ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๑

 
khampan.a
วันที่  16 ก.ค. 2566
หมายเลข  46269
อ่าน  6,938

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๑



~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด และพระธรรมที่ทรงแสดงจากการที่ตรัสรู้ จึงใช้คำว่าพระธรรม เพราะว่ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้คนอื่นได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ฟังธรรม ก็คือ ฟังสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดาและทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

~ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหลังจากที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ให้ทุกคนเริ่มละคลายความติดข้องในความเป็นเรา
ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดโทษมากมายมหาศาล เพราะเหตุว่ามีความติดข้องในเรา ทุกอย่างเพื่อเรา สามารถที่จะกระทำทุจริตก็ได้
หารู้ไม่ว่า ทุกอย่างต้องตามเหตุ ธรรม เป็น ธรรม ธรรมฝ่ายดี จะให้ผลไม่ดี ไม่ได้ ธรรมที่ไม่ดี ทำให้เกิดผล ต้องเป็นผลที่ไม่ดี

~ สำหรับผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะประเสริฐเท่ากับมีโอกาสได้ฟังคำของพระองค์ที่ตรัสไว้ดีแล้ว หายากมากบุคคลผู้เป็นเลิศสูงสุดที่เป็นที่เคารพสูงสุดทั้งในโลกนี้ ในสวรรค์เทวโลกและในโลกอื่นด้วย แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจคำของพระองค์ จะไม่เห็นค่าเลย แต่พอเข้าใจคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เริ่มรู้จักพระคุณของพระองค์

~ การสนทนาธรรม จะนำมาซึ่งการที่เราเคยเข้าใจอย่างไร ลองพิจารณา ว่า สิ่งที่เราเคยคิดเคยเข้าใจมาแล้วนั้น ผิดหรือถูกประการใด เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเชื่อในความคิดของเราหรือในความคิดของคนอื่น แต่ตรงตามความเป็นจริง จึงสมควรที่จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น

~ การที่เราสนทนาธรรม จะรู้ได้เลยว่าใครเป็นมิตรที่ดี มิตรที่ดีไม่ให้สิ่งที่ผิด แต่ให้สิ่งที่ตรงและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่สำคัญว่าใครจะรักจะชังจะโกรธจะติเตียนอย่างไรก็ตาม แต่คำจริงมาจากความหวังดีที่จะให้คนอื่นเข้าใจถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้น ชาวพุทธมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่าง ในสมัยของพระองค์ก็มีผู้ที่กล่าวติเตียนพระองค์หลายคน แต่ไม่เดือดร้อนเลยเพราะสงบอย่างยิ่งจากอกุศล และก็มีความหวังดีเป็นยอดกัลยาณมิตร ไม่มีใครมีความหวังดีเป็นมิตรเสมอกับพระองค์ได้ เพราะให้ทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์กับคนฟัง แล้วก็ด้วยพระมหากรุณาที่แม้เขาจะอยู่แสนไกล พระองค์ก็เสด็จไป เพราะรู้ว่าคนนี้ฟังแล้วสามารถเข้าใจธรรมได้

~ ความไม่รู้ปิดกั้นมานานแสนนาน จึงทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ เหตุการณ์ต่างๆ ปัญหาต่างๆ มากมาย เพราะความไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร สิ่งที่ไม่ดีจะดีไม่ได้ สิ่งที่ผิดจะถูกไม่ได้ ต้องเป็นคนที่ตรงกว่าจะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเพื่อเป็นหนทางให้เราได้รู้ความจริงอย่างนั้นด้วย จึงเป็นสาวก (ผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เป็นพุทธบริษัทที่เห็นคุณของการที่ได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตรัสรู้ให้เราได้รู้ตามด้วย เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้เองได้

~ ใครก็ตามที่กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะรู้คุณของพระองค์ เพราะเข้าใจคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสจริงๆ เห็นคุณค่าจริงๆ เป็นชาวพุทธ

~ ไม่มีเรา เพราะอะไร? เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด ชอบเป็นชอบทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ กำลังโกรธจะเปลี่ยนโกรธให้เป็นพอใจยินดีเป็นสุข ก็ไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่มีใครไปทำเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงเหตุปัจจัยครบถ้วนทุกประการในทุกคำของพระองค์ว่าสิ่งนั้นๆ เกิดขึ้นเพราะอะไรแล้วก็เป็นอะไร อาศัยกันและกันเกิดขึ้นอย่างไร

~ ถ้าเราทำความดีขณะใด ขณะนั้นใจไม่เดือดร้อน เป็นสุขตั้งแต่ขณะที่ทำ เพราะฉะนั้น ผลที่ตามมา ก็เป็นคนที่ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้หวังอะไรจากการกระทำสิ่งนั้น แต่ทำเพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำ เป็นประโยชน์

~ ขณะใดก็ตาม ระลึกได้ว่าสิ่งนั้นไม่ควร ก็ไม่ทำ งดเว้นเสียตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป แล้วก็จะมีแต่คุณความดี ไม่ต้องไปขอใครเลยทั้งสิ้น เพราะเขาให้ไม่ได้ คนตาบอดไปขอให้ตาดี ใครจะทำให้ตาดีได้ ใครจะเอาตาดีมาให้ได้? แต่ตาเขาบอดเพราะอะไร? เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว

~ คนที่ตาย จะเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้สักขณะเดียว ไปอ้อนวอนขอร้องบอกแพทย์อย่างไรๆ ก็ไม่มีทางที่จะทำให้ไม่ตายได้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ความตายจะเกิดขึ้น ยับยั้งไม่ได้ ตายทันที และไม่กลับมาเป็นคนนี้อีกต่อไป

~ ทุกครั้งที่ฟังธรรม ไม่ได้เพื่อลาภ ไม่ได้เพื่อยศ ไม่ได้เพื่อความสุขเล็กๆ น้อยๆ หรือจะมากมายสักเท่าไหร่ทุกอย่างก็หมดสิ้นไป แต่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยสามารถที่จะติดตามไป ทรัพย์สมบัติติดตามไปไม่ได้เลย อย่างที่มีคนบอกว่า ย้ายบ้าน เราขนของไปได้หมด ใช่ไหม? แต่ย้ายภพ ย้ายชาติ ไม่มีสิ่งใดที่จะติดตามไปได้เลย นอกจากสิ่งที่สะสมไว้ในชาตินี้ ดี ชั่ว ในชาตินี้ ไม่ได้สูญหายไป แต่สะสมพร้อมที่จะให้ผลในขณะต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ต้องศึกษาทุกคำ

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ว่า ไม่มีใครรู้ เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วจึงทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเริ่มฟัง เริ่มคิดเริ่มไตร่ตรอง เริ่มสอบสวน เริ่มเข้าใจว่าจริงไหม นี่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงไหม?

~ ต้องไม่ลืมว่า ทุกคำที่ฟัง ต้องเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น นอกจากแต่ละหนึ่งๆ ที่เป็นธรรมนั้น

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์คุณค่ามหาศาล เพราะเหตุว่า เกิดมาต้องตายแน่ แต่รู้ความจริงเข้าใจความจริง ก่อนจะจากโลกนี้ไป ดีไหม? แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ได้ไหม?

~ แต่ละหนึ่งที่เป็นธรรมที่มีจริง เป็นอนัตตา ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิดว่าจริงไหม? เพราะเกิดแล้วต้องแก่ใช่ไหม? ต้องเจ็บใช่ไหม? ต้องตายใช่ไหม? แล้วเที่ยงไหมล่ะ? เดี๋ยวก็เห็น เดี๋ยวก็ได้ยิน เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ ก็แสดงความจริงทุกขณะว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งใครๆ ก็บันดาลไม่ได้เลย แต่มีเหตุมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

~ ความเห็นผิด อันตรายที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะถ้าวันนี้ผิด ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ผิดต่อไป ไม่มีวันที่จะกลับมาหาความเห็นถูกได้ น่าเสียดายไหม พลาดโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริง

~ ปัญญา เห็นความถูกต้อง ว่า ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ปัญญานั้นเองก็จะรู้ว่าควรจะอบรมเจริญสิ่งใดให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาแล้วความดีทั้งหลายก็เจริญขึ้น ความไม่ดีทั้งหลายก็ลดน้อยลง

~ ไม่เว้นโอกาสที่จะเป็นกุศล (ความดี) เพราะปัญญาเห็นคุณของกุศล ถ้าขณะใดกุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศล ประมาทแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญา ขณะนั้นปัญญาต่างหาก ที่ทำให้เจริญกุศลทุกประการ

~ คนกิเลสมากเป็นอย่างไร พฤติกรรมทางกายทางวาจาเกิดจากใจซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสมากเท่าไหร่ การกระทำทางกาย ทางวาจา ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ากิเลสน้อยลง ความดีก็เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ดับกิเลสตามลำดับขั้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๐



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เจียมจิต สุขอินทร์
วันที่ 16 ก.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เจียมจิต สุขอินทร์
วันที่ 16 ก.ค. 2566

ย้ายบ้าน เราขนของไปได้หมด ใช่ไหม? แต่ย้ายภพ ย้ายชาติ ไม่มีสิ่งใดที่จะติดตามไปได้เลย นอกจากสิ่งที่สะสมไว้ในชาตินี้ ดี ชั่ว ในชาตินี้ ไม่ได้สูญหายไป แต่สะสมพร้อมที่จะให้ผลในขณะต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ต้องศึกษาทุกคำ

~ ~ ~ ~

ไพเราะมากค่ะ

กราบอนุโมทนายิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suporn71
วันที่ 16 ก.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ในความเมตตาธรรมค่ะ

กราบอนุโมทนาอจ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
swanjariya
วันที่ 16 ก.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tim7755tim
วันที่ 16 ก.ค. 2566

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 16 ก.ค. 2566

ฟังธัมมาท่านให้ ไม่หยุด คงมั่นอันประดุจ เพชรได้ พึงขอกราบในพุทธ ปีติ นั่นแล นบอาจารย์สุจินต์ไว้ ยกเกล้าตลอดมา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 16 ก.ค. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 17 ก.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kukeart
วันที่ 18 ก.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lai
วันที่ 18 ก.ค. 2566

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nattawan
วันที่ 19 ก.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
มังกรทอง
วันที่ 19 ก.ย. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ