มีธรรมปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ต้องรู้ว่า ขณะที่ฟังไม่เหมือนกับขณะที่ไม่ได้ฟัง เห็นความต่างแม้ในขณะที่ฟัง ฟังอะไร ถ้าฟังธรรม มีธรรมปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าไม่ฟังธรรม ก็คือฟังเรื่องอื่น ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม
ความเข้าใจแม้จากการฟังจะเล็กจะน้อย จะมากสักเท่าไรก็ตาม มาจากไหน ก็ต้องรู้แล้วถึงเหตุที่จะทำให้ได้ฟัง ได้เข้าใจสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่เพียงฟัง เราก็จะไปดับการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ถ้าใครเข้าใจอย่างนั้นผิด ปัญญาไม่ได้เจริญขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นฟัง จนกระทั่งสามารถเข้าใจความเป็นอนัตตา และสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไร เมื่อนั้นก็รู้ความต่างกัน และเมื่อไรที่เข้าใจว่า ปรมัตถธรรมไม่ใช่บัญญัติ ไม่ใช่เรื่องราว เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่มีเรื่องราวเพราะมีจิตที่คิด หลังจากเห็น ก็คิดเรื่องที่เห็น หลังจากได้ยินก็คิดเรื่องที่ได้ยิน
เพราะฉะนั้น จิตเป็นอย่างนี้ ชีวิตเป็นอย่างนี้ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่เป็นวิถีของชีวิต เกิดขึ้นจะต้องเป็นไป ตามนิยาม ตามความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป
รับฟัง ... ฟังจนเข้าใจว่า ปรมัตถธรรมไม่ใช่บัญญัติ

