ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๘
~ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้ที่จริงใจต่อการอบรมเจริญบารมีเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจนในที่สุดทรงรู้แจ้งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีอุปการะอย่างยิ่งยวดในหมู่สัตว์ และเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงประกอบด้วยพระคุณสูงสุดกว่าสรรพสัตว์ จึงทรงประกอบด้วยเสียงสรรเสริญสดุดีที่ไพบูลย์ยิ่งและบริสุทธิ์ยิ่งในไตรโลก และทรงมีผู้ภักดีต่อพระองค์อย่างจริงใจ
~ การดำรงพระธรรมสำเร็จเมื่อมีความเข้าใจพระธรรม แต่พยายามตั้งใจจะดำรงสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่สามารถดำรงไว้ได้
~ ทุกคนมีโทษมาก มีข้อที่ควรตำหนิมาก แต่ผู้ที่จะชี้โทษให้เห็นตามความเป็นจริง ไม่มีใครที่สามารถจะทำได้มากเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วพิจารณา ก็ย่อมเห็นโทษของกิเลสซึ่งทุกคนยังมีอยู่มากทีเดียว
~ การได้ฟังพระธรรมหรือพิจารณาธรรม หรือสนทนาธรรม เป็นเพียงโอกาสที่สั้นและเล็กน้อยมาก ที่ขณะนั้นอกุศลไม่มีกำลังพอที่จะให้ไม่ฟัง แต่เวลาที่เกิดการไม่ฟัง หรือเกิดการสนใจที่น้อยลง
จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นการเปิดช่องให้กิเลสที่มีอยู่แล้ว ในชีวิตประจำวัน มีโอกาสที่จะมีกำลังเพิ่มขึ้นอีก จากการไม่ฟังธรรม จากการไม่พิจารณาธรรม จากการไม่สนทนาธรรม
~ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ ไม่ว่าจะเป็นเมตตา ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครรู้ ก็คือ ปัญญาพร้อมสติที่ระลึกจึงรู้ว่าแม้โลภะก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แม้เมตตาก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง โลภะไม่ได้ยั่งยืน ฉันใด ลักษณะของเมตตาก็ไม่ได้ยั่งยืน ฉันนั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ปัญญาที่สามารถรู้ตามความเป็นจริง จึงเป็นกลาง ไม่ตกไปด้วยความชัง หรือความชอบในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ ทุกท่านที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นผู้ที่กำลังดำเนินรอยตามพระโพธิสัตว์ คือ จะต้องอบรมเจริญกุศลทุกประการ เพื่อดับกิเลส เพราะฉะนั้น ก็ควรพิจารณาถึงชีวิตประจำวันของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระองค์เป็นผู้ที่มีสัจจะ คือ ความจริงใจ ในการเจริญกุศล เพื่อละคลายและขัดเกลากิเลส
~ การช่วยกิจธุระของคนอื่นหรือช่วยแบ่งเบาภาระของคนอื่น ช่วยคนอื่นเท่าที่จะช่วยได้ ขณะนั้นรู้สึกตัวได้ทันทีว่าต้องมีความเพียรจึงจะทำได้ มิฉะนั้นแล้วจะทำทำไม ใช่ไหม ลำบากเปล่าๆ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะขัดเกลากิเลสต้องมีความประพฤติอย่างพระโพธิสัตว์ด้วย คือ พึงปรารภความเพียรในประโยชน์ของสัตว์นั้นๆ ไม่ว่าจะมีใครที่ผ่านมาในชีวิตซึ่งท่านสามารถเกื้อกูลได้แม้ด้วยวาจา แม้ด้วยคำแนะนำที่เป็นประโยชน์
~ ถ้าเป็นคนดี พูดตรงตามความเป็นจริง ถ้าเป็นคนไม่ดี พูดผิดจากความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะใดที่พูดผิดจากความเป็นจริง เป็นเครื่องตรวจสอบตนเองได้แล้วว่า เป็นคนดีหรือเป็นคนชั่ว
~ ใครก็ตามที่เป็นคนไม่ดี ก็คือ นามธรรมที่สะสมมาในทางอกุศลจนกระทั่งสามารถกระทำอกุศลกรรมนั้นๆ ที่น่ารังเกียจ ซึ่งบุคคลที่เจริญเมตตาแล้วสามารถเมตตาในบุคคลนั้นแทนที่จะมีโทสะในบุคคลนั้นได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสติสัมปชัญญะที่จะระลึกรู้ได้ว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร
~ กุศลทั้งหลายจะเจริญขึ้นได้ก็ด้วยความอดทนที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ สภาพธรรมให้ถูกต้อง ไม่ให้คลาดเคลื่อน ไม่ให้เห็นผิด ไม่ให้เข้าใจผิด มิฉะนั้นแล้ว บางคนก็เข้าใจว่าตนเองหมดกิเลสแล้ว เพียงแต่ไปปฏิบัติโดยที่ปัญญาไม่ได้เกิดเลย แต่คิดว่าหมดกิเลส ซึ่งจะทำให้กุศลธรรมเจริญขึ้นไม่ได้เลย เพราะว่ายังเต็มไปด้วยความไม่รู้และความเห็นผิดในหนทางปฏิบัติที่จะดับกิเลส
~ ผู้ที่พร้อมจะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น เมื่อเห็น เมื่อรู้ความต้องการของบุคคลอื่น ก็เป็นผู้ละเอียดในการเจริญกุศล เพราะรู้ความจำเป็นและมีจิตกรุณาเกิดขึ้น ไม่ต้องรอให้เขาขอก็ให้ เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ
~ ก่อนที่กิเลสอื่นๆ จะดับหรือละคลายลงไปได้ ต้องดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลเสียก่อน เพราะฉะนั้น ต้องรำลึกถึงพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรมให้เราได้ศึกษา ซึ่งเราก็จะได้ศึกษาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามเท่าที่จะเป็นไปได้ตามกำลังของปัญญา
~ ถ้าทุกคนค่อยๆ อดกลั้นทีละเล็กทีละน้อย วันหนึ่งจะปรากฏลักษณะเป็นผู้ที่มีความอดทน ต่อสถานการณ์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจาของคนอื่น หรือในเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม จะหนาว จะร้อน จะลำบาก จะไม่บ่น ซึ่งแสดงถึงความอดทน แต่ถ้าเริ่มบ่นสักนิดหนึ่ง ก็น่าจะระลึกแล้วว่า อดกลั้นสิ่งทั้งปวง ทั้งสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา หรือเปล่า?
~ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อทำดี เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เห็นอกุศลว่าเป็นอกุศล ก็ไม่ละไม่เลิก แต่ว่าถ้ารู้จริงๆ ว่าแม้ความดีเพียงเล็กน้อยขณะนั้นเกิดอกุศลก็ไม่เกิด ก็จะเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่าถ้าในขณะนั้นเต็มไปด้วยอกุศลแล้วอกุศลนั้นๆ ที่มีมาก จะเข้าใจธรรมได้หรือ
~ สภาพธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเรา เป็นทุกข์ไหม? ไม่ได้สิ่งที่พอใจ ขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้ว่าได้หรือไม่ได้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ทุกข์หรือสุขก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แสนสั้น ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเดือดร้อนไหม?
~ เกิดมาคนเดียว เห็นคนเดียว ตายคนเดียว ถ้าเราเข้าใจความจริงมั่นคงขึ้น ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับเข้าใจพระธรรมทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประโยชน์สูงสุด คือ ช่วยให้คนอื่นเข้าใจถูกต้องด้วย
~ แต่ก่อน เราทำโดยที่เราไม่เข้าใจ แต่พอเริ่มเข้าใจว่าอะไรผิด อะไรถูก เราจะทำสิ่งที่ถูกไหม? หรือว่า เรายังคงทำสิ่งที่ผิดต่อไป? ถ้าทำสิ่งที่ผิด ใครผิด? ตัวเราที่ทำนั่นแหละ ผิด แล้วสิ่งที่ผิดนั้น ให้โทษไหม? สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ให้โทษไหม?
~ ทุกคนต่างกันตามการสะสม ใครที่มีกาย วาจา ไม่ดี เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ เขาอยากจะเป็นอย่างนั้นไหม ทั้งหมดคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีเมตตา ไม่ว่าทางหนึ่งทางใดที่จะทำให้เขารู้ขึ้น เข้าใจถูกขึ้น นั่นเป็นประโยชน์สูงสุด
~ ไม่ว่าจะเห็นใครก็ตามที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ หรือว่าเป็นผู้ที่พิการหรือมีความทุกข์ความทรมานอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ทราบว่า ทุกท่านเคยเป็นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคย เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะประมาท ไม่ควรที่จะดูหมิ่น หรือว่าไม่ควรที่จะนึกรังเกียจ แต่ควรที่จะเป็นคติให้ระลึกได้ว่า เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว และก็ไม่แน่ อาจจะเป็นอย่างนี้อีกก็ได้
~ ถ้าเดินไปทางอกุศลก็ถึงที่ที่เป็นอบายภูมิ แต่ถ้าเดินไปในทางกุศลก็ถึงที่ที่ปลอดภัย และถ้าเดินไปในหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมก็จะพ้นจากภัยทั้งหมดได้
~ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีการนินทา มีสุขแล้วก็ต้องเสื่อมไปเป็นทุกข์ แล้วแต่อะไรจะเกิดก่อน เกิดหลัง เมื่อไหร่ แสดงถึงความไม่เที่ยง แต่เพราะไม่รู้ ก็โศกเศร้า แต่ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างหาเป็นของใครไม่
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๗


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีการนินทา มีสุขแล้วก็ต้องเสื่อมไปเป็นทุกข์ แล้วแต่อะไรจะเกิดก่อน เกิดหลัง เมื่อไหร่ แสดงถึงความไม่เที่ยง แต่เพราะไม่รู้ ก็โศกเศร้า แต่ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างหาเป็นของใครไม่
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ



