วันวิสาขบูชา

 
มศพ.
วันที่  1 มิ.ย. 2566
หมายเลข  46041
อ่าน  1,235

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย



“วันวิสาข
บูชา


วันวิสาขบูชา (การบูชาในวันเพ็ญเดือน )

วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนา ดังนี้ คือ

. เป็นวันที่พระโพธิสัตว์ ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เกิดมาเป็นภพสุดท้าย ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป (วันประสูติ)

ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๘๘ แสดงความเป็นจริงวันประสูติ ดังนี้

... พระโพธิสัตว์ ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดูทิศตะวันออก จักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่งเป็นอันเดียวกัน พวกเทวดาและมนุษย์ในที่นั้นต่างพากันบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กราบทูลว่า ข้าแต่ท่าน บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มี คนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหน พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศแม้ทั้ง ๑๐ คือ ทิศใหญ่ ๔ ทิศเล็ก ๔ เบื้องล่าง เบื้องบน ก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับตน ทรงดำริว่านี้เป็นทิศเหนือ แล้วได้เสด็จไปโดยย่างพระบาท ๗ ก้าว มีท้าวมหาพรหมกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามเทวบุตรถือพัดวาลวีชนี และเทวดาเหล่าอื่นมีมือถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือเดินตามเสด็จ ต่อจากนั้นประทับยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงเปล่งอาสภิวาจา [วาจาแสดงความยิ่งใหญ่] เป็นต้นว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก ทรงบรรลือสีหนาทแล้ว


. เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้ธรรมถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรมโดยชอบด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครเป็นอาจารย์ ไม่มีใครเป็นผู้สอน (วันตรัสรู้)

ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ ๑๗๘ แสดงถึงเหตุการณ์ในวันตรัสรู้ ดังนี้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต ทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว ทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมและปฏิโลม ในเวลาอรุณขึ้นทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นอนก ความเกิดบ่อย เป็นทุกข์ แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงธรรม ปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว


. เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพาน (วันปรินิพพาน)

ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๒๒ แสดงถึงพระวาจาครั้งสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต


(นอกจากนั้นแล้ว วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ยังมีความสำคัญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในส่วนปลีกย่อยอีก คือ ย้อนไปเมื่อ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ วันนี้ เป็นวันที่พระโพธิสัตว์ เมื่อครั้งเป็นสุเมธดาบส ได้รับการพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์, วันนี้ เป็นวันที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ (ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้) เกิดขึ้น และ วันนี้ เป็นวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์)


แต่ละขณะๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ละบุคคลที่เกิดมาล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น จะเป็นวันไหนนั้นย่อมไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ล่วงหน้าได้เลย เพราะมีอยู่ ๕ อย่าง ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกให้รู้ล่วงหน้าได้เลย คือ ชีวิตจะดำรงอยู่อีกยาวนานเท่าใด ๑ จะตายเมื่อไหร่ ๑ จะตายที่ไหน ๑ จะตายด้วยโรคอะไร ๑ และตายแล้วจะไปเกิด ณ ที่ใด ๑

เมื่อพุทธศาสนิกชนน้อมระลึกถึงวันวิสาขบูชาด้วยความถูกต้องแยบคาย ย่อมเห็นความจริงที่ว่าทุกคนตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด ก็ยังต้องเกิด มีการเกิดอยู่ร่ำไป จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ภพแล้วภพเล่า อย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่มีบุคคล บุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ทรงรู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ เพราะเมื่อมีการเกิด จึงนำมาซึ่งความแก่ ความเจ็บ และความตายในที่สุด นำมาซึ่งทุกข์ประการต่างๆ อีกมากมาย พระองค์จึงได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีสะสมคุณความดีทุกประการ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ทรงเป็นพระมหาสัตว์ (พระโพธิสัตว์ผู้สะสมอบรมบารมีเพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัปป์ เมื่อพระบารมีของพระองค์ทรงเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ทำให้พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ดับกิเลสทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาดโดยไม่มีเหลือ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว การบำเพ็ญพระบารมีของพระองค์ ตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขย กับอีกแสนกัปป์ ไม่ได้บำเพ็ญมาเพื่อประโยชน์เฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลก ให้บรรลุธรรม หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงตามพระองค์ด้วย พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรมประกาศความจริงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก เป็นเวลานานถึง ๔๕ พรรษา นับคำประมาณไม่ได้เลย และในที่สุด เป็นความจริงที่ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ถึงแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความตายไปได้ พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน (ตาย) เช่นกัน แต่เป็นการตายที่ไม่ต้องมีการเกิดอีกต่อไป

เมื่อพุทธศาสนิกชนพิจารณาเห็นความจริงอย่างนี้ ย่อมน้อมระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก ที่จะต้องมีความตายเป็นธรรมดาเหมือนกันหมดทุกคน จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตนี้ สั้นแสนสั้นมาก จะเป็นผู้ที่ประมาทในชีวิตไม่ได้เลย ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่จะเจริญกุศลสะสมความดีทุกประการ พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเป็นปัญญาของตนเอง จึงจะทำให้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ วันวิสาขบูชา นี้ เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง คือ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาและกุศลธรรมทั้งปวง


... ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน ...


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ