รู้จักกาลและเทศะกล่าวธรรม
ต้องรู้จักอัธยาศัย และต้องรู้จักกาลและเทศะด้วยว่า ในสถานที่นั้น ควรกล่าวธรรมไหม หรือในเวลานั้น ควรจะกล่าวธรรมไหม ถ้าไม่ใช่กาลเทศะที่สมควร ชื่อว่าไม่ได้กล่าว เพราะว่าไม่มีผู้รับ การกล่าวนั้นก็เปล่าประโยชน์
รับฟัง ... กัสสปโคตตสูตร
การฟังพระธรรมเป็นเรื่องยาก ถ้าบุคคลนั้นไม่เคยสะสมบุญมาก่อนในอดีต ย่อมไม่ได้ลาภ คือ ศรัทธา แม้ในการฟัง เพราะย่อมมีเหตุการณ์หลายอย่างที่จะขัดขวางการฟังธรรม ไม่ให้ดำเนินไปด้วยดี ตามอัธยาศัยที่สะสมมา
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค กัสสปโคตตสูตร ข้อ ๗๖๖ - ข้อ ๗๖๗ มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง ท่านพระกัสสปโคตรพำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล สมัยนั้นแล ท่านอยู่ในที่พักกลางวัน กล่าวสอนนายพรานเนื้อคนหนึ่ง ฯ
นี่เห็นกุศลจิตของท่านพระเถระรูปหนึ่งซึ่งหวังดีต่อนายพรานเนื้อ แต่การฟังธรรมเป็นเรื่องยาก ตามเหตุการณ์ และการสะสมของแต่ละบุคคล
ครั้งนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ในป่านั้น มีความเอ็นดูใคร่ประโยชน์แก่ท่าน พระกัสสปโคตร หวังจะให้ท่านสลดใจจึงเข้าไปหา แล้วได้กล่าวกะท่านด้วยคาถาว่า
ภิกษุผู้กล่าวสอนนายพรานเนื้อซึ่งเที่ยวไปตามซอกเขา ผู้ทรามปัญญา ไม่รู้ เท่าถึงการณ์ ในกาลอันไม่ควร ย่อมปรากฏแก่เราประดุจคนเขลา เขาเป็นคนพาล ถึงฟังธรรมอยู่ก็ไม่เข้าใจเนื้อความ แสดงประทีปโพลงอยู่ก็ไม่เห็น เมื่อท่านกล่าว ธรรมอยู่ ย่อมไม่รู้เนื้อความ ข้าแต่ท่านกัสสป ถึงแม้ท่านจักทรงประทีปอันโพลงตั้ง ๑๐ ดวง เขาก็จักไม่เห็นรูป เพราะจักษุ (คือ ญาณ) ของเขาไม่มี ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระกัสสปโคตรผู้อันเทวดานั้นให้สังเวช ถึงซึ่งความสลดใจแล้ว ฯ
ซึ่งข้อความในอรรถกถาอธิบายว่า
พรานล่าเนื้อคนนั้นกินข้าวเช้าแล้วคิดว่า เราจักไปล่าเนื้อ เขาก็ได้เข้าไปสู่ป่าเห็นละมั่งตัวหนึ่ง คิดว่า เราจักประหารด้วยหอก และติดตามละมั่งตัวนั้นไป หลีกไปในที่ไม่ไกลที่พระเถระนั่งในที่พักกลางวัน
ลำดับนั้นท่านพระเถระจึงกล่าวกะเขาว่า อุบาสก ขึ้นชื่อว่าปาณาติบาต นี้ เป็นไปเพื่ออบาย เป็นไปด้วยเหตุให้มีอายุสั้น เขาอาจจะทำการเลี้ยงครอบครัวด้วยการงานอย่างอื่น มีการกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้นก็ได้ ท่านอย่าทำกรรม หยาบช้าอย่างนี้เลย
ถ้าเห็นใครตกปลา ยุคสมัยตกปลา หรือเห็นใครล่าสัตว์ จะไปบอกเขาว่า ขึ้นชื่อว่าปาณาติบาตนี้ เป็นไปเพื่ออบาย เป็นไปด้วยเหตุให้มีอายุสั้น ซึ่งคนนั้นอาจจะทำไปด้วยความสนุก แต่สำหรับนายพรานเขาทำเพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่ แม้อย่างนั้น ท่านพระกัสสปโคตรก็กล่าวว่า เขาอาจจะทำการเลี้ยงครอบครัวด้วย การงานอย่างอื่นมีการกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้น ท่านอย่าทำกรรมหยาบช้าอย่างนี้เลย
แม้นายพรานนั้นก็คิดว่า พระเถระผู้ถือผ้ามหาบังสุกุลพูด จึงเริ่มยืนฟังด้วยความเคารพ
ลำดับนั้นท่านพระเถระนั้นคิดว่า เราจักยังความใคร่ฟังให้เกิดแก่เขา จึงยัง นิ้วมือให้ลุกโพลงขึ้น
ท่านเป็นผู้ที่ทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ จึงคิดว่า ถ้าบุคคลนั้นเห็นอิทธิปาฏิหาริย์ ย่อมเกิดความเลื่อมใสและคงจะตั้งใจฟังธรรม ท่านจึงทำให้นิ้วมือของท่านลุกโพลงขึ้นทั้ง ๑๐ นิ้ว
เขาเห็นแม้ด้วยตา ได้ยินแม้ด้วยหู แต่จิตใจของเขาแล่นไปตามรอยเท้าเนื้ออย่างนี้ว่า เนื้อจักไปสู่ที่โน้น ลงท่าโน้น เราจักไปฆ่ามันในที่นั้น กินเนื้อตามต้องการแล้วจักหาบเนื้อที่เหลือไปฝากลูกๆ
นี่คือความคิดตลอดเวลาในขณะที่กำลังฟังธรรม
บทว่า อัชฌภาสิ ความว่า พระเถระนี้ยังการงานของตนทั้งของพรานนั้น ให้พินาศ เหมือนอย่างคนถากของคนอื่นที่ไม่ใช่ไม้ฟืน เหมือนอย่างคนหว่านข้าวในที่ไม่ใช่นา จึงได้กล่าวเตือนท่านพระกัสสปโคตร
ซึ่งท่านเป็นปุถุชนผู้มีฤทธิ์ แต่ยังไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคล
ท่านพระกัสสปโคตรคิดว่า จะมีประโยชน์อะไรแก่เรากับพรานนี้ จึงประคองความเพียรดำเนินตามอรหัตตมรรคที่เป็นธรรมวิเวก
ถ . ขณะที่นายพรานฟังท่านกัสสปโคตร จิตระลึกแต่ในเรื่องที่เดี๋ยวจะไปเอาเนื้อ เดี๋ยวจะเอาเนื้อไปให้ลูกกิน เนื้อจะไปที่ไหนต้องตามไปฆ่า ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการฟังธรรม ใช่ไหม
สุ. ไม่ได้ประโยชน์ทั้งผู้ฟังและผู้กล่าวธรรม
ถ . แม้ผู้กล่าวจะเป็นใครก็แล้วแต่
สุ. เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักอัธยาศัย และต้องรู้จักกาลและเทศะด้วยว่า ในสถานที่นั้น ควรกล่าวธรรมไหม หรือในเวลานั้น ควรจะกล่าวธรรมไหม ถ้าไม่ใช่กาลเทศะที่สมควร ชื่อว่าไม่ได้กล่าว เพราะว่าไม่มีผู้รับ การกล่าวนั้นก็เปล่าประโยชน์ [ตอนที่ 1464]

