ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 8 [สัทธัมมปัชโชติกา]

 
wittawat
วันที่  2 เม.ย. 2568
หมายเลข  49669
อ่าน  223

ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 8 [สัทธัมมปัชโชติกา]

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกราบระลึกถึงคุณท่านพระอัครสาวกธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 100

ชื่อว่า อาวรณะ เพราะอรรถว่า กั้นกุศลธรรมทั้งหลาย.

ชื่อว่า ฉทนะ ด้วยสามารถเป็นเครื่องปิด.

ชื่อว่า พันธนะ เพราะอรรถว่า ผูกสัตว์ทั้งหลายไว้ในวัฏฏะ.

ชื่อว่า อุปกิเลส เพราะอรรถว่า เบียดเบียนจิต เศร้าหมอง คือ ทำให้เศร้าหมอง.

ชื่อว่า อนุสยะ เพราะอรรถว่า นอนเนื่อง ด้วยอรรถว่ามีกำลัง.

ชื่อว่า ปริยุฏฐานะ เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นครอบงำจิต.

ความว่า ยึดอาจาระที่เป็นกุศลไม่ให้เกิดขึ้น

อธิบายว่า ยึดมรรคา ในข้อความเป็นต้นว่า พวกโจรครอบงำในบรรดา พวกนักเลงครอบงำในมรรคา.

แม้ในที่นี้ก็พึงทราบการครอบงำ ด้วยอรรถว่า ยึดด้วยอาการอย่างนี้.

ชื่อว่า ลตา เพราะอรรถว่า เป็นดังเถาวัลย์ ด้วยอรรถว่า พัวพัน แม้ในอาคตสถานว่า ตัณหาก่อความยุ่งยากตั้งอยู่ดังนี้ ตัณหานี้ท่านก็ กล่าวว่า ลตา เหมือนกัน.

ชื่อว่า เววิจฉะ เพราะอรรถว่า ปรารถนาวัตถุต่างๆ .

ชื่อว่า ทุกขมูล เพราะอรรถว่า เป็นมูลแห่งทุกข์ในวัฏฏะ.

ชื่อว่า ทุกขนิทานเพราะอรรถว่า เป็นเหตุแห่งทุกข์นั้นแล.

ชื่อว่า ทุกขปภวะ แดนเกิดแห่งทุกข์ เพราะอรรถว่า ทุกข์นั้นเกิด แต่ตัณหานี้.


ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา มหานิทฺเทสวณฺณนา (สทฺธมฺมปชฺโชติกา) - หน้าที่ 57

กุสลธมฺเม อาวรตีติ อาวรณํ ฯ

ฉาทนวเสน ฉทนํ ฯ

สตฺเต วฏฺฏสฺมึ ผนฺธตีติ ผนฺธนํ (๓) ฯ

จิตฺตํ อุปหนฺตฺวา (๔) กิลิสฺสติ กิลิฏฺฐํ (๕) กโรตีติ อุปกฺกิเลโส ฯ

ถามคตฏฺเฐน อนุอนุเสตีติ อนุสโย ฯ

อุปฺปชฺชมานํ จิตฺตํ ปริยุฏฺฐาตีติ ปริยุฏฺฐานํ ฯ

อุปฺปชฺชิตุํ อปทาเนน กุสลาจารํ (๖) คณฺหาตีติ อตฺโถ ฯ

โจรา มคฺเค ปริยุฏฺฐึสุ ธุตฺตา มคฺเค ปริยุฏฺฐึสูติอาทีสุ หิ มคฺคํ คณฺหึสูติ อตฺโถ ฯ

เอวมิธาปิ คหณฏฺเฐน ปริยุฏฺฐาน เวทิตพฺพํ ฯ

ปลิเวฐนฏฺเฐน ลตา วิยาติ ลตา ฯ

ลตา อุพฺภิชฺช (๗) ติฏฺฐตีติ อาคตฏฺฐาเนปิ อยํ ตณฺหา ลตาว วุตฺตา ฯ

วิวิธานิ วตฺถูนิ อิจฺฉตีติ เววิจฺฉํ ฯ

วฏฺฏทุกฺขสฺส มูลนฺติ ทุกฺขมูลํ ฯ

ตสฺเสว ทุกฺขสฺส นิทานนฺติ ทุกฺขนิทานํ ฯ

ตํ ทุกฺขํ อิโต ปภวตีติ ทุกฺขปฺปภโว ฯ


# ๑. ม. วตฺถุสฺสาติ นตฺถิ ฯ ๒. ม. เอตฺถนฺตเร รูเป ตณฺหา

รูปตณฺหาติ ทิสฺสติ ฯ ๓. สี. ม. พนฺธตีติ พนฺธนํ ฯ ๔. สี. น. อุปคนฺตฺวา ฯ

# ๕. ม. สงฺกิลิฏฺฐํ ฯ ๖. ม. กุสลวารํ ฯ ๗. ม. อุปฺปชฺช ฯ


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 11

[๑๔] คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่า วิสัตติกานี้ ในโลกเสียได้ มีความว่า คำว่า ผู้นั้น คือผู้เว้นขาดกามทั้งหลาย.

ตัณหา เรียกว่า วิสัตติกา ได้แก่ ความกำหนัด, ... , ความกั้น, ความปิด, ความบัง, ความผูก, ความเข้าไปเศร้าหมอง, ความนอนเนื่อง, ความกลุ้มรุมจิต, ความเป็นดังว่าเถาวัลย์, ความปรารถนาวัตถุต่างๆ , รากเง่าแห่งทุกข์, เหตุแห่งทุกข์, แดนเกิดแห่งทุกข์, ...


สุตฺต ขุ. มหานิทฺเทโส - หน้าที่ 9

[๑๔] โสมํ วิสตฺติกํ โลเก สโต สมติวตฺตตีติ โสติ โย

กาเม ปริวชฺเชติ ฯ วิสตฺติกา วุจฺจติ ตณฺหา โย ราโค ...

อาวรณํ นีวรณํ ฉทนํ

พนฺธนํ อุปกฺกิเลโส อนุสโย ปริยุฏฺฐานํ ลตา เววิจฺฉํ ทุกฺขมูลํ

ทุกฺขนิทานํ ๑ ทุกฺขปฺปภโว


๑ ทุกฺขนิธานนฺติปิ ปาโฐ ฯ


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 442

สองบทว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ความว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว.

ถ้าหากมีคําถามสอดเข้ามาว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงกระทําคําอุปมาไว้ด้วยผ้าอันเศร้าหมองแล้ว.

ตอบว่า เพื่อทรงแสดงว่าความพยายามมีผลมาก. เปรียบเหมือนผ้าที่เศร้าหมอง เพราะมลทินที่ปลิวมาเกาะ. เมื่อซักอีกครั้งย่อมขาวสะอาดเพราะตามปกติเป็นของขาวสะอาดอยู่แล้ว ความพยายามใน (การซัก) ผ้านั้น จะไร้ผล ดุจความพยายามใน (การฟอก) ขนแกะที่ดําธรรมชาติ (ให้ขาวสะอาด) หามิได้ฉันใด. แม้จิตที่เศร้าหมองเพราะกิเลสทั้งหลายที่จรมาก็ฉันนั้น (คือ) ก็ตามปกติ จิตนั้นย่อมเป็นธรรมชาติที่สะอาดทีเดียวในวาระปฏิสนธิจิตและภวังคจิต. สมดังพระดํารัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนั้นเป็นธรรมชาติประภัสสร ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลสที่จรมา จิตนั้นเมื่อได้รับการชําระให้บริสุทธิ์ บุคคลก็สามารถทําให้ประภัสสรยิ่งขึ้นอีกได้ ความพยายามในการชําระจิตนั้นย่อมไม่ไร้ผลแล. พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตพึงทราบว่า ทรงกระทําคําอุปมาด้วยผ้าที่เศร้าหมอง เพื่อจะทรงแสดงว่าความพยายามมีผลมากด้วยประการฉะนี้.


[สรุป]

>> ชื่อว่า อาวรณะ หมายถึง ความกั้น (อาวรณํ หมายถึง อาวารณะ เป็นประธานประโยค) เพราะอรรถว่ากั้น (อาวรติ = อา”ทั่วถึง,อย่างแรง” + วรฺ “ปิดกั้น,ขัดขวาง” + ติ ไวยากรณ์แสดงความเป็นเอกพจน์) กุศลธรรมทั้งหลาย (กุสลธมฺเม “กุศลธรรมทั้งหลาย”) .

>> ชื่อว่า ฉทนะ หมายถึง ความปิด ด้วยความหมายว่า เป็นเครื่องปิด (ฉทฺ (ธาตุ) “ปิด, คลุม” + น ปัจจัยทำให้เป็นคำนาม รวมเป็น ฉทนํ แปลว่า “เครื่องปิด, สิ่งที่ใช้ปิดบัง”) .

>> ชื่อว่า พันธนะ หมายถึง ความผูก เพราะอรรถว่า ผูก (ผนฺธติ “ผูก, มัด“) สัตว์ทั้งหลาย (สตฺเต “สัตว์ทั้งหลาย”) ไว้ในวัฏฏะ (วฏฺฏสฺมึ “ในวัฏฏะ”)

>> ชื่อว่า อุปกิเลส หมายถึง ความเข้าไปเศร้าหมอง? เพราะอรรถว่า เบียดเบียน (อุปหนฺตฺวา“เบียดเบียน, กดขี่, ทำร้าย”) จิต (จิตฺตํ “จิต”) เศร้าหมอง (กิลิสฺสติ “เศร้าหมอง”) คือ ทำให้เศร้าหมอง (กิลิฏฺฐํ กโรติ “ทำให้เศร้าหมอง”) .

>> ชื่อว่า อนุสยะ เพราะอรรถว่า นอนเนื่องไปตาม?.

>> ชื่อว่า ปริยุฏฐานะ หมายถึง ความกลุ้มรุมจิต (ปริ "โดยรอบ, ทั่วไป, ครอบคลุม" + อุฏฺฐา "ลุกขึ้น, เกิดขึ้น, ปรากฏขึ้น" รวมเป็น ปริยุฏฐานะ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วครอบงำ) เพราะอรรถว่า เป็นสภาพที่ครอบงำ (ปริยุฏฺฐาตี หมายถึง สภาพที่"ครอบงำ, ครอบคลุม, เข้าครอบ") จิต (จิตฺตํ ”จิต” เป็นกรรมของประโยค) ที่กำลังเกิดขึ้น (อุปฺปชฺชมานํ “ที่กำลังเกิดขึ้น", "ที่เกิดขึ้นในขณะนี้") .

>> ความว่า ถือเอา (คห ธาตุ “ยึด,ถือเอา”) อาจาระที่เป็นกุศล (กุสลาจารํ = กุสล”ความดี” + อาจาร “ความประพฤติ”) โดยการไม่ให้ (อปทาเนน “โดยการไม่ให้”) เกิดขึ้น (อุปฺปชฺชิตุํ “เพื่อความเกิดขึ้น”) .

>> อธิบายว่า ได้ยึดมรรคา หรือยึดหนทาง (คณฺหึสุ มาจาก คหฺณา”ยึด,จับ,ถือเอา”) ในข้อความเป็นต้นว่า พวกโจรได้ครอบงำมรรคา (โจรา มคฺเค ปริยุฏฺฐึสุ), พวกนักเลงได้ครอบงำมรรคา (ธุตฺตา มคฺเค ปริยุฏฺฐึสุ) .

>> แม้ในที่นี้ (เอวมิธาปิ เอวํ"อย่างนี้, เช่นนี้"+ อิธ "ในที่นี้" + อปิ "แม้") ก็พึงทราบว่า (เวทิตพฺพํ) ‘ปริยุฏฺฐาน’ หมายถึงการครอบงำ ด้วยอรรถว่า การยึด (คหณฏฺเฐน) .

>> ชื่อว่า ลตา หมายถึง ความเป็นดั่งเถาวัลย์ เพราะอรรถว่า งอกขึ้นและตั้งอยู่ (อุพฺภิชฺช ติฏฺฐติ) . แม้ในอาคตสถาน (อาคตฏฺฐาเนปิ มาจาก อาคต”ที่มาถึง” + ฐาน”สถานที่, ฐาน”) นี้ ตัณหานี้ (อยํ ตณฺหา) ก็ถูกกล่าวว่าเป็น ‘ลตา’ (ลตาว วุตฺตา) เหมือนกัน.

>> ชื่อว่า เววิจฉะ เพราะอรรถว่า ปรารถนา (อิจฺฉตีติ) วัตถุต่างๆ (วิวิธานิ วตฺถูนิ)

>> ชื่อว่า ทุกขมูล เพราะเป็นรากเหง้าของทุกข์ในวัฏฏะ (วฏฺฏทุกฺขสฺส “ของทุกข์ในวัฏฏะ”+ มูลํ “รากเหง้า, ต้นเหตุ”)

>> ชื่อว่า ทุกขนิทาน เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ (นิทานํ “เหตุ, ปัจจัย, ต้นตอ”) แห่งทุกข์นั้นแล.

>> ชื่อว่า ทุกขปภวะ หมายถึง แดนเกิดแห่งทุกข์ เพราะอรรถว่า ทุกข์นั้น (ตํ ทุกฺขํ ”ทุกข์นั้น”) เกิด จากสิ่งนี้ (อิโต ปภวติ “เกิดจากสิ่งนี้” ซึ่งบริบทนี้ สิ่งนี้ ก็คือ ตัณหานั่นเอง)


เรียนอาจารย์คำปั่น

1. คำว่า "อุปกิเลส" ในขุททกนิกาย มหานิเทส หน้า 11 ท่านแปลว่า “ความเข้าไปเศร้าหมอง” ซึ่งเข้าใจว่ามาจากคำว่า อุป ที่แปลว่า “ใกล้, เข้าไป” และกิเลส “เศร้าหมอง” อันนี้ความหมายค่อนข้างเข้าใจยากครับ เข้าใจว่าเมื่อตัณหาเกิดขึ้นกับจิตทำให้จิตนั้นเศร้าหมอง ซึ่งในอรรถกถาวัตถูปมสูตร แสดงว่า จิตเดิมทีเป็นสภาพที่ประภัสสร แต่ อุปกิเลส มีอภิชฌาวิสมโลภะ เป็นต้น เป็น “สิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง” ดุจดังผ้าขาวที่ถูกมลทิน (เข้าใจว่าฝุ่น) ปลิวมาเกาะครับ

2. “ถามคตฏฺเฐน อนุอนุเสตีติ อนุสโย ฯ” ฉบับแปลท่านแปลว่า “ชื่อว่า อนุสยะ เพราะอรรถว่า นอนเนื่องไปตาม ด้วยอรรถว่ามีกำลัง.” เข้าใจว่า อนุอนุเสติ ท่านแปลว่า “นอนเนื่อง” แต่ว่า ถามคต แปลว่า “มีกำลัง” หรือแปลว่า “ไปตาม” ครับ

3. คำว่า "อนุสัย" ที่ถูกแปลว่า “นอนเนื่อง” ที่เป็นภาษาไทย เป็นคำที่ค่อนข้างเข้าใจความหมายยากมากทีเดียวครับ อนุ “ตาม, เนื่องไป, ติดตามไป” สัย “นอน, แฝงอยู่, ซ่อนอยู่” อนุสัย หมายถึง กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต แปลว่า "สิ่งที่ติดตามไป" หรือ "สิ่งที่แฝงอยู่" กระผมเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่แฝงตัวซ่อนเร้นอยู่ในจิต ขอให้อาจารย์เพิ่มเติมความเข้าใจด้วยครับ

4. คำว่า "อุพฺภิชฺช ติฏฺฐตีติ" แปลว่า "งอกขึ้นและตั้งอยู่" หรือ แปลว่า "พัวพัน" ครับ จากข้อความว่า “ลตา อุพฺภิชฺช ติฏฺฐตีติ อาคตฏฺฐาเนปิ อยํ ตณฺหา ลตาว วุตฺตา ฯ” กระผมเข้าใจความโดยรวมว่า ตัณหา ท่านเปรียบดุจดั่งเถาวัลย์ เพราะเถาวัลย์สามารถที่จะงอกขึ้นและตั้งอยู่กับสถานที่ที่มาถึง (เช่น ต้นไม้ เป็นต้น) ซึ่งแม้ตัณหาก็สามารถเกิดขึ้นและติดข้องในอารมณ์ที่มาถึงเช่นกัน เข้าใจถูกผิดอย่างไร ขออาจารย์เพิ่มเติมด้วยครับ

5. คำว่า "เววิจฉะ" ที่ท่านแปลว่าความปรารถนาวัตถุต่างๆ คำว่า “วิวิธานิ วตฺถูนิ” หมายถึง วัตถุมากกว่าหนึ่ง และแต่ละหนึ่งก็มีความหลากหลายด้วย เช่น อยากได้อาหารประเภทนี้ เตียงประเภทนี้ เป็นต้น ใช่ไหมครับ

กราบอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 3 เม.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. คำว่า "อุปกิเลส" ในขุททกนิกาย มหานิเทส หน้า 11 ท่านแปลว่า “ความเข้าไปเศร้าหมอง” ซึ่งเข้าใจว่ามาจากคำว่า อุป ที่แปลว่า “ใกล้, เข้าไป” และกิเลส “เศร้าหมอง” อันนี้ความหมายค่อนข้างเข้าใจยากครับ เข้าใจว่าเมื่อตัณหาเกิดขึ้นกับจิตทำให้จิตนั้นเศร้าหมอง ซึ่งในอรรถกถาวัตถูปมสูตร แสดงว่า จิตเดิมทีเป็นสภาพที่ประภัสสร แต่ อุปกิเลส มีอภิชฌาวิสมโลภะ เป็นต้น เป็น “สิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง” ดุจดังผ้าขาวที่ถูกมลทิน (เข้าใจว่าฝุ่น) ปลิวมาเกาะครับ

อุปกิเลส โดยทั่วไป ก็จะมุ่งหมายถึง เครื่องเศร้าหมองของจิต ครอบคลุมกิเลสทุกชนิด รวมถึง ตัณหาหรือโลภะ ด้วย แต่บางนัย จะมุ่งหมายถึงเฉพาะ กิเลสร้าย มีกำลัง ซึ่งก็ต้องดูในแต่ละที่แต่ละแห่งว่าจะมุ่งหมายถึงกิเลสในระดับใดครับ


2. “ถามคตฏฺเฐน อนุอนุเสตีติ อนุสโย ฯ” ฉบับแปลท่านแปลว่า “ชื่อว่า อนุสยะ เพราะอรรถว่า นอนเนื่องไปตาม ด้วยอรรถว่ามีกำลัง.” เข้าใจว่า อนุอนุเสติ ท่านแปลว่า “นอนเนื่อง” แต่ว่า ถามคต แปลว่า “มีกำลัง” หรือแปลว่า “ไปตาม” ครับ

ถามคต แปลว่า มีกำลัง, ถึงแล้วซึ่งความมีกำลัง แสดงให้เห็นว่าเป็นกิเลสที่ยังดับไม่ได้ ครับ


3. คำว่า "อนุสัย" ที่ถูกแปลว่า “นอนเนื่อง” ที่เป็นภาษาไทย เป็นคำที่ค่อนข้างเข้าใจความหมายยากมากทีเดียวครับ อนุ “ตาม, เนื่องไป, ติดตามไป” สัย “นอน, แฝงอยู่, ซ่อนอยู่” อนุสัย หมายถึง กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต แปลว่า "สิ่งที่ติดตามไป" หรือ "สิ่งที่แฝงอยู่" กระผมเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่แฝงตัวซ่อนเร้นอยู่ในจิต ขอให้อาจารย์เพิ่มเติมความเข้าใจด้วยครับ

ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเป็นหลัก นอนเนื่องอยู่ในจิต ไปตามจิต แฝงอยู่ในจิต ก็ได้ทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่า ยังมีอยู่ ยังไม่ได้ถูกดับแต่อย่างใด ครับ


4. คำว่า "อุพฺภิชฺช ติฏฺฐตีติ" แปลว่า "งอกขึ้นและตั้งอยู่" หรือ แปลว่า "พัวพัน" ครับ จากข้อความว่า “ลตา อุพฺภิชฺช ติฏฺฐตีติ อาคตฏฺฐาเนปิ อยํ ตณฺหา ลตาว วุตฺตา ฯ” กระผมเข้าใจความโดยรวมว่า ตัณหา ท่านเปรียบดุจดั่งเถาวัลย์ เพราะเถาวัลย์สามารถที่จะงอกขึ้นและตั้งอยู่กับสถานที่ที่มาถึง (เช่น ต้นไม้ เป็นต้น) ซึ่งแม้ตัณหาก็สามารถเกิดขึ้นและติดข้องในอารมณ์ที่มาถึงเช่นกัน เข้าใจถูกผิดอย่างไร ขออาจารย์เพิ่มเติมด้วยครับ

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ครับ ตัณหา ก็เลื้อยไปได้โดยตลอดเช่นเดียวกับเถาวัลย์ ครับ


5. คำว่า "เววิจฉะ" ที่ท่านแปลว่าความปรารถนาวัตถุต่างๆ คำว่า “วิวิธานิ วตฺถูนิ” หมายถึง วัตถุมากกว่าหนึ่ง และแต่ละหนึ่งก็มีความหลากหลายด้วย เช่น อยากได้อาหารประเภทนี้ เตียงประเภทนี้ เป็นต้น ใช่ไหมครับ

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ครับ ตัณหา อยากไม่มีที่สิ้นสุด ครับ


... ยินดีในกุศลวิริยะของคุณวิทวัตและทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 3 เม.ย. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wittawat
วันที่ 4 เม.ย. 2568

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ