ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 7 [สัทธัมมปัชโชติกา]

 
wittawat
วันที่  8 ก.พ. 2568
หมายเลข  49464
อ่าน  221

ไวพจน์ของตัณหา ตอนที่ 7 [สัทธัมมปัชโชติกา]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอกราบระลึกถึงคุณท่านพระอัครสาวกธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 99

ชื่อว่า โลลุปปะ เพราะอรรถว่า หวั่นไหว คือฉุดคร่าไว้ในอารมณ์ บ่อยๆ .

ความเป็นแห่งความหวั่นไหว ชื่อว่า โลลุปปิตัตตะ .

อาการที่หวั่นไหว ความเป็นไปแห่งความหวั่นไหว

ความเป็นแห่ง ผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยความหวั่นไหวชื่อว่า โลลุปปายิตัตตะ .

บทว่า ปุจฺฉญฺจิกตา ได้แก่ ตัณหา ที่เป็นเครื่องให้สัตว์ทั้งหลาย หวั่นไหว คือหวั่นไหวเที่ยวไปในที่มีลาภ ดุจสุนัข.

บทนี้เป็นชื่อแห่งตัณหา เครื่องหวั่นไหวนั้น.

บทว่า สาธุกมฺยตา ได้แก่ ความใคร่ดี เพราะอรรถว่า ยัง เหล่าสัตว์ให้ใคร่ในอารมณ์ที่น่าชอบใจๆ ดี.

ควรเป็นแห่งความใคร่ ดีนั้น ชื่อว่า สาธุกัมยตา.

ชื่อว่า อธรรมราคะ เพราะอรรถว่า ความกำหนัดในฐานะไม่ สมควร มีมารดาและป้าน้าเป็นต้น.

ความโลภที่เกิดขึ้นมีกำลังแม้ในฐานะ ที่สมควร ชื่อว่า วิสมโลภ .

ฉันทราคะที่เกิดขึ้นในฐานะที่สมควรก็ตามในฐานะที่ไม่สมควรก็ตาม พึงทราบว่า อธรรมราคะ เพราะอรรถว่า ผิดธรรม

และว่า วิสมโลภะ เพราะอรรถว่า ไม่สม่ำเสมอ.


ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา มหานิทฺเทสวณฺณนา (สทฺธมฺมปชฺโชติกา) - หน้าที่ 56

ปุนปฺปุนํ วิสเย ลุมฺปติ (๑) อากฑฺฒตีติ โลลุปฺโป ฯ

โลลุปฺปสฺส ภาโว โลลุปฺปิตตฺตํ (๒) ฯ

โลลุปฺปนากาโร (๓) โลลุปฺปายนา ฯ

โลลุปฺปสมงฺคิโน ภาโว โลลุปฺปายิตตฺตํฯ

ปุจฺฉญฺชิกตาติ (๔) ยาย ตณฺหาย ลาภฏฺฐาเนสุ ปุจฺฉญฺจาลยมานา สุนขา วิย กมฺปมานา วิจรนฺติ ฯ

(๕) ตสฺสา กมฺปนตณฺหาย นามํฯ

สาธุกยมฺยตาติ (๖) สาธุ มนาปมนาเป วิสเย กาเมตีติ สาธุกาโมฺย (๗) ฯ

ตสฺส ภาโว สาธุกมฺยตา ฯ

มาตามาตุจฺฉาติอาทิเก อยุตฺตฏฺฐาเน ราโคติ อธมฺมราโค ฯ

ยุตฺตฏฐาเนปิ พลวา หุตฺวาอุปฺปนฺนโลโภ วิสมโลโภ ฯ

ราโค วิสมนฺติอาทิวจนโต ยุตฺตฏฺฐาเน วา อยุตฺตฏฺฐาเน วา อุปฺปนฺโน ฉนฺทราโค อธมฺมฏฺเฐน อธมฺมราโค ฯ

วิสมฏฺเฐน วิสมโลโภติ จ (๘) เวทิตพฺโพ ฯ


<# ๑. ม. ลุมฺปติฯ ๒. ม. โลลุปฺปํฯ ๓. ม.โลลุปฺปนากาโร โลลุปฺปายนา ฯ

# ๔. ส. มุจฺฉญฺจิกตา ฯ ๕. ม. เอตฺถนฺตเร ตนฺติ ทิสฺสติฯ

# ๖. ม. อยํ ปาโฐ นตฺถิฯ ๗. ม. สาธุกาโม ฯ ๘. ม. จสทฺโท นตฺถิฯ >


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 11

[๑๔] คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่า วิสัตติกานี้ ในโลกเสียได้ มีความว่า คำว่า ผู้นั้น คือผู้เว้นขาดกามทั้งหลาย.

ตัณหา เรียกว่า วิสัตติกา ได้แก่ ความกำหนัด, ... ,ความหวั่นไหว, อาการแห่งความหวั่นไหว, ความพรั่งพร้อมด้วยความหวั่นไหว, ความกำเริบ, ความใคร่ดี, ความกำหนัดในที่ผิดธรรม, ความโลภไม่เสมอ, ...


สุตฺต ขุ. มหานิทฺเทโส - หน้าที่ 9

[๑๔] โสมํ วิสตฺติกํ โลเก สโต สมติวตฺตตีติ โสติ โย

กาเม ปริวชฺเชติ ฯ วิสตฺติกา วุจฺจติ ตณฺหา โย ราโค ... โลลุปฺปา โลลุปฺปายนา โลลุปฺปายิตตฺตํ ปุจฺฉญฺจิกตา ๕ สาธุกมฺยตา อธมฺมราโค วิสมโลโภ

<๕ ม. ยุ. มุจฺฉญฺจิกตา ฯ>


[สรุป]

>> ชื่อว่า โลลุปปะ หมายถึง ความหวั่นไหว (โลล (หวั่นไหว, ไม่มั่นคง) + อุปฺป (การเกิดขึ้น, การปรากฏ, การตั้งมั่นใน) = โลลุปฺโป "การเกิดขึ้นของความหวั่นไหว") เพราะมีอรรถะว่า ยึดถือ (ลุมฺปติ = ยึดมั่น, ฉุดคร่า, ขวนขวาย, ยึดถือ) ฉุดคร่า (อากฑฺฒติ = ฉุดคร่า, ดึงไว้, ลากไป) อารมณ์ทั้งหลาย (วิสเย) บ่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

>> ภาวะของผู้ที่หวั่นไหว เรียกว่า โลลุปปิตัตตะ (โลลุปฺป "ผู้ที่หวั่นไหว" + ตฺตํ "ปัจจัยบอกสภาพหรือความเป็น" = สภาพความหวั่นไหว)

>> ลักษณะของผู้ที่หวั่นไหว คือ โลลุปฺปายนา หมายถึง อาการแห่งความหวั่นไหว

>> ภาวะของผู้ที่ประกอบพร้อมด้วยความหวั่นไหว ชื่อว่า โลลุปปายิตัตตะ หมายถึง ความพรั่งพร้อมด้วยความหวั่นไหว (โลลุปฺโป (หวั่นไหว) + อายิต (การกระทำหรือสภาพที่ต่อเนื่อง) + ตฺตํ (ปัจจัยแสดงความเป็นนามธรรม))

>> บทว่า ปุจฺฉญฺจิกตา หมายถึง ความกำเริบ (ปุจฺฉ”หาง” + อญฺจิกตา”สภาพของการแกว่งไปมา, ความหวั่นไหว” ซึ่งหมายถึง การที่จิตกระเพื่อมไหวดุจหาง) ได้แก่ ตัณหา ซึ่งทำให้สัตว์ทั้งหลายหวั่นไหว (ปุจฺฉญฺจาลยมานา = “หวั่นไหว หรือ ส่ายไปมาเหมือนหาง” มาจาก ปุจฺฉ = “หาง”+อญฺจาลยมานา= “แกว่งไปมา, สั่นไหว”) และเที่ยวไปในที่ๆ มีลาภ (ลาภฏฺฐาเนสุ) เที่ยวไป (วิจรนฺติ = “เที่ยวไป”) ด้วยความหวั่นไหว (กมฺปมานา = “ผู้ที่หวั่นไหว”) ดุจสุนัข (สุนขา วิย)

>> ชื่อของตัณหานั้น คือ เครื่องแห่งความหวั่นไหว (กมฺปน = “การหวั่นไหว” + ลง ตณฺหาย เป็นกรณีวิภัตติ ตติยาวิภัตติ (เครื่องมือ/ด้วยสิ่งนี้) หมายถึงลักษณะแห่งความหวั่นไหว)

>> บทว่า สาธุกัมยตา หมายถึง ความใคร่ดี (สาธุ = ดี, งาม + กัมยะ = ความใคร่, ความปรารถนา + ตา= ปัจจัยแสดงภาวะ + ติ เป็นคำอนุปุบพ์ที่ = บทว่า) เพราะหมายความว่า ทำให้เหล่าสัตว์ปรารถนาในอารมณ์ที่น่าชอบใจๆ ที่ดี (สาธุ = ดี, มนาปมนาเป = ที่น่าชอบใจๆ บางบริบทอาจหมายถึง น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ + วิสเย = ในอารมณ์ + กาเมตีติ = ปรารถนา, ใคร่ + สาธุกาโม = ผู้ใคร่ในสิ่งที่ดี.) .

>> ภาวะ (ความเป็นไป) ของสิ่งนั้น ชื่อว่า สาธุกัมยตา.

>> ความกำหนัด (ราโค=”ความกำหนัด,ความปรารถนาแรงกล้า”) ในฐานะที่ไม่สมควร (อยุตฺต=”ไม่สมควร” + ฏฺฐาเน = ”ในฐานะ”) เช่น มารดา ป้า น้า เป็นต้น (มาตา = ”แม่”, มาตุจฺฉา = ”พี่สาวหรือน้องสาวของแม่”, -ติ = ”กล่าวถึง”, อาทิเก = ”เป็นต้น”) ชื่อว่า อธรรมราคะ หมายถึง ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ไม่เป็นความดี.

>> ความโลภที่เกิดขึ้น (อุปฺปนฺนโลโภ = “ความโลภที่เกิดขึ้น” อุปฺปนฺน = “ที่เกิดขึ้นแล้ว”+โลโภ = “ความโลภ“) มีกำลัง (พลวา หุตฺวา =“เมื่อมีกำลังแล้ว” พลวา = “มีกำลัง, รุนแรง” + หุตฺวา”เมื่อเป็น, เมื่อได้กลายเป็น”) แม้ในฐานะที่สมควร (ยุตฺตฏฺฐาเนปิ = "แม้ในฐานะที่สมควร", ยุตฺตฏฺฐาเน = “ในฐานะที่สมควร”, ปิ = “แม้”) ชื่อว่า วิสมโลภะ หมายถึง โลภะที่ไม่สม่ำเสมอ หรือ โลภะที่ผิดปรกติ

>> ราคะ (ราโค = ความกำหนัด) เพราะมีลักษณะไม่เสมอภาคเป็นต้น (วิสมนฺติอาทิวจนโต) ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในฐานะที่สมควรหรือไม่สมควรก็ตาม (ยุตฺตฏฺฐาเน วา อยุตฺตฏฺฐาเน วา) ฉันทราคะที่เกิดขึ้นนั้น (อุปฺปนฺโน ฉนฺทราโค) พึงทราบว่าเป็นอธมฺมราโค หมายถึง อธรรมราคะ เพราะอรรถว่าเป็นราคะที่ผิดธรรม?ราคะที่ผิดปรกติ? (อธมฺมฏฺเฐน) .

>> และควรทราบว่า (เวทิตพฺโพ) ชื่อว่า วิสมโลภะ (วิสมโลโภติ = ชื่อว่า วิสมโลโภ) เพราะอรรถว่าไม่สม่ำเสมอ (วิสมฏฺเฐน = “ด้วยอรรถว่าไม่สม่ำเสมอ” วิสมา = “ไม่เสมอภาค, บิดเบี้ยว, ไม่สม่ำเสมอ” + ฏฺเฐน = “ด้วยอาการแห่ง ... ”) .


เรียนอาจารย์คำปั่น

1) ”โลลุปปะ” อันนี้ โลล ที่ท่านแปลว่า หวั่นไหว แต่ในภาษาไทยมีใช้อีกคำว่า โลเล ใช่ไหมครับ คือ ความเป็นคนไม่มั่นคง เข้าใจว่าไม่มั่นคงในกุศลธรรม เช่น ฟังธรรมอยู่คิดเรื่องอื่น อย่างนี้เป็นอาการของตัณหาที่ไม่มั่นคง หวั่นไหวไปสู่อารมณ์อื่น ใช่ไหมครับ

2) ”ปุจฺฉญฺจิกตา” โดยรากศัพท์นี้ หมายถึง การส่ายหาง ใช่ไหมครับ แต่ในบริบทนี้ ท่านแปลว่า ความกำเริบ ความหวั่นไหว เข้าใจว่าเป็นสภาพตัณหาที่มีกำลัง คล้ายๆ มีคนให้อาหาร สุนัขก็วิ่งเข้าหาทันที ถ้าเป็นที่ๆ มีของดีราคาถูก คนก็รีบซื้อ ของก็หมดไวเช่นกัน เข้าใจว่าเป็นอาการเช่นนี้ใช่ไหมครับ

3) “สาธุกัมยตา” ที่ท่านแปลว่า “ความใคร่ดี” จริงๆ แล้ว ไม่ได้หมายถึง ความใคร่เป็นสิ่งที่ดี แต่หมายถึง ความใคร่ในสิ่งที่ดี หรือ อยากได้ของดี นั่นเอง

4) คำว่า อธรรมราคะ ท่านแสดงไว้ 2 รอบ ในครั้งแรกท่านแสดง ความปรารถนาในบุคคลที่ไม่ควรปรารถนา เช่น มารดา น้า ป้า ว่าเป็น อธรรมราคะ ในครั้งที่ 2 ท่านกล่าวว่า แม้ในฐานะที่สมควร กระผมเข้าใจว่า เช่น สามี ภรรยา เป็นต้น อย่างนี้ ก็เป็น อธรรมราคะ เช่นกัน เพราะมีลักษณะที่ผิดธรรม (ธรรม ตรงนี้ แปลว่าปรกติ หรือเปล่า คือ ผิดปรกติ) กระผมเข้าใจว่า อธรรม ครั้งที่ 1 คือ ผิดไปจากทำนองคลองธรรม ศีลธรรมที่ควรจะเป็น และ อธรรมครั้งที่ 2 คือ ผิดไปจากโลภะที่เกิดตามปรกติ ไปสู่โลภะที่ไม่ปรกติ คือ วิสมโลภะ ความเข้าใจนี้ผิดถูกประการใด ขออาจารย์เพิ่มความเข้าใจด้วย

กราบอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 ก.พ. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1) ”โลลุปปะ” อันนี้ โลล ที่ท่านแปลว่า หวั่นไหว แต่ในภาษาไทยมีใช้อีกคำว่า โลเล ใช่ไหมครับ คือ ความเป็นคนไม่มั่นคง เข้าใจว่าไม่มั่นคงในกุศลธรรม เช่น ฟังธรรมอยู่คิดเรื่องอื่น อย่างนี้เป็นอาการของตัณหาที่ไม่มั่นคง หวั่นไหวไปสู่อารมณ์อื่น ใช่ไหมครับ

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วทั้งพยัญชนะและอรรถความหมายตามที่เป็นจริง


2) ”ปุจฺฉญฺจิกตา” โดยรากศัพท์นี้ หมายถึง การส่ายหาง ใช่ไหมครับ แต่ในบริบทนี้ ท่านแปลว่า ความกำเริบ ความหวั่นไหว เข้าใจว่าเป็นสภาพตัณหาที่มีกำลัง คล้ายๆ มีคนให้อาหาร สุนัขก็วิ่งเข้าหาทันที ถ้าเป็นที่ๆ มีของดีราคาถูก คนก็รีบซื้อ ของก็หมดไวเช่นกัน เข้าใจว่าเป็นอาการเช่นนี้ใช่ไหมครับ

ตามวิเคราะห์ศัพท์ก็เป็นเช่นนั้น และได้แสดงถึงความเป็นจริงของตัณหาอย่างชัดเจนอย่างยิ่งครับ


3) “สาธุกัมยตา” ที่ท่านแปลว่า “ความใคร่ดี” จริงๆ แล้ว ไม่ได้หมายถึง ความใคร่เป็นสิ่งที่ดี แต่หมายถึง ความใคร่ในสิ่งที่ดี หรือ อยากได้ของดี นั่นเอง

เมื่อกล่าวถึงตัณหาแล้วจะทำสิ่งที่ดีทำสิ่งที่ถูกต้องนั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น สาธุกัมยตา ที่กล่าวถึงความเป็นจริงของตัณหา จึงเป็นความอยากได้แต่สิ่งที่ดีๆ ที่ตนเองอยากได้หรือปรารถนา ที่คุณวิทวัตแสดงเหตุผลนั้น เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วครับ


4) คำว่า อธรรมราคะ ท่านแสดงไว้ 2 รอบ ในครั้งแรกท่านแสดง ความปรารถนาในบุคคลที่ไม่ควรปรารถนา เช่น มารดา น้า ป้า ว่าเป็น อธรรมราคะ ในครั้งที่ 2 ท่านกล่าวว่า แม้ในฐานะที่สมควร กระผมเข้าใจว่า เช่น สามี ภรรยา เป็นต้น อย่างนี้ ก็เป็น อธรรมราคะ เช่นกัน เพราะมีลักษณะที่ผิดธรรม (ธรรม ตรงนี้ แปลว่าปรกติ หรือเปล่า คือ ผิดปรกติ) กระผมเข้าใจว่า อธรรม ครั้งที่ 1 คือ ผิดไปจากทำนองคลองธรรม ศีลธรรมที่ควรจะเป็น และ อธรรมครั้งที่ 2 คือ ผิดไปจากโลภะที่เกิดตามปรกติ ไปสู่โลภะที่ไม่ปรกติ คือ วิสมโลภะ ความเข้าใจนี้ผิดถูกประการใด ขออาจารย์เพิ่มความเข้าใจด้วย

อธรรมราคะ ตามอรรถถาทั้งหลาย ได้แสดงว่า ราคะ (ความยินดีติดข้อง) นั่น เป็นอธรรม แน่นอน คือ เป็นธรรมฝ่ายที่เป็นอกุศล อันนี้เข้าใจได้

อธรรมราคะ ในนัยแรก จะมุ่งหมายถึงโลภะที่มีกำลัง ราคะที่เกิดขึ้นในฐานะที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น อย่างนี้เป็น อธรรมราคะ

อธรรมราคะ ในนัยที่ ๒ แม้โลภะหรือราคะที่เกิดขึ้นเป็นปกติ แม้ไม่ได้ผิดจากทำนองคลองธรรม (เช่น อยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยา, ติดข้องในสิ่งของของตน เป็นต้น) แต่ความติดข้องก็เป็นความติดข้อง เป็นอกุศลธรรม เป็นอธรรม ก็เข้าใจได้ว่า เป็นอธรรมราคะ คือ ผิดจากกุศลธรรม เพราะเป็นกุศลไม่ได้ในขณะนั้น ครับ ก็ขอให้คุณวิทวัตได้พิจารณาอีกทีนะครับ


... ยินดีในกุศลวิริยะของคุณวิทวัตเป็นอย่างยิ่งครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wittawat
วันที่ 10 ก.พ. 2568

อธรรมราคะ นัยที่ 2 ก็คือ ผิดธรรม คือผิดจากกุศลธรรมที่ดีงาม

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ก.พ. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ