะฉะนั้นเราจะพูดเฉพาะรูปที่เกิดพร้อมกันคือ จักขุปสาทรูปเกิดพร้อมกับรูปที่กระทบก่อน เพื่อจะให้รู้ว่า เมื่อรูปจักขุปสาทเกิดพร้อมกับวัณณรูปแล้วจิตจะเกิดขึ้นอย่างไร เพราะฉะนั้น คิดถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของชีวิตแต่ละขณะ แสดงให้เห็นว่า แม้เห็นจะเกิดขึ้นมากอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงรูปที่เกิดพร้อมกันคือ จักขุปสาทรูปกับวัณณรูปและกระทบด้วย
- อตีตภวังค์คืออะไร (คือภวังค์ที่เกิดและดับตอนที่รูปกระทบกับปสาทรูป) อตีตภวังค์คือภวังค์ที่รูปกระทบปสาทรูป จะแสดงอายุของรูป เพราะฉะนั้น เมื่ออตีตภวังคจิตดับแล้วต่อไปจิตอะไรเกิด (ภวังคจลนะ) ภวังคจลนะดับแล้วจิตอะไรเกิด (ภวังคุปัจเฉทะ) ภวังคุปัจเฉทะคืออะไร (เป็นภวังคจิตหนึ่ง) แล้วทำไมเป็นภวังคุปัจเฉทะ (เพราะเป็นภวังค์ขณะสุดท้ายก่อนที่วิถีจิตเกิด) เพราะจิตต่อไปจะทำภวังคกิจอีกไม่ได้
- จิตต่อไปไม่เป็นวิถีจิตได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น จิตขณะต่อไปเป็นจิตอะไร (เป็นอาวัชชนะจิต) หมายความว่าอะไร (เป็นจิตที่รูปว่าอารมณ์อะไรกำลังกระทบ) วิถีจิตไม่มีอตีตภวังค์ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (ถ้าไม่มีอตีตภวังค์ ภวังคจลนะและไม่มีภวังคุปัจเฉทะ ไม่มีวิถีจิต เพราะฉะนั้น ต้องมีอตีตภวังค์) กี่ทาง ต้องมีอตีตภวังค์กี่ทาง (๖ ทาง) ไม่ใช่ค่ะ ๖ ทางต่างกันอย่างไร (มีปัญจทวารและมโนทวาร ๒ อย่างนี้ต่างกัน)
- เพราะฉะนั้นถามว่า ๖ ทางมีปัญจทวาราวัชชนะทั้ง ๖ ทางหรือเปล่า มีอตีตภวังค์ทั้ง ๖ ทางหรือเปล่า (ไม่แน่ใจ) อตีตภวังค์คืออะไรต้องกลับมาอีกจนกระทั่งเขาเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่จำ ถามเขาว่าอตีตภวังค์คืออะไร (ยังตอบว่ามีอตีตภวังค์ทั้ง ๖ ทวาร)
- อตีตภวังค์คืออะไร (พยายามหาคำตอบ แต่หาไม่ได้) พูดแล้วตั้งแต่ต้นเลยว่า อตีตภวังค์คืออะไร เห็นไหมว่า การฟังธรรมเพื่อเข้าใจความลึกซึ้ง อย่างนี้จะไม่รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะฉะนั้นสำหรับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มีรูปกระทบจริงๆ และรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเพื่อแสดงให้รู้ว่า รูปเกิดเมื่อไหร่และจะดับเมื่อไหร่และจิตที่จะรู้อารมณ์นั้นสามารถจะรู้ได้กี่ขณะ
- ขณะที่เป็นมโนทวาร รูปไม่ได้กระทบมโนทวารเลย แล้วรูปเกิดดับหรือเปล่าแม้รูปไม่ได้กระทบทวาร รูปเกิดดับหรือเปล่า (ถ้ารูปไม่ได้กระทบทวารใดทวารหนึ่งก็เกิดแล้วดับ) อายุเท่าไหร่ (เท่ากับ ๑๗ ขณะจิตจะรู้หรือไม่รู้) เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เราใช้คำว่า อตีตภวังค์ เพื่อให้รู้ว่า รูปเกิดเมื่อไหร่และจะดับเมื่อไหร่และจิตสามารถจะรู้รูปที่ยังไม่ดับได้กี่ขณะ
- เพราะฉะนั้นคราวหน้ามีอะไรถามและดิฉันจะถามเขาด้วย (ยินดีที่จะให้ท่านอาจารย์ถาม) เขาเริ่มเห็นพระคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นอีกบ้างหรือยัง เพราะฉะนั้น ชีวิตที่ได้เข้าใจพระธรรมเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด (คุณอาช่า - ดีมากที่ได้ฟังวันนี้ เพราะกำลังเดินทางไปสาวัตถีไม่แน่ใจว่าจะได้ฟังไหม ดีมากที่ได้ฟังเท่าที่ได้ฟังและได้สนทนา สนทนาเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่า มีความเคารพและมีศรัทธาต่อพระพุทธองค์มากขึ้น)
- ยินดีในกุศลของเขาที่ได้ลาภที่ประเสริฐที่สุดก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นจะให้ลาภนี้มีประเสริฐขึ้นและก็ได้เจือจานให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดของชาตินี้ก่อนที่จะเป็นคนอื่นต่อไปในชาติหน้าค่ะ สวัสดีค่ะ
ชีวิตที่ได้เข้าใจพระธรรมเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ (บารมีทุกประการ) ของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ




