ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๔

 
khampan.a
วันที่  28 พ.ค. 2566
หมายเลข  46034
อ่าน  6,576

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๔



~ ถ้าไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่เห็นความละเอียดลึกซึ้งของแต่ละคำ ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจในคำสอนที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทุกอย่างก็ผิดพลาด เพราะไม่ได้รู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง

~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เริ่มเข้าใจ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ละคำที่ได้ฟังแล้ว ต้องไตร่ตรองเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แสดงว่า ต้องมีจริงทุกหนทุกแห่ง อะไรที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด

~ ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าทุกขณะเป็นธรรม ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย แม้แต่เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ความลึกซึ้งของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด โดยเข้าใจจริงๆ ก็ไม่สามารถเห็นความลึกซึ้งของธรรมได้

~ สภาพธรรมทั้งหลายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลในขณะนี้ เป็นสิ่งที่พึงน้อมจิตเข้าไปพิจารณา เพื่อให้รู้จริงว่า สภาพธรรมนั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว

~ การบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ก็ยังไม่เป็นการเคารพอย่างสูงสุด เพราะว่า พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงหวังดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อหวังให้สาวกได้ดับกิเลสเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย แต่ก่อนที่จะดับกิเลสได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรงและต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง

~ ถ้าคฤหัสถ์มีเมตตาต่อพระภิกษุ ก็ไม่ให้เงินแก่พระภิกษุ นั่นคือคฤหัสถ์ผู้มีเมตตาหวังดี แต่ถ้าคฤหัสถ์ให้เงินพระภิกษุแล้วจะบอกว่าเป็นผู้ที่หวังดีมีเมตตาได้อย่างไร เพราะไม่รู้จักว่าพระภิกษุคือใคร ท่านมีชีวิตเป็นพระภิกษุเพื่ออะไร พระภิกษุท่านบวชเพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลส ศึกษาธรรมในเพศบรรพชิต ท่านจะมีชีวิตเหมือนอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้

~ ถ้าสามารถจะทำกุศลได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าชีวิตแต่ละภพแต่ละชาติ สั้นมาก ไม่ทราบว่าชาติหน้าจะมาถึงเร็วหรือช้า จะเกิดที่ไหน เป็นบุคคลใด และจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เจริญกุศลอีกไหม ดังนั้น เมื่อมีโอกาสที่จะเจริญกุศลได้ก็ควรกระทำโดยเร็วหรือโดยทันที

~ เป็นเรื่องของความไม่รู้ทั้งหมด ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินด้วยโลภะ กำลังพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) วันนี้สนุกจริง วันนี้สบายมาก ในขณะนั้นให้ทราบว่า ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิดและอกุศลกลุ้มรุม ขณะนั้นมืดมิด ไม่รู้หนทางที่จะทำให้กิเลสละคลายลงไปได้ แต่ผู้ที่เห็นอกุศลมากเท่าไรตามความเป็นจริง ก็ยิ่งเป็นผู้ที่เพียรที่จะขัดเกลากิเลสเพื่อดับอกุศลนั้นๆ

~ ฆ่ามดไปเกิดในนรกได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม กรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมดมากหรือน้อยเล็กใหญ่ประการใดก็ตาม สามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้ ประมาทไม่ได้เลย

~ ควรจะเห็นภัยและโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นี่คือ ผู้ที่มีปัญญา

~ ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นสงบจากอกุศล ถ้าเรามีความเป็นมิตรกับคนอื่นบ่อยๆ ใจเราสบายมาก เราจะไม่มีศัตรูเลย รับรองได้จริงๆ ว่า เราไม่มีศัตรู เพราะใจเราไม่เป็นศัตรูกับใคร คนอื่นไม่ชอบเรา เขาเดือดร้อน เขาวุ่นวาย เขาไม่ชอบเรา แต่เรามีความเป็นมิตร หวังดี ช่วยเขา เราจะไม่เดือดร้อนเลย แต่คนที่ไม่ชอบเราที่เป็นศัตรูกับเรา เดือดร้อนตลอด

~ ก่อนที่ท่านจะมาสู่ภูมินี้ ทราบไหมว่า โลกนี้จะเป็นอย่างนี้ โลกนี้จะมีอะไรบ้าง ไม่เคยรู้ล่วงหน้าเลยสักนิดเดียว ก็เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ เพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ทราบไหม? ไม่สามารถที่จะรู้ข้างหน้าได้เลย พรุ่งนี้อาจจะเป็นโลกนี้อีก เห็นสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้อีก หรือว่าอาจจะเป็นสวรรค์ชั้นต่างๆ หรือว่าอาจจะเป็นนรกขุมต่างๆ ก็ได้ ไม่มีการทราบล่วงหน้าเลย แล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัยทั้งสิ้น

~ เรื่องทุกเรื่องในพระไตรปิฏก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคคลที่กระทำอกุศลกรรม ก็เป็นอนุสสติเตือนให้ท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด) โลภะยังมี โทสะยังมี โมหะยังมี อิสสา (ความริษยา) ยังมี อกุศลธรรมอื่นยังมี วันหนึ่งจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านกระทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ที่จะทำให้ไปสู่นรกขุมต่างๆ และได้รับความทุกข์ทรมาน

~ ชาติหนึ่งชาติใดที่เกิด มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ชาตินั้นก็เป็นชาติที่จะได้สะสมความเข้าใจที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น เพราะว่า เป็นอนัตตา จะไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการเลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

~ กิเลสของท่านมีมากมายเหลือเกิน เมื่อท่านรู้ว่า กิเลสของท่าน มาก มีทั้งอย่างบางเบา อย่างละเอียด อย่างแรง เป็นไปตลอดเวลา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เป็นเครื่องแสดงอยู่แล้วว่า ปัญญา น้อยเสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้สะสมอบรมเจริญปัญญาให้เกิดขึ้นที่จะละกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยการรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

~
กิเลสล้อมรอบ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า อยู่กับกิเลสท่ามกลางกิเลสแล้วก็เพิ่มกิเลส ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้จักตัวเองเลย

~ เจริญกุศลเท่าที่สามารถจะมีปัจจัยทำให้เกิดและเจริญได้ เพราะเหตุว่า สภาพธรรมทั้งหลายนั้นเป็นอนัตตา แม้ว่าจะได้ทรงแสดงเรื่องของกุศลทุกขั้น แต่ว่าปัจจัยของอกุศลจิตก็ยังมีมากเหลือเกิน ทำให้อกุศลจิตเกิดมาก ความตระหนี่ก็ยังมี และอกุศลอื่นๆ ก็ยังมีเชื้อมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น

~ การสะสมปัญญาไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้กิเลสอ่อนกำลังได้ในการที่จะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก็จะทำให้ช้าลง หรือแทนที่จะก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ก็ทำให้การก่อตัวนั้นลดกำลังลงได้



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๓



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 28 พ.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
jaturong
วันที่ 28 พ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kukeart
วันที่ 28 พ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ภาคภูมิอรุณศรี
วันที่ 28 พ.ค. 2566

กราบบูชาคุณอาจารย์สุจินต์และคณะอาจารย์วิทยากรทุกท่าน เป็นกุศลอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมคำจริงจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่ง่ายเลยทีจะเกิดปัญญา ลึกซึ้งมากซึ่งจะขาดการฟังไม่ได้เลย จนกว่าจะถึงพร้อม ทุกครั้งที่ได้ฟังจะระลึกพระคุณของอาจารย์ทุกท่านจนระดับสูงสุดถึงนอบน้อมในพระมหากรุณาคุณพระผู้มีพระภาคอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Lai
วันที่ 28 พ.ค. 2566

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 29 พ.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 29 พ.ค. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
swanjariya
วันที่ 4 มิ.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ