ไม่ต้องไปหาอะไรมาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

 
เมตตา
วันที่  6 ม.ค. 2568
หมายเลข  49210
อ่าน  173

[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 28-29

๓. ทุติยปหานสูตร

ว่าด้วยทรงแสดงธรรมเพื่อละสิ่งทั้งปวง

[๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมเพื่อรู้ยิ่งกำหนดรู้แล้วละสิ่งทั้งปวง แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังธรรมนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมสำหรับรู้ยิ่งกำหนดรู้แล้วละเสียซึ่งสิ่งทั้งปวงเป็นไฉน. จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้แล้วละเสีย แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดเพราะจักษุสัมผัส เป็นปัจจัย ก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ควรกำหนดรู้แล้วละเสีย ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ควรกำหนดรู้ แล้วละเสีย แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ก็เป็น สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ควรกำหนดรู้แล้วละเสีย นี้เป็นธรรมสำหรับรู้ยิ่ง กำหนดรู้แล้วละสิ่งทั้งปวงเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันนี้แล เป็นธรรมสำหรับรู้ยิ่ง กำหนดรู้แล้วละสิ่งทั้งปวง.

จบ ทุติยปหานสูตรที่ ๓

๔. ปฐมปริชานสูตร

ว่าด้วยผู้ยังไม่รู้ยิ่งย่อมละสิ่งทั้งปวงไม่ได้

[๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ยังไม่รู้ยิ่ง ยังไม่กำหนดรู้ ยังไม่คลายกำหนัด ยังละไม่ได้ซึ่งสิ่งทั้งปวง ยังไม่เป็นผู้ควรสิ้นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงคืออะไร. บุคคลผู้ยังไม่รู้ยิ่ง ยังไม่กำหนดรู้ยังไม่คลายกำหนัด ยังละไม่ได้ ยังไม่เป็นผู้ควรสิ้นทุกข์


ท่านอาจารย์: เริ่มเข้าใจความลึกซึ้งที่เป็น อริยสัจจธรรม จะไม่ลึกซึ้งได้อย่างไร เป็นเดี๋ยวนี้เอง ไม่ใช่ต้องไปหาอะไรที่ไหนมาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

อ.อรรณพ: ประโยคสุดท้าย เตือนว่า ไม่ต้องหาอะไรที่ไหนมาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่หาอะไรที่ไหนเพื่อมาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วทำไมถึงชอบไปหาอะไรครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ก็ไม่รู้ว่า ใครไปหาอะไร

อ.อรรณพ: ไม่รู้ว่าใครไปหาอะไร ไม่รู้ไปเสียทุกอย่ ถาง

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของพระธรรม เป็นสิ่งเดียวที่ควรรู้ยิ่ง ถ้าไม่รู้ยิ่งก็ไม่ใช่หนทางแน่นอน

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์พูด บางทีเราก็ผ่านๆ ไป ดูเหมือนธรรมดาว่า ไม่ต้องไปหาอะไรมาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ความไม่รู้แล้วความเข้าใจผิดก็ไปหาวิธีการ สิ่งโน้น สิ่งนี้ ที่จะมารู้คำว่า สัจจธรรม ซึ่งก็พูดกันครับ

เพราะฉะนั้น ก็ยังอยู่ในการแสวงหาหนทางด้วยความเข้าใจผิดกัน แสวงหาพรหมจรรย์กัน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่คิดว่า จะทำให้รู้ความจริง

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ เมื่อไม่ต้องไปหาอะไรมาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ แล้วการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ จะเกิดได้ด้วยเหตุปัจจัยอะไรครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ก็ลองไปแสวงหาซิ จะเข้าใจได้ไหม?

อ.อรรณพ: ถ้าไปแสวงหา ก็ผิดตั้งแต่ต้น เพราะว่าคิดที่จะไปทำ ไปหาอะไรต่ออะไร ด้วยความเป็นตัวตน ก็ไปสู่หนทางของความเป็นตัวตน ก็ไม่เจอสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจะไปแสวงหาอะไร ในเมื่อสิ่งที่กำลังมีไม่รู้

อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหาอะไรเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นคำที่เกื้อกูลหมดเลยครับท่านอาจารย์ และเมื่อกี้ที่ อ.คำปั่น กราบสนทนากับท่านอาจารย์ก็ไพเราะครับ อ.คำปั่น กล่าวถึง ความว่างเปล่า ท่านอาจารย์ก็แสดงถึง ความว่างเปล่าของเห็น ความว่างเปล่าของเห็นในขณะนี้ ความว่างเปล่าของเห็นซึ่งตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้มีทางครับ ก็ไม่สามารถจะมีปัญญาที่จะรู้ในความว่างเปล่าของเห็น เห็นเป็นของว่างเปล่า กราบอีกทีครับท่านอาจารย์ เห็น เป็นของว่างเปล่าอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีเห็นไหม?

อ.อรรณพ: มีครับ ไม่เห็นว่างเปล่าเลยครับ เพราะยังมีเห็นอยู่ ยังมีเราเห็นอยู่ ไม่เห็นจะว่างเปล่าเลยครับ

ท่านอาจารย์: แล้วก็ต้องเข้าใจว่า เห็นดับหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: เข้าใจในขั้นไตร่ตรองพิจารณาว่า เห็นต้องดับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ดับแล้ว ก็ว่างเปล่าแน่ๆ

อ.อรรณพ: ดับแล้วก็ว่างเปล่า

ท่านอาจารย์: ไม่มี เห็น นั้นอีกต่อไปในสังสารวัฏฏ์เลย

อ.อรรณพ: ความที่ก็มีเหตุปัจจัยให้มีเห็นใหม่เกิดอีก แล้วก็ดับ

ท่านอาจารย์: เห็นใหม่ดับหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: ดับอีก แล้วก็ยังมีเห็นใหม่

ท่านอาจารย์: เห็นใหม่ ดับอีกหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: คือมีเห็น แหม จะพูดใช้คำว่า มาทดแทนก็ไม่เชิง แต่ก็เหมือนว่า มีเห็นอีกๆ ๆ ๆ

ท่านอาจารย์: ก็ว่างเปล่าอีกๆ ๆ ไม่สิ้นสุด

อ.อรรณพ: ครับ ตรงนี้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกว่า เราก็จะกล่าวไปในทางอัตตา ท่านอาจารย์ก็กล่าวในความเป็นอนัตตา คือความว่างเปล่าว่า คือเมื่อเห็นเกิดแล้วดับ ก็พอใจ แต่ดับแล้วก็มีเห็นใหม่ ก็เหมือนเกิดมาทดแทนเห็น เห็นอีกๆ ๆ ๆ ก็เลยไม่ได้หยั่งลงไปในสภาวะความว่างเปล่าของเห็นที่เกิดแล้วดับ เพราะว่ามีเห็นเกิดขึ้นใหม่อีก สืบๆ ๆ ๆ สืบเนื่อง สืบเนื่องต่อเนื่องมาอย่างนี้ครับท่านอาจารย์ ปิดบังสนิทมากเลย ความต่อเนื่องที่รวดเร็วปิดบังความไม่เที่ยง เกิดแล้วดับของเห็นอย่างมหัศจรรย์ที่สุดในขณะนี้ ก็ยังไม่หยั่งลงสู่ความว่างเปล่าของเห็นครับ ปัญญายังไม่ถึงการหยั่งลงในความว่างเปล่าของเห็นครับ

ท่านอาจารย์: เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อ.อรรณพ: พระปัญญาของพระองค์สูงสุดจริงๆ ใครจะไปรู้เห็น ความว่างเปล่าของเห็นในขณะนี้ แล้วก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีอะไรว่างเปล่าเหมือนที่ได้ยินด้วยต่างหาก คิดว่าพร้อมกันด้วย เหมือนว่า คิดต่างหากนะ เป็นท่านอาจารย์ เป็นใครต่อใครนะครับ หน้าจอก็มีรูปคณะอาจารย์อยู่ในสระน้ำกันครับ ไม่มีการที่จะหยั่งลงในความว่างเปล่าของธรรม แต่ละหนึ่งๆ ครับ

กราบเท้าครับว่า ปัญญาต้องถึงระดับนั้นจริงๆ ที่หยั่งลงสู่ความว่างเปล่าของธรรม ทีละหนึ่ง เช่นนั้นเลยหรือครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: อีกนานเท่าไหร่ ความจริงจึงจะปรากฏตามที่ได้เข้าใจขึ้นๆ

อ.อรรณพ: ความว่างเปล่าโดยความดับแล้ว ไม่มีเหลือนี่.. โอ้โห!! ทำไมช่างไกลแสนไกลครับ

ท่านอาจารย์: อาศัยความตรง สัจจบารมี ถ้าจะรู้ ไปรู้อื่นหรือ? ในเมื่อสิ่งนี้เป็นจริงปรากฏ แต่ว่าไม่สามารถที่จะหยั่งลงถึงความเป็นจริงถึงที่สุดได้

อ.อรรณพ: ครับ ก็มีแล้ว ไม่มี แต่ตอนนี้ มี มี แล้วก็มี แล้วก็มี แล้วก็มีอยู่อย่างนั้นครับ แต่ไม่รู้ว่า มีแล้ว ไม่มี แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า มีอะไร แล้วก็ไม่มีอะไร เป็นความละเอียดครับท่านอาจารย์ ความโง่เยอะมาก ไม่รู้ว่าอะไรมี แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีนั้นที่ว่าไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็ไม่มี ก็ไม่รู้เลยว่า มี ไม่มี คืออะไร อย่างนี้ครับท่านอาจารย์ มืดมนอนธการไปจริงๆ แล้วก็ไม่สนใจด้วย แล้วก็เพลิน มืดมนอนธการแล้วก็มีความเพลิดเพลินเข้าไปอีก อย่างนี้ครับ มืดก็คลุมไว้หมดเลย แล้วก็เพลินไปด้วยความติดข้องอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน

ท่านอาจารย์: มีอะไร มีใครเป็นที่พึ่ง?

อ.อรรณพ: มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยเจ้าทั้งหลายครับ

ท่านอาจารย์: พึ่งอย่างไร?

อ.อรรณพ: พึ่งโดย มีการสะสมพืชเชื้อของปัญญา ความสนใจที่จะฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็มีความสนใจ ตั้งใจ ใส่ใจ ที่จะเข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: แล้ววันนี้มีแค่ไหน?

อ.อรรณพ: นิดหน่อย น้อยนิด จนไม่รู้ว่า จะใช้คำอะไร แล้วจะใช้เสียงแค่ไหนที่จะว่า น้อยนิดๆ ๆ ๆ เพราะว่า ความไม่รู้เยอะจริงๆ

ท่านอาจารย์: ความไม่รู้ที่สะสมมาแค่ไหน? คิดดู เทียบกันได้ไหม?

อ.อรรณพ: เทียบไม่ได้ครับ ก็ปิดบังมีดมน มืดมิดอยู่อย่างนี้ครับ ทั้งๆ ที่ เห็น ก็เกิด เห็นมีจริง ยังไม่ต้องว่า เกิดดับ

เห็น มีจริง แต่ที่จะรู้ในธาตุรู้ที่เห็น ก็ไม่ง่าย เพราะว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ใช่ว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่า เห็นอะไรครับ แล้วก็ธาตุรู้ที่เห็นยิ่งลึก เพราะฉะนั้น เพียงสิ่งที่กระทบตา ก็ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง

ขอเชิญอ่านได้ที่..

คุณนีน่า วัน กอร์คอม ผู้อ่อนน้อมถ่อมตนต่อความลึกซึ้งของพระธรรม

ขอเชิญฟังได้ที่..

ถูกปิดด้วยความไม่รู้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ