บุญคุณของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดกับพ่อแม่ที่เลี้ยงดู

 
Atom
วันที่  22 ก.ย. 2550
หมายเลข  4880
อ่าน  42,626

มีใครรู้บ้างครับ หรือแสดงความคิดเห็นได้บ้างครับ?

๑. เคยถามผู้รู้ที่อ่านพระไตรปิฏก ท่านบอกว่าถึงแม้ว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดจะไม่เลี้ยงเราแม้ท่านจะชั่วแค่ใหนท่านก็มีบุญคุณกับเรามากกว่าผู้ที่เก็บเรามาตั้งแต่แบเบาะ ในพระไตรปิฎก บอกว่าบุญคุณมากมาย ขนาดเรานำท่านทั้ง ๒ เลี้ยงบนบ่าเรา ป้อนข้าวน้ำตลอดชีวิตก็ไม่อาจทดแทนได้หมด

๒. ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็สงสัยว่า อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมสิครับ ที่คนที่เลี้ยงเรามาแต่แบเบาะเราให้ทานก็เหมือนให้คนทั่วไป ซึ่งหากไม่มีท่านก็อาจจะไม่ได้เรียนจบป.ตรีก็ได้ซึ่งผมมารู้ตอนหลังพ่อแม่จริงๆ ผมจน แล้วพิการหูด้วย ซึ่งคนที่เอาผมมาเลี้ยงก็คือป้าแท้ๆ นี่เองคือ เจตนาของป้าก็กลัวว่าพ่อแม่ผมจะไม่สามารถเลี้ยงได้ แต่หากผมให้ทานแก่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดซึ่งได้บุญเทียบเท่าพระอรหันต์

๓. แล้วอย่างงี้หากผมยึดตามหลักของพระพุทธเจ้า ซึ่งหากผมมีเงินน้อยในตอนนี้ ถ้าผมเลือกที่จะให้ทานผมให้กับพ่อแม่ที่ให้กำเนิด (พอดีมารู้ตอนหลังว่ายังมีชิวิต) แต่ไม่ให้พ่อแม่ที่เลี้ยงดู ผมจะบาปไหม?

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 22 ก.ย. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

.บิดา มารดา มีพระคุณกับเรามากเพราะ ประการหนึ่งคือ แสดงโลกนี้แก่บุตร หมายความว่า ถ้าไม่มีมารดา บิดาแล้ว เราจะเกิดมาได้อย่างไรและเห็นโลกนี้ที่สวยงามหรือสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร บิดา มารดาที่แท้จริงจึงมีพระคุณมากกว่า ถ้าไม่มีท่านเราก็ไม่ได้เกิด และก็คงไม่มีโอกาสแม้ให้คนอื่นเอาไปเลี้ยงด้วยครับ และพระคุณของท่าน ในพระไตรปิฎก ที่เป็นความจริง ก็ไม่สามารถทดแทนเพียงแค่ ให้เลี้ยงดูบนบ่าตัวเองตลอดร้อยปี แต่การให้ท่านเข้าใจพระธรรม มีศรัทธา เป็นต้น จึงเป็นการตอบแทนพระคุณได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 22 ก.ย. 2550

๒.ยุติธรรมแน่นอนครับ เพราะถ้าไม่มีมารดา บิดาแท้จริงแล้ว เราก็คงไม่ได้เกิดเห็นโลกนี้ เมื่อไม่ได้เกิดมาก็ไม่มีทางจบปริญญาตรี ส่วนในเรื่องการให้ทานนั้น บิดา มารดา ท่านก็ต้องมีพระคุณมากที่ให้เราเกิดมา ทะนุถนอมเมื่อเราอยู่ในท้อง เป็นต้น การให้ในมารดา บิดา จึงมีผลมาก เพราะเป็นผู้มีพระคุณ ส่วนบุคคลที่เลี้ยงเรามาภายหลังนั้นท่านเปรียบเหมือน อาจารย์คนที่สอง และไม่ใช่ผู้ให้เราเกิดมาในโลกนี้ แต่ท่านก็มีพระคุณเช่นกัน แต่พระคุณไม่เท่ากันผลจึงต่างกัน แต่อย่างไร เราก็ตอบแทนบุญคุณท่านที่ให้กำเนิดและผู้เลี้ยงเรามาด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 22 ก.ย. 2550

3.พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมในเรื่องการให้ว่า ไม่ใช่จำเพาะ เจาะจงให้เฉพาะบุคคลนั้น เพื่อหวังอานิสงส์ผลบุญ แต่ให้เพื่อตอบแทนพระคุณและอนุเคราะห์จึงควรให้ทั้งผู้มีพระคุณทั้งสองตามแต่โอกาสครับ ไม่ใช่เพราะคนนี้ไม่มีพระคุณจึงไม่ให้คนนั้น หรือมีพระคุณน้อยกว่าครับ ลองอ่านข้อความในพระไตรปิฎกนะ จะเข้าใจขึ้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 22 ก.ย. 2550

เรื่อง บิดา มารดาที่แท้จริงเป็นผู้ให้กำเนิด เราจึงได้เห็น โลกนี้และได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมและต่างๆ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 106 ข้อความบางตอนจาก อรรถกถา พรหมสูตร

บทว่า อิมสฺส โลกสฺส ทสฺเสตาโร ความว่า เพราะชื่อว่า การที่บุตรทั้งหลายได้เห็นอิฎฐารมณ์ (สิ่งที่ดี) และอนิฏฐารมณ์ (สิ่งที่ไม่ดี) ในโลกนี้เกิดมีขึ้น

เพราะได้อาศัยมารดาบิดา เพราะฉะนั้น มารดาบิดาจึงชื่อว่า เป็นผู้แสดงโลกนี้.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 22 ก.ย. 2550

เรื่อง การให้ทาน ไม่ได้เลือกหรือจำเพาะเจาะจง ให้เพื่อตอบแทนพระคุณและอนุเคราะห์ได้

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

ผู้รับที่ทำให้ทานมีผลมาก [ชัปปสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 22 ก.ย. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 22 ก.ย. 2550

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Atom
วันที่ 22 ก.ย. 2550

ขอบคุณครับที่ให้ความกระจ่าง
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
PUM
วันที่ 23 ก.ย. 2550

โดยความเห็นของกระผม

๑. "ถึงแม้ว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดจะไม่เลี้ยงเราแม้ท่านจะชั่วแค่ใหน ท่านก็มีบุญคุณกับเรามากกว่า ผู้ที่เก็บเรามาตั้งแต่แบเบาะ " ก็เพราะท่านได้ให้ชีวิต และร่างกาย ตามหลักวิทยาศาสตร์ทุกๆ เซลล์ในร่างกาย มาจากเซลล์ที่เกิดจากโครโมโซมของพ่อและแม่ฝ่ายละครึ่ง ถ้าเหตุผลนี้พระคุณของพ่อและแม่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และพระคุณนี้มีตราบจนถึงลมหายใจสุดท้ายของเรา และยิ่งได้กำเนิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาด้วยแล้วยากยิ่งที่จะบอกได้ว่าพระคุณนั้นมีมากแค่ไหนและสิ้นสุด ณ ที่ใด

๒."คนที่เลี้ยงเรามาแต่แบเบาะ เราให้ทานก็เหมือนให้คนทั่วไป" ประโยคนี้ขอค้าน เพราะการตอบแทนบุญคุณผู้ที่เลี้ยงมานั้น เป็นเพียงการที่คุณใช้หนี้ท่านบางส่วนเท่านั้น เพราะท่านได้มีอุปการะต่อคุณก่อน ทั้งในเรื่องการเลี้ยงดู และให้การศึกษาต่างจากการให้ทานคนทั่วไป ซึ่งไม่เคยมีอุปการะต่อคุณก่อน เพราะฉะนั้น การตอบแทนบุญคุณผู้ที่เลี้ยงมานั้นเป็นหน้าที่ และเป็นมงคลชีวิตที่พึงปฏิบัติ

๓.ในเมื่อคุณรู้จักทั้งพ่อแม่ที่ให้กำเนิด และยังมีพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา ก็ควรตอบแทนพระคุณท่านทั้งสองฝ่ายเต็มกำลังความสามารถ เป็นหน้าที่และเป็นมงคลชีวิตหรือหากต้องการตอบแทนท่านอย่างสูงสุด ก็ด้วยการทำให้ท่านถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ มีความเลื่อมใสที่ประกอบด้วยปัญญาในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จะเป็นการตอบแทนพระคุณที่ประเสริฐสุด เพราะการทำให้ท่านถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นการให้ที่พึ่งอันประเสริฐแก่ท่านผู้มีพระคุณไปทุกภพทุกชาติ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
พุทธรักษา
วันที่ 24 ก.ย. 2550

บุคคลที่หาได้ยาก ... ... ... .

๑. บุพพการี คือ ผู้กระทำการอุปการะก่อน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่น บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น.
๒. ผู้มีความกตัญญู คือ ผู้รู้ค่าแห่งคุณความดี และบูชาคุณความดีนั้น ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามควรแก่สถานภาพ.
บูชาคุณความดีต่อบุพพการี โดยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อท่านเหล่านั้น. บูชาคุณความดีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยธรรมบูชา คือการศึกษาและประพฤติตามพระธรรมวินัย

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Nareopak
วันที่ 24 ก.ย. 2550

ขอแสดงความคิดเห็นและเสนอว่า คุณatom ให้ท่านทั้งสองฝ่ายเท่าๆ กันซิคะ เช่น ซื้อผลไม้ไปฝากคนละ ๑ กิโลเท่ากัน ให้เงินไว้ใช้คนละ 500 บาท (หรือแล้วแต่) เท่าๆ กัน ก็ยุติธรรมดี แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของคุณ (ว่ายากจะให้ผู้ที่เลี้ยงดูเรามากกว่า) แรกๆ อาจต้องฝึก (หรือค้านกับใจตัวเอง) แต่ต่อๆ ไปก็จะทำได้แบบเป็นธรรมชาติเพราะทุกคนจิตเป็นพุทธะ อยู่แล้ว

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 24 ก.ย. 2550

จิตเป็นพุทธะหมายความว่าอะไรครับ กรุณาอธิบายให้เข้าใจด้วยนะ ยังไม่เข้าใจ จะได้ร่วมสนทนากันในหัวข้อนี้ครับ รบกวนด้วยนะ เพื่อความเห็นถูก ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Atom
วันที่ 25 ก.ย. 2550

จากข้อความคิดเห็นที่14

ขอระบายความรู้สึกนิดนึงไม่รู้ว่าใครสามารถอธิบายได้

๑.ผมให้เงินพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาเป็นจำนวนเงิน ๒,๐๐๐ บาทต่อเดือน ท่านบอกต่อหน้าว่าเป็นเศษเงิน ผมรู้สึกน้อยใจเพราะว่าเรามีแค่นี้ อาจเป็นเพราะว่าคนรอบบ้านชอบบอกว่าลูกชั้นให้เท่านั้นเท่านี้ (คือมากกว่าเรา) และอาจเป็นเพราะว่าท่านเสียเงินส่งเราเรียนมามากก็เป็นได้ แสดงว่า ท่านเลี้ยงเราเพราะว่าหวังผลกับเราใช่มั๊ยครับ? เพราะก่อนหน้านี้ท่านก็เคยรับเด็กชายมาเลี้ยง๑ คนเป็นน้องผม ๔ ปี และก็เลี้ยงน้องแท้ๆ ของผมด้วย ๑ คน แต่ด้วยเพราะท่านไม่เคยมีลูกกระมังเลยไม่เข้าใจความรู้สึกเด็ก ทำให้เด็ก ๒ คนออกจากบ้านไป (ไปแบบไม่กลับ เพราะท่านดุด่า และจู้จี้มาก) แต่ผมก็อดทนจนถึงวันนี้ครับ แม้จะมีน้อยก็ให้ท่านตามกำลัง (ไม่อยากเบียดเบียนตัวเอง) มีเวลาก็พาท่านไปต่างจังหวัดเที่ยว แต่ดูท่าทางเหมือนไม่มีความสุข ตอนหลังเลยไม่ได้พาไปอีก เคยไม่มีเงินเลย เงินเดือนใช้หนี้หมด (ที่เป็นหนี้เพราะว่าเคยกู้เงินมาทำธุรกิจ) แต่ก็ใช้บัตรกดเงินสดมาให้ท่านครับ แต่ก็น้อยใจลึกๆ นะครับ ว่าท่านเห็นเงินเราเป็นเศษเงิน เพราะท่านนำไฟนอกเข้าบ้านใช่มั๊ยครับ? และหน้าตาท่านก็เศร้าหมองอาจเพราะคาดหวังเรามากครับ ผมรู้ดีแก่ใจแต่ก็พยายามหาธรรมมะมาอธิบาย มาเปิดให้ดู ก็มีมิจฉาทิฏฐิครับ เช่น ยังถวายปัจจัยเงินพระอยู่ (ท่านชอบทำบุญครับ)

๒. พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเราให้เงิน ๕๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ทุกเดือนตามกำลังเจอท่านให้ท่าน แม่ผมถึงกับน้ำตาคลอและกอดเรา นี่คือหัวใจของคนเป็นแม่ใช่มั๊ยครับ ผมถึงกับน้ำตาคลอไปด้วย ต้องขอโทษครับที่อธิบายความในใจให้ฟัง เผื่อใครมีชิวิตคล้ายๆ กันจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Atom
วันที่ 25 ก.ย. 2550

จากข้อความคุณNareopak

ผมขอระบายความในใจครับ แล้วแต่ว่าใครเห็นสมควรจะให้คำปรึกษาครับ

๑.ผมได้ให้เงินพ่อแม่ที่เลี้ยงมาเดือนละ 2,000 แต่ท่านบอกว่าเป็นเศษเงิน เพราะฟังคนรอบบ้านว่าลูกเขาให้เท่านั้นเท่านี้คือมากกว่าเรา ใจเลยไม่เป็นสุขในแต่ละวันครับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็พยายามอยู่ พยามอธิบายถึงภาวะการเงินเราว่าได้แค่นี้ เพราะเงินเดือนแทบไม่พอใช้ครับที่เป็นหนี้มาจากการที่เรากู้เงินไปทำธุรกิจ ไม่รู้ว่าท่านเลี้ยงเราเพราะหวังผลที่จะได้รับหรือเปล่า ท่านถึงเป็นทุกเช่นนี้ (ท่านเคยเลี้ยงน้องผมและเคยนำคนอื่นมาเลี้ยง แต่ตอนหลังก็หนีออกจากบ้าน เพราะทนท่านไม่ไหวท่านจู้จี้ ดุด่าเก่งครับ มีผมที่ทนจนเรียนจบป.ตรี ครับ) น่าน้อยใจนะครับที่ท่านพูดอย่างนั้น ก็ทำเต็มที่ตามกำลังที่มีครับ (เคยเหมือนกันที่ต้องใช้บัตรกดเงินนำเงินมาให้ท่านตามหน้าที่ครับ แต่คิดไปคิดมาหนี้ก็มีอยู่มันจะทำให้พอกหนี้มากขึ้นตอนหลังเลยไม่ได้ให้ครับ) แต่เราก็พาท่านเที่ยวต่างจังหวัดตามโอกาสครับ ดูท่านไม่มีความสุขเท่าไหร่ เพราะกิเลสรอบตัวท่าน? เช่น อยากได้บ้าน อยากได้เงินจากเรามากๆ เช่น ๘,๐๐๐ เป็นต้น แต่ผมก็พยายามให้ท่านรู้ธรรมะ แต่ท่านก็ไม่อยากรู้ แล้วก็ชอบทำบุญแต่ก็มีผิดๆ เช่น ถวายเงินพระ แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อผมสักเท่าไหร่ บางครั้งก็เหมือนขวางบุญใหญ่โดยพูดอ้อมๆ ไม่ให้ผมเอาเงินไปให้แม่โดยบอกว่าที่รู้มาคนจีนมักบอกว่าบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงมายิ่งใหญ่กว่าเท่าแผ่นฟ้า มากว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดครับ ก็เลยคิดว่าคงเป็นกรรมของท่านกระมัง

ใครที่มีประสบการณ์คล้ายๆ ผมลองแชร์กันฟังมั่งนะครับ หรือมีความคิดเห็นอื่นๆ ก็แชร์ได้ครับ

๒. และพ่อแม่ที่ให้เกิดผมให้ทุกเดือนเดือนละ ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บ้าง แล้วแต่โอกาสโดยจะโอนบ้าง ไปหาบ้าง แต่หากตอนใดไปหาท่านก็ดีใจบางทีถึงกับน้ำตาคลอเบ้ากอด เราก็มี นี่คือคนที่เป็นแม่เราโดยธรรมชาติที่ไม่หวังอะไรจากเราใช่มั๊ยครับ?

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
PUM
วันที่ 26 ก.ย. 2550

ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจให้คุณatom ... ทำความดีต่อไปอย่าหยุดอย่าท้อ ณ.เวลานี้เราอาจจะยังมีวิบากกรรมที่ต้องชดใช้ จึงทำให้พ่อแม่บุญธรรมของคุณยังมองไม่เห็นความดีของคุณ ขอเพียงคุณมีความจริงใจดีต่อท่านเสมอต้นเสมอปลายเลี้ยงดูท่านทั้งกายและจิตใจผมเชื่อว่าคุณไม่ตกต่ำแน่เมื่อมีรายได้เพิ่มก็เพิ่มให้ท่านตามสัดส่วนที่เห็นว่าสมควรวันหนึ่งท่านก็อาจจะคิดได้ จากสารคดีในทีวีก็มีบ่อยๆ ที่ลูกแท้ๆ นอกจากไม่เลี้ยงดูแล้วยังเอาลูกของตัวเองมาให้พ่อแม่เลี้ยงอีก แบบนี้เทียบกัคุณแล้วคุณดูดีกว่ามาก แต่ที่สำคัญอันดับแรกที่จะขออนุญาตแนะนำก็คือ การจัดการกับจิตใจตัวเอง โดยธรรมชาติของคนทั่วๆ ไป เมื่อได้ให้อะไรใครหรือทำความดีกับใครแล้ว ในส่วนลึกของจิตใจมักจะคาดหวังผลสะท้อนกลับในทางที่ดีอย่างน้อยแค่คำว่า ขอบคุณ หรือขอบใจน๊ะลูก เป็นต้น และการคาดหวังนี่แหละที่ทำให้คุณทุกข์ และจิตใจห่อเหี่ยวทุกครั้งเมื่อสิ่งที่คุณคาดหวังไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะฉะนั้นถ้าเราทำความดีเพื่อความดีเพื่อการขัดเกลากาย วาจา และจิตใจตนเอง ... ..เราก็ไม่จำเป็นต้องคาดหวังว่าผู้ที่เราทำดีด้วยจะตอบแทนเราหรือไม่ ทุกอย่างเป็นไปตามกฏแห่งกรรม เสมือนการหว่านพืชเช่นไร ย่อมให้ผลเช่นนั้นแต่พืชจะให้ผลก็ต้องอาศัยเวลาและปัจจัยที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นการให้ผลของกรรมเร่งไม่ได้ต้องอาศัยเวลาที่สุกงอมจริงจึงจะให้ผล เพราะฉะนั้น ทำความดีเพื่อความดีเพื่อการขัดเกลากาย วาจา และจิตใจตนเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องคาดหวังไม่ต้องรอในเมื่อสิ่งที่ทำนั้นดีผลก็ต้องดีถึงเวลาที่เหมาะกรรมจะให้ผลเอง

เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้ แต่หลังจากที่เราตั้งเป้าในการทำความดีเพื่อการขัดเกลาตนเองแล้วทำให้รู้สึกได้เลยว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำความดี เพราะเราไม่ได้ทำดีแบบทำธุรกิจคือ ลงทุนไปหนึ่งต้องได้ผลตอบแทนที่มากกว่าหนึ่งเสมอจึงจะถึงจุดที่พอใจถ้าไม่ได้ตามเป้าก็เป็นทุกข์ เราไม่ได้ทำดีเพื่อการสะสมกิเลสซึ่งมีแต่ทำให้รู้สึกหนักกายหนักใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
ครูโอ
วันที่ 26 ก.ย. 2550

ให้ได้เท่าไรก็เท่านั้นตามอัธยาศัย ตามความเหมาะสม ให้ด้วยความจริงใจโดยไม่หวังว่าท่านจะกระทำความดีตอบแทนเรา หรือกล่าวคำที่ทำให้เราพอใจ อีกอย่าง คือเราห้ามใครไม่ให้พูดในสิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจ หรือน้อยใจไม่ได้ ถ้าหากว่ายังไม่หนักแน่นพอ เราก็จะหวั่นไหวไปตามอกุศล หลังจากที่สภาพธรรมนั้นปรากฏได้โดยง่ายครับ ยังไงก็ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปนะ ไม่ควรจะท้อใจ การที่จะเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก และการที่มีโอกาสได้เข้ามาศึกษาพระธรรมซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ก็แสนจะยากยิ่งกว่า เป็นบุญอย่างยิ่งที่จะได้เจริญปัญญาเพื่อการละคลายความทุกข์โศกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเข้าใจพระธรรมมากก็จะทุกข์ใจน้อยลงครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 6 เม.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ