สนทนาธรรมไทยเนปาล ณ โรงแรม Vannasut กาฏมาณฑุ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๗

 
prinwut
วันที่  26 เม.ย. 2567
หมายเลข  47708
อ่าน  109

สนทนาธรรมไทยเนปาล ๑๑ เมษายน ๒๕๖๗


- โอกาสที่จะได้บูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยคำที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นโพธิสัตว์และมีปัจจัยที่จะประสูติที่ประเทศนี้เพื่อที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- การที่ได้มาถึงประเทศนี้ได้มีโอกาสที่จะได้บูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระธรรมทุกคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้บูชาด้วยอย่างอื่นแต่พระองค์จะประสงค์ให้ทุกคนที่ได้เข้าใจธรรมรู้คุณและบูชาพระองค์ด้วยความเข้าใจคุณของพระองค์

- ขณะที่พระองค์ประสูติและเจริญวัยขึ้นแม้พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรู้ว่าพระองค์จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามบารมีที่ได้สะสมมาถึงความพร้อม แสดงถึงสิ่งที่ประเสริฐที่่สุดไม่มีใครเปรียบได้คือ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ไม่ทราบว่าในภาษาอื่นมีคำว่า “เจ้า” หรือเปล่าแต่ในภาษาไทยหมายความถึงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพียงคำว่า “ยิ่งใหญ่” คำเดียวใครรู้ความหมายบ้าง ยิ่งใหญ่คืออะไรและยิ่งใหญ่ที่สุดสูงสุดเหนือบุคคลทั้งหลายในสากลจักรวาล

- ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้หมายความว่า มีลาภ มียศ มีเกียรติชื่อเสียงต่างๆ เหนือบุคคลอื่น ไม่ใช่เฉพาะในโลกนี้ความยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดๆ ที่เป็นลาภยศทั้งหมดที่ทุกคนต้องการทั้งสวรรค์พรหมโลกทั้งจักรวาล ไม่ใช่ให้คนอื่นคิดแทนเรา ไม่ใช่ให้คนอื่นบอกแต่ต้องเริ่มคิดตั้งแต่เริ่มต้นว่า ยิ่งใหญ่ในอะไรจึงสูงสุดเหนือผู้ใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล ที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้นคือ “พุทธ”

- ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์จะไม่ได้รู้ในความยิ่งใหญ่ในความเป็นผู้ที่มีปัญญาที่เกินความสามารถของใครทั้งสิ้นทั้งสวรรค์และพรหมโลกและมนุษย์ที่จะรู้แม้แต่คำเดียวที่พระองค์ตรัส

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ธัมมะ” เพราะฉะนั้นเราได้ยินคำว่า “ธัมมะ” ต่างคนต่างคิดแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรม ใครรู้ว่าธรรมคืออะไรบ้าง

- ไม่ทราบที่นี่คุ้นเคยกับคำว่า ธรรม ใช้คำนี้ก่อนได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า แต่ไม่ว่าใครจะพูดคำนี้แต่ความหมายของคำนี้ต่างกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพราะฉะนั้นเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ทำอย่างอื่นแต่ฟังทุกคำของพระองค์เพื่อเข้าใจความลึกซึ้งที่พระองค์บำเพ็ญพระบารมีแต่ตรัสรู้ความลึกซึ้งของธรรม

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ คำนี้ง่ายหรือยาก หรือตื้น หรือลึกซึ้ง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมคือ ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเข้าใจทุกคำที่พระองค์ตรัสซึ่งเป็นปัญญาที่สูงสุด ถ้าไม่เข้าใจความหมายของคำนี้จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เพราะฉะนั้นเริ่มฟังความหมายของธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง หมายความว่า เริ่มจะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มจะรู้จักพระองค์

- ทุกคนกำลังเริ่มฟังคำที่จะต้องคิดไตร่ตรอง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ขอเชิญทุกคนคิดแล้วตอบเพราะต้องเป็นความคิดของตัวเองเพื่อที่จะเริ่มเข้าใจว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง

- ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแน่นอนถ้าไม่มีธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นคิดแล้วจะตอบว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครคิดว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่รู้จักธรรมบ้าง มีใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่รู้จักธรรมบ้างคะ

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้จริงไหม เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า ขอคำตอบเรื่องนี้คำนี้คำเดียวเพื่อที่จะเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถามอีกครั้งเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม (สิ่งที่ใช้ในชีวิตในปัจจุบันนี้ต้องมีจริง คือ ธรรม)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 26 เม.ย. 2567

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่เราเห็น แต่เห็นมีจริงเป็นธรรม (จริง) จริงเพราะพระองค์ตรัส หรือจริงเพราะเราเข้าใจความจริง (ที่เรารู้นั่นแหละเป็นความจริง)

- เพราะฉะนั้นเรารู้ว่า เห็นไม่ใช่เรา เรารู้ไหมว่าเห็นเป็นอะไร (พระพุทธองค์สอนไว้ว่าไม่ใช่ว่าที่คำสอนแต่อยู่ที่เรารู้เอง เราสัมผัสเองนั่นคือจริง) ถ้าพระองค์ไม่ตรัสให้เราเข้าใจมากกว่านี้ เราคิดเองได้ไหมว่า เห็นไม่ใช่เรา

- สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้เป็นอนัตตาไหม (สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ใช่อนัตตา) เพราะฉะนั้นเจตนาไม่ใช่เรา (ไม่ใช่เรา) ดีมากต้องมั่นคง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมไม่ใช่เรา มีเจตนาไม่ใช่นก

- ความจริงเปลี่ยนได้ไหม (เปลี่ยนได้) ความจริงเปลี่ยนได้? (ที่พระองค์ตรัสรู้สอนไว้ ความจริงนั้นมันเป็นความจริงเปลี่ยนไม่ได้) เมื่อเป็นความจริงแล้วเปลี่ยนความจริงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นความจริงเป็น ”อริยสัจธรรม“

- เห็นเป็นเห็น แล้วเห็นเป็นได้ยินได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเห็นเป็น ๑ ขณะ ได้ยินเป็น ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นขณะเห็นไม่มีได้ยิน ได้ยินไม่ใช่เห็น เดี๋ยวนี้เห็น ได้ยินอยู่ไหน? (มันทำงานพร้อมกันไปเลยทั้งเห็นทั้งได้ยิน)

- เห็นอะไร (เห็นสิ่งที่อาจารย์กำลังสนทนา) แล้วได้ยินอะไร (ได้ยินอาจารย์ที่สนทนาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า สิ่งนั้นที่ได้ยิน) ดิฉันถามว่า ได้ยินอะไร? (สิ่งที่เราสนทนาธรรม) ไม่ใช่ (มันลึกซึ้ง)

- แน่นอน ถูกต้องค่ะ ยินดีด้วยที่ได้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งแม้เพียงเห็นกับได้ยินก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งชีวิตที่เกิดมามีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีสิ่งที่กระทบสัมผัสทุกวันไม่ขาดเลยแต่ไม่รู้ความจริงจนกว่าจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นไหม (เริ่มแล้ว) พอหรือยัง (ต้องศึกษาลึกซึ้งก้าวหน้าไปเรื่อยๆ) ยินดีด้วยอย่างยิ่งที่มีผู้ที่เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ถ้ารู้จักพระองค์นิดเดียวก็เคารพนิดเดียวแต่ถ้ายิ่งรู้จักมากขึ้นจะเคารพยิ่งขึ้นตามความลึกซึ้งที่เข้าใจ

- ถ้าเพียงฟังคำและได้ยินคนอื่นพูดถึงคำนั้นหรืออ่านพระไตรปิฎกด้วยตัวเองแต่ไม่มีการสนทนากันจะเข้าใจในความลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม (แค่การศึกษาไม่พอ ต้องสนทนาและศึกษาในชีวิตประจำวันจะได้ประโยชน์มากกว่า) นี่เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทะเจ้าตรัสเป็นมงคลในมงคล ๓๘

- เพราะฉะนั้นคนที่คิดว่านับถือพระพุทธศาสนาแต่ไม่รู้จักไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับถือไหม (ถ้ารู้จักพระองค์จะยิ่งศรัทธามากขึ้นยิ่งเลื่มใส) เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้านับถือพระองค์สูงสุดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องฟังทุกคำละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น

- กำลังเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสความจริงเรื่องเห็นว่าอย่างไร (สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราสัมผัส รู้สึก เข้าใจนั่นก็คือเป็นความจริง) เราไม่พูดเรื่องอื่นเพราะเห็นลึกซึ้ง)

- ถ้าเข้าใจความลึกซึ้งของเห็นจะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมเพิ่มขึ้น สิ่งที่มีจริงลึกซึ้งมากถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้จะไม่มีใครรู้ความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้เลย ทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมดถ้าไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะละหรือดับความยึดถือว่าเป็นเราได้

- ชีวิตทุกชีวิตดำรงอยู่ชั่ว ๑ ขณะเท่านั้น จากขณะเกิดทีละขณะๆ ทุกวันจนถึงวันนี้และวันต่อๆ ไป ถ้าไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ๑ ขณะก็จะไม่รู้ความจริงของขณะอื่นๆ

- เพราะฉะนั้นขณะเห็นจะไปรู้ความจริงของได้ยินได้ไหม (อินทรีย์ของเราทำงานคนละด้าน สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (แต่ละขณะ)

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 26 เม.ย. 2567

- เพราะฉะนั้นขณะได้ยิน เห็นอยู่ไหน (ทุกขณะตาก็ทำงานของตา หูก็ทำงานของหู) พร้อมกันได้ไหม ๑ ขณะ (ใช่ ทั้งสองทำงานพร้อมกัน) ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ต้องได้ยินตลอดเวลาเพราะเห็นตลอดเวลา (ไม่ได้ยินตลอดเวลา) ก็เพราะเหตุว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินเห็นอยู่ไหนเพราะเห็นไม่ใช่ได้ยิน (ไม่ทราบ)

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มีเห็น เห็นเกิดเองไม่ได้ต้องมีปัจจัยอาศัยทำให้เห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นแล้วดับทันที ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา” ความหมายของดับคือ ไม่กลับมาอีกเลย “สุญญตา”

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้ดับ เกิดแล้วดับ เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้นอกจากเห็น ก่อนเห็นไม่มีเห็นแล้วเห็นก็เกิดแล้วดับ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

- สิ่งที่ยังไม่เกิดมีปัจจัยให้เกิดขึ้นแล้วดับเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับแล้วจะเป็นเราหรือของเราได้ไหม (ไม่ได้) เราเมื่อวานนี้อยู่ไหน (อยู่ที่สุญญตา) ไม่มีเรา หมดเลย เราเมื่อวานนี้หมดเลย เราเดี๋ยวนี้ก็หมดเดี๋ยวนี้ไม่เหลือเลยเป็นอนัตตาทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่มีคนไม่มีสัตว์แต่ทั้งหมดเป็นธรรม (ใช่ นั่นแหละคือธรรม)

- กำลังได้ยินเสียงแล้วเสียงที่ได้ยินก็หมดคือดับ ไม่เคยรู้ความจริงนี้เลยจึงมีความเห็นผิดว่าเป็นเรา ถ้ามีความเห็นถูกจริงๆ จนรู้ความจริงก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคุณสูงสุดของพระองค์

- ที่เกิดมาไม่มีอะไรเหลือทุกขณะแต่เข้าใจว่ายังอยู่ทุกขณะจนกว่าจะตาย เกิดเมื่อไหร่ชาติไหนก็เป็นอย่างนี้ ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปจะรู้ความจริงละเอียดลึกซึ้งขึ้นจนสามารถประจักษ์ความจริงเป็น “อริยสัจจธรรม” การเข้าใจอย่างนี้ประเสริฐยิ่งกว่าการบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ธูปเทียนใดๆ ทั้งสิ้นเพราะบูชาพระองค์ด้วยการเข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจธรรมเมื่อไหร่บูชาพระองค์เมื่อนั้น

- มีอะไรจะถามหรือสนทนาไหม (ดีใจมากที่ได้สนทนาธรรมกับอาจารย์สุจินต์ ดีใจอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์ได้เขียนหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป อยากให้อาจารย์พูดถึงสาระของหนังสือที่ท่านอาจารย์เขียน) คุณนีน่าเป็นคนแปล (อยากให้อาจารย์พูดถึงสาระของหนังสือเล่มนั้น)

- ดิฉันเริ่มศึกษาพระธรรม เห็นความลึกซึ้งของพระธรรมอย่างยิ่งรู้ว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจจะอ่านพระไตรปิฏกไม่เข้าใจเลย ในพระไตรปิฏกมีคำว่า “ธรรม” แต่ก็ไม่รู้จักจริงๆ ว่าธรรมคืออะไร แต่เมื่อมีความเคารพในทุกคำก็ไตร่ตรองคำนั้นจนกระทั่งรู้ว่า แม้ว่าจะเรียนมานานแล้วแต่ถ้าไม่เริ่มต้นให้ถูกต้องจะไม่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรมได้

- ผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อ่านหนังสือแต่ว่าจะเข้าใจเองได้น้อยมากเพราะเหตุว่าการเริ่มต้นยังไม่เข้าใจละเอียดและมั่นคง เช่น มีหนังสือที่ท่านพระอนุรุทธาจารย์ได้รจนาประมาณ พ.ศ. ๑๐๐๐ หลังจากปรินิพพาน ท่านไม่ไกลจากคำสอนเพียงประมาณพันปี

- เพราะฉะนั้นคนในยุคพุทธกาลได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์เป็นผู้ที่ได้สะสมบารมีมาจนกระทั่งสามารถที่ฟังแล้วเข้าใจ แต่ว่าถ้ายังไม่มีการศึกษาเลยจะเข้าใจอย่างนั้นไม่ได้

- หนังสืออภิธรรมมัตถสังคหเริ่มต้นด้วยจิตประเภทต่างๆ กล่าวถึงอกุศลจิต ๑๒ ประเภท แต่คนยุคนี้ยังไม่รู้จักจิตไม่รู้จักธรรมมาก่อน เพราะฉะนั้นฟังคำว่าจิตเป็นอกุศล ๑๒ ประเภทจะเข้าใจได้แค่ไหนนอกจากจำ เพราะฉะนั้นเช่นเดียวกับคนยุคนี้สมัยนี้ไม่ว่าที่ไหน กำลังฟังอย่างนี้เข้าใจจิตหรือยัง เพราะฉะนั้นความเข้าใจของแต่ละคนก็ต่างกันตามยุคตามสมัย

- ถ้าสะสมมามากพอได้ฟังพระธรรม ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าได้ฟังคำของสาวกก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ความสนใจและการสะสมของคนยุคนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนในสมัยพุทธกาล คนยุคนี้เพียงได้ยินคำว่า “พระพุทธศาสนา” เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ไม่รู้ว่าว่าแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดงหมายความว่าอะไรลึกซึ้งแค่ไหน เมื่อได้ศึกษาด้วยตัวเองก็เห็นว่า ถ้าความรู้ในเบื้องต้นไม่มั่นคงไม่พอก็จะเห็นผิดได้

- คนยุคนี้คิดถึงแต่กิจการงานหน้าที่ธุระกิจกรรมต่างๆ ลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่แสนสั้นก็คือ การที่สามารถที่จะเข้าใจในความจริงจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 26 เม.ย. 2567

- เมื่อเห็นความลึกซึ้งของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ว่า เพียงแต่อ่านและขาดการไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบทั้งหมดก็ไม่สามารถที่จะรู้จักสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดลึกซึ้งตั้งแต่ต้นเพราะธรรมละเอียดยิ่ง เช่น จิตที่เป็นอกุศล ๑๒ ประเภท ฟังเข้าใจใช่ไหมแต่อยู่ไหน เห็นไหมเพียงคิดแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์ลักษณะที่แท้จริงคือ การเกิดดับของทุกอย่างที่เกิดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ

- เพราะฉะนั้นเป็นผู้ไม่ประมาทเพราะก่อนปรินิพพานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” ถ้าคิดว่าได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนับถือ ประมาทไหม? เพราะฉะนั้นได้ยินชื่อแล้วนับถือไม่ใช่การรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ จนกว่าจะเริ่มต้นสนทนาอย่างที่เราได้สนทนากัน เพราะฉะนั้นนี้เป็นเหตุให้เขียนหนังสือเล่มนี้เพราะคิดว่าต้องมีพื้นฐานจริงๆ ที่มั่นคงก่อน

- เมื่อไม่ประมาทก็ฟังทุกคำละเอียดขึ้นเพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่เกิดเป็นธรรมเท่านี้ไม่พอจนกว่าจะมีความมั่นคงขึ้นตามลำดับ การศึกษาทุกอย่างต้องเริ่มไปตามลำดับ จะมีความเข้าใจมากขึ้นโดยไม่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้นอย่างละเอียดเป็นไปไม่ได้

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจจธรรม ๓ รอบ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำจึง “ทำ” วิปัสสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ให้ “เข้าใจ”ไม่ใช่ให้ทำ

- เพราะฉะนั้นเรากำลังเริ่มต้นฟังธรรมซึ่งเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๑ เพื่อเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้คนอื่นได้รู้หนทางที่จะรู้ความจริงนี้ด้วย ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจใครจะรู้สภาพธรรมจริงๆ ขณะนี้ได้ ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ก็ไม่ใช่อริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะมีความรู้ยิ่งกว่านี้ได้ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ตามลำดับ

- ปริยัติ หมายความว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเข้าใจ “รอบรู้” ไม่ขัดหรือไม่ค้านกันเลยเพราะความจริงต้องเป็นความจริง

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นสัจจธรรม อะไรเป็นอริยสัจจธรรม สามารถที่จะมีความเข้าใจจนถึงระดับประจักษ์แจ้งความจริงได้ไหม เห็นประโยชน์ของการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง

- พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งเพราะฉะนั้นต้องฟังจนรอบรู้ เพราะฉะนั้นการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ใช่ทำแต่เข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริง จะฟังต่อไปไหม (จะฟังอีก) นี่คือวิริยะบารมีเพื่อสัจจะรู้แจ้งสัจจธรรมเป็นสัจจบารมี

- เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจว่า การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ง่ายอีกนานมากว่าความรู้จะค่อยๆ รู้ทีละเล็กทีละน้อย ไม่รู้มานานเท่าไหร่แล้ว? ไม่ใช่ไม่รู้ชาตินี้เท่านั้น ชาติก่อนๆ ก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้กี่พระองค์ผ่านไปก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นอีกนานเท่าไหร่ไม่ต้องคิดเลยแต่ก็รู้ได้ถ้าฟังด้วยความอดทน ด้วยความเพียร ด้วยความตรง ซึ่งเป็นบารมีทั้งหมด

- ถ้าขาดบารมี ๑๐ ทุกชาติจะสามารถรู้ความจริงได้ไหม แต่ถ้ารู้ว่าสามารถรู้ความจริงได้ด้วยความเข้าใจจริงๆ ลึกซึ้งขึ้นๆ จนกระทั่งสามารถที่ถึงเวลาที่จะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรม สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรม” คือเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นผู้ที่กำลังบำเพ็ญบารมีขณะนี้ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าบารมีคือคุณความดีทั้งหมดเพราะขณะใดที่คุณความดีเกิดขึ้นขณะนั้นความไม่รู้และความไม่ดีก็เกิดไม่ได้

- เพราะฉะนั้นไม่ทราบว่าจะพบกันอีกไหมชาติหน้าแต่ว่าทุกคนก็ได้ฟังธรรม ถ้ามีความเข้าใจประโยชน์สูงสุดก็คงจะบำเพ็ญบารมีต่อไปทุกชาติ

- ก็ยินดีอย่างยิ่งในกุศลของทุกท่านและคิดกว่าทุกคนก็ปลาบปลื้มยินดีอย่างยิ่ง ก็ยินดีด้วยอย่างยิ่งและหวังว่าทุกคนก็จะบำเพ็ญบารมีต่อไป

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 26 เม.ย. 2567

กราบนมัสการอนุโมทนาพระคุณเจ้าภัณเตสุมังคโลผู้แปลภาษาเนปาลี

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลผู้ร่วมฟัง ร่วมสนทนาทั้งชาวไทยและชาวเนปาล

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น คณะอาจารย์และกราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 26 เม.ย. 2567

กราบนมัสการท่านภันเต สุมังคโล

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิเป็นอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 27 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 30 เม.ย. 2567

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kanchana.c
วันที่ 30 เม.ย. 2567

อนุโมทนาในกุศลวิริยะของน้องตู่ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ