ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๒

 
khampan.a
วันที่  2 ก.พ. 2568
หมายเลข  49447
อ่าน  727

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๒





~ ความยากของพระธรรม ก็เป็นเครื่องส่องถึงความอดทน ความเพียรความตั้งใจมั่นของแต่ละคนว่ามีมากแค่ไหนในการที่จะฟังที่จะศึกษาให้เข้าใจต่อไป

~ สิ่งที่น่าคิดน่าไตร่ตรองด้วยความเป็นผู้ตรง ก็คือ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดำรงยั่งยืนต่อไปได้เพราะอะไร น่าคิดไหม? ทุกคนฟังดูเหมือนห่วงใยพระพุทธศาสนา ด้วยความอยากให้พระพุทธศาสนายั่งยืนต่อไป หรือว่า เพราะเหตุว่าเห็นคุณจริงๆ ประโยชน์ใหญ่หลวงของพระธรรมที่ได้ทรงแสดงความจริงทุกอย่างทำให้สัตว์โลกพ้นจากความมืดบอด เพราะไม่รู้จึงมีอกุศลต่างๆ มากมาย แต่พอรู้แล้ว ความรู้นั้นก็จะนำไปสู่สิ่งทั้งปวงที่ดีขึ้น

~ ทรัพย์ที่เหนือทรัพย์อื่นใดที่มีค่าเป็นเครื่องปลื้มใจอย่างยิ่ง คือการได้รู้ความจริงซึ่งไม่สามารถจะรู้เองได้เลย นอกจากได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ศึกษาพระธรรมได้

~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทั้งหมดเป็นไปเพื่อเกื้อกูลให้ทุกท่านรู้ตัวว่ายังมีกิเลสอยู่มากๆ อย่าหลงผิดว่าลดน้อยลงไปมากแล้ว เพราะถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ กิเลสจะลดไม่ได้ และถ้าไม่มีการกระทำทางกาย ทางวาจา กิเลสก็ยังไม่ปรากฏให้รู้ว่าขณะนั้นสะสมอกุศลไว้มากมายเพียงใด

~ โรคเยอะมาก โรคไม่รู้นำมาซึ่งโรคอื่น คือ โรคติดข้องเพราะไม่รู้ ก็พอใจในสิ่งซึ่งไม่เหลือ แต่ก็เข้าใจว่ายังอยู่ เช่น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับ ที่ว่าเร็วสุดที่จะประมาณได้ เปรียบได้เลยกระทบแข็งดับแล้ว เพียงแค่แข็งปรากฏดับแล้ว แต่พระผู้มีพระภาคยังทรงแสดงว่าก่อนจะดับ อกุศลเกิดแล้ว คือ ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น และก็มีความติดข้องในสภาพธรรมนั้นด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นโรคมานานแสนนาน และก็สืบต่อเรื้อรังมาเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถพบผู้ที่สามารถรักษาโรคทั้งหลายได้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ผู้ที่สอนสิ่งที่ไม่จริง เป็นมุสาวาท มุสาวาทในที่นี้หมายความว่า คำที่สอนทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่จริง ไม่เป็นเหตุ ไม่เป็นผล ไม่เป็นหนทางที่แท้จริงที่จะให้เกิดปัญญาได้ เพราะฉะนั้น คำสอนนั้นๆ ทั้งหมด เป็นมุสาวาท แต่ถ้าเป็นพระธรรมเทศนาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นความจริงทั้งหมด ไม่ตรัสมุสาวาทเลย

~ ขณะใดที่คิดถึงคนอื่นด้วยจิตที่เป็นอกุศล จะเห็นได้ใช่ไหมว่า ขณะนั้นเพราะอหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นกุศล คิดด้วยเมตตา ด้วยกรุณา ด้วยมุทิตา หรือด้วยอุเบกขา ไม่ต้องคอยถึงชาติหน้าที่จะอยากมีกิเลสน้อย ถ้าอยากจะมีกิเลสน้อยชาติหน้า คือ ขณะนั้นเองต้องลดคลายอกุศล ซึ่งเพียรคืออย่างนั้น ไม่ใช่คอย แต่ค่อยๆ ระลึกได้ และรู้ว่าขณะใดเป็นอกุศล ก็ละ

~ ปกติทุกคนมีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ มีความขุ่นเคืองใจ แต่ถ้าล่วงศีลเมื่อไร เมื่อนั้นแสดงให้เห็นถึงกำลังของอกุศลว่ามีมากซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมทั้งหมดเพื่อให้พุทธบริษัทมีความประพฤติดี ให้กุศลจิตเกิดทุกระดับตั้งแต่ขั้นต้นในชีวิตประจำวัน จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

~ การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ก็ยังไม่เป็นการเคารพอย่างสูงสุด เพราะว่า พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงหวังดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อหวังให้สาวกได้ดับกิเลสเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย แต่ก่อนที่จะดับกิเลสได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรงและต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง

~ ในขณะนี้ทุกคนกลัวภัยบ้าง ใช่ไหม? ชีวิตไม่ใช่ปลอดภัยอยู่ทุกขณะ ถ้ากล่าวถึงส่วนรวม บ้านเมืองก็ยังต้องป้องกันภัยจากศัตรู ฉันใด ถ้ากล่าวถึงส่วนบุคคล แต่ละบุคคลก็ย่อมกลัวภัยที่จะมาถึงจากศัตรู แต่ภัยภายใน คือ กิเลสของตนเองซึ่งเป็นอกุศลธรรมที่พร้อมจะเกิดขึ้นเบียดเบียนทุกขณะ จะป้องกันอย่างไร เพราะว่าส่วนมากไม่คิดถึงการป้องกันภัยจากศัตรูซึ่งเป็นอกุศลธรรมของตนเอง

~ สภาพที่ติดข้องมีจริงๆ แล้วก็เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เกิดกับจิตเมื่อไหร่ จิตนั้นมีมลทิน เพราะความไม่รู้ จึงติดข้อง พอใจ ในสิ่งที่เพียงเกิดปรากฏ แล้วหมดไป เพราะไม่รู้ ที่ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีอีกต่อไป ฉลาดไหม? ไม่มีจริงๆ แต่เพราะยังไม่ประจักษ์ว่า ไม่มีจริงๆ ก็ยังคงมีความติดข้องไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้คืออวิชชา เป็นเหตุ ใช่ไหม?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด เพราะเหตุว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงจนสามารถที่จะดับกิเลสซึ่งธรรมอื่นดับไม่ได้เลย สามารถที่จะดับกิเลสหมด ไม่เหลือเลยถึงความเป็นพระอรหันต์

~ การสะสมความโกรธก็เป็นคนเจ้าโทสะ สะสมความโลภเห็นอะไรชอบหมดเลย ไปตลาดนัดอยากซื้อหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ลืมตาขึ้น ก็ติด เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมในแต่ละชาติ มีประโยชน์ที่ว่าไม่ว่าชาติไหน จะเกิดเป็นใคร สิ่งที่สะสมไว้แล้วไม่สูญหาย

~ การฟังธรรม ไม่ใช่มีตัวเราที่คิดว่าเรามุ่งมั่นที่จะพยายามทุกวิถีทางที่จะละคลายกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ แต่ถ้าความเข้าใจจากการฟังซึ่งผู้ที่เป็นพระสาวกในครั้งอดีตเป็นตัวอย่างให้เราระลึกได้ว่าท่านฟังกันมานานเท่าไหร่กว่าสภาพธรรมจะปรากฏที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต้องไปนั่งนับวัน เดือน ปีเลยว่ากี่ชาติ กี่กัปป์ แต่ว่ามีโอกาสได้ฟัง เครื่องพิสูจน์ คือ เข้าใจคำที่ได้ฟังมากน้อยแค่ไหนว่าเป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้นเองซึ่งเกิดแล้วก็ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

~ คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง ถ้าคำสอนใดไม่ทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี คำนั้นๆ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ให้ใครไปนั่งทำอะไร แต่ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความรู้ของผู้ฟังเอง จึงจะเป็นประโยชน์

~ ธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น แต่ละคำนี่ซ้ำไปซ้ำมา เพื่ออะไร ไม่ใช่ต้องจำ แต่ไตร่ตรอง มั่นคงเข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มรู้เลยว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนี้ทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่มีซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน

~ เมื่อเป็นธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นดับไป เราอยู่ไหน? ตัวตนสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ไหน? ไม่มีเลย จึงเข้าใจคำว่าอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด และธรรมทั้งหมดไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แข็งเป็นแข็ง เห็นเป็นเห็น จำเป็นจำ โกรธเป็นโกรธ แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ได้ปะปนกัน

~ การศึกษาธรรม เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมแล้ว ชีวิตก็จะเจริญในทางฝ่ายกุศล จะไม่เบียดเบียนใคร และเราเองก็จะไม่เดือดร้อนด้วย เพราะเหตุว่าธรรมที่เป็นกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีทั้งกุศล มีทั้งอกุศล มีทั้งสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่ทั้งอกุศล ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา สำคัญที่สุดคือเข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ เมื่อมีความไม่รู้แล้ว ก็มีกิเลสอื่นๆ มีทั้งความติดข้อง มีทั้งความโกรธ มีทั้งความสำคัญตน ทุกอย่างที่ไม่ดีทั้งหมดซึ่งเป็นลักษณะของคนพาล ก็เพราะมาจากความไม่รู้

~ สำหรับในยามที่ไร้ทรัพย์ พระธรรมก็จะเตือนให้รู้ว่า เพราะไม่เคยให้มาก่อน จึงเป็นอย่างนี้ หรือแม้แต่ในยามที่ให้ไปแล้วเสียดาย ก็จะมีคำพูดที่เตือนว่า "ก็จะสะสมบารมีมิใช่หรือ"



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๑



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.พ. 2568

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 2 ก.พ. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 2 ก.พ. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี
ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง
อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก
จิตเจตสิกเดินสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 3 ก.พ. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
shsso2551
วันที่ 3 ก.พ. 2568

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ