เข้ากัมมัฏฐาน กับ เจริญสติปัฏฐาน

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ค. 2566
หมายเลข  45959
อ่าน  81

อย่างคำว่า เข้ากัมมัฏฐาน กับ การเจริญสติปัฏฐาน ท่านผู้ฟังได้ยินคำไหนในพระไตรปิฎก เจริญสติปัฏฐาน หรือว่าเข้ากัมมัฏฐาน ออกกัมมัฏฐาน

ในพระไตรปิฎกมีคำว่า หลงลืมสติ กับคำว่า มีสติเจริญสติ และการเจริญสติก็ไม่ใช่ว่ามีตัวตนไปเจริญ แต่การเจริญ คือ การอบรม ระลึกเนืองๆ บ่อยๆ จนกว่าสติและปัญญาจะมั่นคง นั่นคือ การเจริญสติ ไม่ใช่ว่ามีตัวตนไปเข้า ไปออก หรือแม้แต่ความคิดที่ว่าทำวิปัสสนา บางทีเวลาที่สติกำลังระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม จะเกิดความรู้สึกว่าทำวิปัสสนาขึ้นแทรก ในขณะนั้น แม้อย่างนั้น ก็ยังต้องละ เพราะว่าเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ตรงสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่มีสิ่งอื่น ไม่มีการรู้สึกว่าทำวิปัสสนาเข้ามาแทรก หรือเข้ามาคั่น ที่จะทำให้ไม่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง

ถ้าสติระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว มีแต่ลักษณะปรมัตถธรรม สภาวธรรมลักษณะหนึ่งๆ ที่ปรากฏแต่ละทางตามความเป็นจริงเท่านั้นแต่ถ้ารู้สึกว่าทำวิปัสสนาขึ้น ก็ไม่ตรงลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องความละเอียดที่ผู้เจริญสติปัฏฐานจะต้องทราบว่า ขณะใดหลงลืมสติ ขณะใดมีสติขณะใดเป็นตัวตน มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตนแทรก หรือคั่น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานจะต้องรู้ เพื่อละ

บางท่านไม่ได้ไปสู่สำนักหนึ่งสำนักใด เวลาที่ท่านรู้สึกว่าท่านทำวิปัสสนา ดิฉันก็ได้เรียนให้ทราบว่า ขณะนั้นเป็นตัวตน ท่านก็บอกว่าจะเป็นตัวตนได้อย่างไร ตัวตนของท่านนี้บางมากแล้ว ท่านไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมดิฉันจึงกล่าวว่าเป็นตัวตน ทำไมดิฉันไม่อนุโมทนาที่ท่านกล่าวว่าได้ญาณนั้นญาณนี้แล้ว ซึ่งในขณะนั้นมีสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ท่านไม่ได้ระลึกรู้ คือสภาพของนามธรรมที่คิดอย่างนั้นหรือรู้สึกอย่างนั้นว่า เป็นแต่เพียงลักษณะของนามธรรมชนิดหนึ่ง

ทุกนาม ทุกรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สติระลึกนิดเดียว เกิดแทรกขึ้นมาอีกแล้วว่า จะทำอย่างนั้นบ้าง หรือว่ากำลังทำวิปัสสนาบ้าง หรือกำลังเป็นอย่างนี้บ้าง ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าไม่รู้ทั่วจริงๆ ตัวตนก็หมดสิ้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิปัสสนาญาณจึงมีหลายขั้น และสมบูรณ์ขึ้นเป็นขั้นๆ ด้วย ไม่ใช่ว่าพอสติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามรูป ท่านก็ไม่มีตัวตนแล้ว บางมากแล้ว หมดไปตั้งมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นคงจะสะดวกมาก ง่ายมากต่อการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม

ถ้าญาณขั้นที่หนึ่งยังไม่เกิด จะไม่ทราบว่าตัวตนมีมากสักเท่าไร ต่อเมื่อสติระลึกทั่วขึ้น ย้อนไปถึงอดีต ก็ทราบได้ว่า ขณะนั้นตัวตนมากเหลือเกิน เพราะเหตุว่ายังรู้ไม่ทั่วตามปกติของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

การที่ปัญญาจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ขอให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาจนกระทั่งมีความแน่ใจจริงๆ ว่า ปัญญานั้นไม่ใช่รู้อย่างอื่น แต่จะต้องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏแก่ท่านแต่ละคน ตามความเป็นจริงที่ได้สะสมมา

ถ้าท่านมีโลภะทางตา เพราะว่าสะสมมามาก อีกท่านหนึ่งมีโลภะทางหูมากกว่าทางอื่น เพราะเหตุว่าสะสมความพอใจในเสียงมามาก ในอดีตตัวท่านเป็นอย่างไร สภาพธรรมใดเกิดปรากฏ เพราะเหตุปัจจัยอย่างไร ผู้ที่เจริญสติจะต้องรู้ชัดในสภาพธรรมที่ตนเองได้สะสมมา และรู้ว่าสภาพธรรมนั้นเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง จึงจะสามารถละคลายการที่เคยยึดถือนามและรูปว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

ถ้าท่านไปบังคับไว้ไม่ให้โลภะเกิด ไม่ให้โทสะเกิด และคิดว่าท่านมีความรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมมาก แต่นั่นไม่ใช่ชีวิตจริงๆ ซึ่งถ้าท่านจุติ ปฏิสนธิใหม่ เป็นเด็กยังคงมีความพอใจไหม ในรสอาหาร ในเครื่องเล่น ในสิ่งต่างๆ ยับยั้งไม่ได้เลย กลับมีความพอใจอีก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะเหตุว่าท่านไปบังคับไว้ ท่านไม่ได้ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่รู้ผิด

เพราะฉะนั้น ถ้าได้สะสมอบรมมาจริงๆ สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงขั้นพระอรหันต์ได้ แม้ว่าอายุเพียง ๗ ขวบ ๗ ขวบเป็นวัยของการเล่น เป็นวัยของการสนุก เป็นวัยของการเพลิดเพลิน แต่เพราะเหตุว่าเคยสะสมการระลึกรู้สภาพธรรมไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเป็นปกติ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีวัยเพียง ๗ ขวบ ซึ่งเป็นวัยของความสนุก ความติด ความเพลิดเพลิน แต่ผู้นั้นก็ยังสามารถเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะว่าเป็นผู้ที่มีปกติรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

การที่จะรู้แจ้งเป็นพระอรหันต์สำหรับผู้ที่ได้สะสมอบรมมานั้น ท่านตรัสรู้กันเร็วมาก ทำไมรู้ได้ ยังไม่ได้ไปเข้ากัมมัฏฐาน ยังไม่ได้ออกกัมมัฏฐานอะไรเลย แต่เพราะเหตุว่าระลึกรู้สภาพธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ อิสสา มัจฉริยะ หรืออะไรๆ จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร เป็นปกติอย่างไร สติจะต้องระลึกรู้ เพื่อละการที่เคยยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล และถ้าท่านระลึกรู้อย่างนี้ละเอียดขึ้น ความรู้เพิ่มขึ้น ทั่วขึ้น ย่อมสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท แต่ถ้าท่านไม่อบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ ก็ไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนทั้งนั้น ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 225


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ