ปริยัติ ๓ [ปปญจสูทนี]
ปริยัติ ๓ [ปปญจสูทนี]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 305
บทว่า อลคทฺทตฺถิโก ได้แก่ ผู้ต้องการอสรพิษ.
ก็คําว่า คทฺโท เป็นชื่อของพิษ.
พิษนั้นของงูนั้น มีพอ คือบริบูรณ์ เหตุนั้น อสรพิษนั้น จึงชื่อว่าอลคัททะ มีพิษพอตัว.
บทว่า โภเค ได้แก่ ตัว.
ข้อว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กุลบุตรบางพวกในโลกนี้ เล่าเรียนธรรม ได้แก่เล่าเรียนด้วยอํานาจนิตถรณปริยัติ.
ปริยัติมี ๓ คือ อลคัททปริยัติ นิตถรณปริยัติ ภัณฑาคาริกปริยัติ.
บรรดาปริยัติทั้ง ๓ นั้น ภิกษุใดเล่าเรียนพุทธวจนะ เหตุปรารภลาภสักการะว่า เราจักได้จีวรเป็นต้น หรือคนทั้งหลายจักรู้จักเราในท่ามกลางบริษัท ๔ อย่างนี้ ปริยัตินั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่า อลคัททปริยัติ.
จริงอยู่ การไม่เล่าเรียนพุทธวจนะ แล้วนอนหลับเสีย ยังดีกว่าการเล่าเรียนอย่างนี้.
ส่วนภิกษุใด เล่าเรียนด้วยคิดว่า เล่าเรียนพุทธวจนะ บําเพ็ญศีลในฐานะที่ศีลมาถึงเข้า ให้ถือเอาห้องสมาธิในฐานะที่สมาธิมาถึงเข้า เริ่มตั้งวิปัสสนาในฐานะที่วิปัสสนามาถึงเข้า ทํามรรคให้เกิด ทําให้แจ้งผล ในฐานะที่มรรคผลมาแล้ว ปริยัตินั้นของภิกษุนั้นชื่อว่า นิตถรณปริยัติ.
ปริยัติของพระขีณาสพ ชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ.
จริงอยู่ ทุกขสัจที่ยังไม่กําหนดรู้ สมุทยสัจที่ยังละไม่ได้ มรรคสัจที่ยังไม่ได้เจริญ หรือนิโรธสัจที่ยังไม่ทําให้แจ้ง ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพนั้น ด้วยว่า พระขีณาสพนั้น กําหนดรู้ขันธ์แล้ว ละกิเลสได้แล้ว เจริญมรรคแล้ว ทําให้แจ้งผลแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเล่าเรียนพุทธวจนะ จึงเล่าเรียนเป็นผู้ทรงแบบแผน รักษาประเพณี อนุรักษ์วงศ์ ดังนั้น ปริยัตินั้นของท่านจึงชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ.
ถามว่า ก็เมื่อพวกคันถธุระ ไม่สามารถจะอยู่ในที่แห่งหนึ่งในเพราะฉาตกภัยเป็นต้น ปุถุชนใดเมื่อไม่ลําบากด้วยภิกษาจารเอง เล่าเรียนด้วยคิดว่า ขอพระพุทธวจนะที่ไพเราะยิ่งอย่าสูญเสียไป เราจักดํารงแบบแผน จักรักษาประเพณีไว้ ปริยัติของปุถุชนนั้นเป็นภัณฑาคาริกปริยัติหรือไม่เป็น.
ตอบว่า ไม่เป็น.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะความที่ตนมิได้ตั้งอยู่ในฐานเล่าเรียน จริงอยู่ ชื่อว่า ปริยัติของปุถุชน เป็นอลคัททะบ้าง เป็นนิตถรณะบ้าง.
ปริยัติของพระเสขะทั้ง ๗ เป็นนิตถรณะอย่างเดียว ปริยัติของพระขีณาสพ เป็นภัณฑาคาริกปริยัติเท่านั้น ...
มชฺฌิมนิกายฏฺกถา (ปปฺจสูทนี ๒) เล่มที่ ๘ โอปมฺมวคฺควณฺณนา หน้า ๑๘๐
อลคทฺทตฺถิโกติ อาสีวิสอตฺถิโก
(บทว่า อลคทฺทตฺถิโก ได้แก่ ผู้ต้องการอสรพิษ.)
คทฺโทติ หิ วิสสฺส นามํ
(คำว่า คทฺโท เป็นชื่อของพิษ.)
ตํ ตสฺส อลํ ปริปุณฺณํ อตฺถีติ อลคทฺโท
(พิษนั้นของงูนั้น มีพอ คือบริบูรณ์ เหตุนั้น อสรพิษนั้นจึงชื่อว่า อลคัททะ (คือ) ผู้มีพิษพอตัว.)
โภเคติ สรีเร
(บทว่า โภคะ ได้แก่ ร่างกาย.)
อิธ ปน ภิกฺขเว เอกจฺเจ กุลปุตฺตา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ
(ข้อว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กุลบุตรบางพวกในโลกนี้ เล่าเรียนธรรม.)
นิตฺถรณปริยตฺติวเสน อุคฺคณฺหนฺติ
(คือได้เรียนรู้โดยอาศัย นิตถรณปริยัติ.)
ติสฺโส หิ ปริยตฺติโย อลคทฺทปริยตฺติ นิตฺถรณปริยตฺติ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติ
(ปริยัติสามประการมีอยู่ คือ อลคัททปริยัติ นิตถรณปริยัติ และ ภัณฑาคาริกปริยัติ.)
ตตฺถ โย พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา
(ในกรณีนั้น ภิกษุใดเล่าเรียน พุทธวจนะ.)
เอวํ จีวราทีนิ วา ลภิสฺสามิ
(โดยคิดว่า ‘เราจักได้ จีวรเป็นต้น.)
จตุปริสมชฺเญ วา มํ ชานิสฺสนฺตีติ
(หรือ ‘คนทั้งหลายจักรู้จักเราในท่ามกลาง บริษัท ๔.)
ลาภสกฺการเหตุ ปริยาปุณาติ
(ด้วยเหตุแห่ง ลาภและสักการะ)
ตสฺส สา ปริยตฺติ อลคทฺทปริยตฺติ นามฯ
(ปริยัตินั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่า อลคัททปริยัติ)
เอวํ ปริยาปุณโต หิ พุทฺธวจนํ อปริยาปุณิตฺวา นิทฺโทกฺกมนํ วรตรํ
(จริงอยู่ การไม่เล่าเรียนพุทธวจนะ แล้วนอนหลับเสีย ยังดีกว่าการเล่าเรียนอย่างนี้.)
โย ปน พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา สีลสฺส อาคตฏฺฐาเน สีลํ ปูเรตฺวา
(ส่วนภิกษุใด เล่าเรียนพุทธวจนะ แล้วบำเพ็ญศีลในฐานะที่ศีลมาถึง และทำให้ศีลบริบูรณ์.)
สมาธิสฺส อาคตฏฺฐาเน สมาธิคพฺภํ คณฺหาเปตฺวา
(ให้ถือเอาห้อง (หรือครรภ์) สมาธิ ในฐานะที่สมาธิมาถึง ... หมายถึง ทำให้เกิดสมาธิอย่างเต็มที่ เมื่อสมาธิมาถึง)
วิปสฺสนาย อาคตฏฺฐาเน วิปสฺสนํ ปฏฺฐเปตฺวา
(เริ่มต้นวิปัสสนา ในฐานะที่วิปัสสนามาถึง.)
มคฺคผลานํ อาคตฏฺฐาเน มคฺคํ ภาเวสฺสามิ ผลํ สจฺฉิกริสฺสามีติ
(ทำมรรคให้เกิด ทำให้แจ้งผล ในฐานะที่มรรคผลมาถึง.)
ตสฺส สา ปริยตฺติ นิตฺถรณปริยตฺติ นาม โหติ
(ปริยัตินั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่า นิตถรณปริยัติ.)
ขีณาสวสฺส ปน ปริยตฺติ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติ นามฯ
(ปริยัติของพระขีณาสพ ชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ.)
ตสฺส หิ อปริญฺญาตํ อปฺปหีนํ อภาวิตํ อสจฺฉิกตํ วา นตฺถิ
(จริงอยู่ ทุกขสัจที่ยังไม่กำหนดรู้ สมุทยสัจที่ยังละไม่ได้ มรรคสัจที่ยังไม่ได้เจริญ หรือนิโรธสัจที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพนั้น.)
โส หิ ปริญฺญาตกฺขนฺโธ ปหีนกิเลโส ภาวิตมคฺโค สจฺฉิกตผโล
(ด้วยว่า พระขีณาสพนั้น กำหนดรู้ขันธ์แล้ว ละกิเลสได้แล้ว เจริญมรรคแล้ว ทำให้แจ้งผลแล้ว.)
ตสฺมา พุทฺธวจนํ ปริยาปุณนฺโต ตนฺติธารโก ปเวณิปาลโก วํสานุรกฺขิโตว หุตฺวา อุคฺคณฺหาติ
(เพราะฉะนั้น ท่านเล่าเรียนพุทธวจนะ จึงเล่าเรียน โดยเป็นผู้ทรงแบบแผน เป็นผู้รักษาประเพณี เป็นผู้อนุรักษ์วงศ์.)
อิติสฺส สา ปริยตฺติ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติ นามฯ
(ดังนั้น ปริยัตินั้นของท่านจึงชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ.)
โย ปน ปุถุชฺชโน ฉาตกภยาทีสุ คนฺถธุเรสุ เอกสฺมึ ฐาเน วสิตุํ อสกฺโกนฺเตสุ สยํ ภิกฺขาจาเรน อกิลมมาโน อติมธุรํ พุทฺธวจนํ มา นสฺสตุ ตนฺตึ ธาเรสฺสามิ ปเวณึ ปาเลสฺสามีติ ปริยาปุณาติ
(ถามว่า ก็เมื่อพวกคันถธุระ ไม่สามารถจะอยู่ในที่แห่งหนึ่งได้ เพราะฉาตกภัยเป็นต้น ปุถุชนใดเมื่อไม่ลำบากด้วยภิกษาจารเอง เล่าเรียนด้วยคิดว่า ขอพระพุทธวจนะที่ไพเราะยิ่งอย่าสูญเสียไป เราจักดำรงแบบแผน จักรักษาประเพณีไว้.)
ตสฺส ปริยตฺติ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติ โหติ น โหตีติ
(ปริยัติของปุถุชนนั้นเป็นภัณฑาคาริกปริยัติหรือไม่เป็น.)
น โหติ
(ตอบว่า ไม่เป็น.)
กสฺมา
(ถามว่า เพราะเหตุไร.)
น อตฺตโน ฐาเน ฐตฺวา ปริยาปุณตฺตา
(ตอบว่า เพราะความที่ตนมิได้ตั้งอยู่ในฐานะที่ควรเล่าเรียน.)
ปุถุชฺชนสฺส หิ ปริยตฺติ นาม อลคทฺทา วา โหติ นิตฺถรณา วา
(จริงอยู่ ปริยัติของปุถุชน ชื่อว่าเป็นอลคัททะบ้าง เป็นนิตถรณะบ้าง.)
สตฺตนฺนํ เสขานํ นิตฺถรณาว
(ปริยัติของพระเสขะทั้ง ๗ เป็นนิตถรณะอย่างเดียว.)
ขีณาสวสฺส ภณฺฑาคาริกปริยตฺติเยว
(ปริยัติของพระขีณาสพ เป็นภัณฑาคาริกปริยัติเท่านั้น.)
อิมสฺมึ ปน ฐาเน นิตฺถรณปริยตฺติ อธิปฺเปตา
(แต่ในที่นี้หมายถึงนิตถรณปริยัติ.)
[สรุป]
ข้อความในคัมภีร์อรรถกถาแสดงว่า ปริยัติมี 3 ประเภท ได้แก่
- อลคัททปริยัติ [อลคัทท "งู" + ปริยัติ "การเล่าเรียน,การศึกษา"] หมายถึง การศึกษาธรรมดุจดั่งงู เป็นการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อลาภ สักการะ ความเป็นที่รู้จัก เป็นต้น ท่านแสดงว่า ไม่เรียนคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วนอนหลับเสีย ยังดีกว่าการศึกษาประเภทนี้
- นิตถรณปริยัติ [นิตถรณะ "การข้ามพ้น,การหลุดพ้น"] หมายถึง การศึกษาธรรมเพื่อการข้ามพ้นจากกิเลส เพื่อการเจริญขึ้นของกุศลธรรม เมื่อกุศลประเภทนั้นเกิดขึ้น จนกระทั่งกุศลธรรมนั้นบริบูรณ์ มีกุศลประเภทต่างๆ ได้แก่ ศีล สมาธิ วิปัสสนา มรรค ผล เป็นต้น
- ภัณฑาคาริกปริยัติ [ภัณฑาคาริก "ผู้ดูแลคลัง"] หมายถึง การศึกษาธรรมอย่างผู้ดูแลคลัง เล่าเรียนคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยความเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งแบบแผนหรือผู้สืบทอดเชื้อสาย (ตนฺติธารโก) เป็นผู้รักษาประเพณีไว้ (ปเวณิปาลโก) เป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูลไว้ (วฺสานุรกฺขิโต) ซึ่งเป็นการศึกษาธรรมของพระอรหันต์ ผู้ที่กิเลสดับหมดสิ้นแล้วเท่านั้น โดยที่ปุถุชนไม่สามารถศึกษาธรรมดุจดั่งผู้ดูแลคลังได้เลย เพราะไม่ใช่ฐานะ เพราะเป็นผู้ยังมีกิเลสอยู่
- ปริยัติหรือการศึกษาเล่าเรียนธรรมของปุถุชน สามารถที่จะเป็นได้ ๒ ประเภท เท่านั้น ประเภทแรกคือการศึกษาดุจดั่งอสรพิษ คือ เพื่อผลประโยชน์ มีจีวร ชื่อเสียง ลาภ สักการะ เป็นต้น และอีกประเภทหนึ่งคือ การศึกษาเพื่อการข้ามพ้นจากกิเลส เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของกุศลธรรม
- พระอริยบุคคล ๗ จำพวก ผู้ได้มรรค ๔ ผล ๓ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคมิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหันตมรรค ท่านแสดงว่า การศึกษาธรรมของพระเสขะ ๗ พวกนั้น ว่าเป็นการศึกษาเพื่อการข้ามพ้นจากกิเลสเท่านั้น (พระเสขะ ๗ จำพวก พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 216)
กราบอนุโมทนา
