ฉันจะเป็นพระโสดาบันให้ได้

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ค. 2566
หมายเลข  45949
อ่าน  115

ถ. แต่ก่อนผมหลงว่า ฉันจะเป็นพระโสดาบันให้ได้ หลงทำสมถะเสียก่อน แล้วจะไปขึ้นวิปัสสนาทีหลัง สับสนเหลือเกิน ผมไม่โทษอาจารย์ มิจฉาทิฏฐิ อาจารย์สอนไม่ดี ผมโทษว่าผมโง่เอง ตั้งแต่ ๒๐ กว่าเป็นต้นมาจนบัดนี้ ๖๐ กว่า สับสนครับ ยิ่งตอนแก่ๆ เรียนมากแล้วกลัวตาย กลัวว่าตอนจะตายจะทำอย่างไร สติสตังก็ไม่มี จะทำอย่างไร มันสับสน

สุ . ถ้าท่านผู้ฟังรู้สึกว่า ที่ผ่านมาแล้วเป็นเรื่องหนัก ไม่ใช่เรื่องเบา เป็นเรื่องสับสน เป็นเรื่องไม่รู้ เป็นเรื่องที่เคยเข้าใจว่าบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า แต่ตามความเป็นจริงนั้น ไม่รู้อะไร ก็เป็นการดีที่ท่านได้ทราบ เมื่อทราบแล้ว ทิ้งความหนักทั้งหมด เพราะเหตุว่าตราบใดที่หนัก นั่นเป็นเพราะความต้องการ ขณะใดที่สติระลึก ก็รู้ ขณะใดที่ไม่รู้ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น มีชีวิตดำเนินไปเป็นปกติตามธรรมดา ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ทีละเล็กทีละน้อย แต่ว่าระลึกตรงลักษณะ

ที่ว่าเป็นอนัตตา เพราะว่าไม่มีความจงใจ ไม่มีความต้องการใดๆ ที่ไปสร้างขึ้น หรือว่าไปทำขึ้น ซึ่งสติสามารถที่จะระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏได้ตามความเป็นจริง แม้ว่าในเบื้องต้นจะน้อยมาก แต่เมื่อระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ควรเจริญมาก ถ้าท่านไปรู้อย่างอื่นที่ไม่ใช่สภาพธรรมตามความเป็นจริง อย่างนั้นไม่ควรเจริญ เพราะเหตุว่าไม่สามารถจะทำให้ท่านระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้ แม้น้อย แต่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และละเอียดขึ้นได้ อย่าไปเร่งรัด อย่าไปต้องการ อย่าเป็นตัวตนที่พยายามจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งจะหนักมากทีเดียว เพราะว่าธรรมทั้งหมดถ้าเป็นกุศลธรรมแล้ว ก็เบา

การที่จะละกิเลส ไม่ใช่ละได้ด้วยความต้องการ แต่จะละได้จริงๆ เพราะปัญญารู้ถูกต้องตามความเป็นจริง และไม่ใช่ปัญญาเพียงขั้นฟัง ขั้นคิด แต่เป็นปัญญาที่เกิดพร้อมสติที่ระลึกตรงลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามปกติ

รู้ตัวเองจริงๆ ตัวเองจะดีมาก จะชั่วมากน้อยอย่างไร ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิดที่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนี้ คงไม่มีใครที่ไม่โกรธ หรือคิดว่าเจริญสติปัฏฐานแล้วไม่โกรธ นั่นถูกหรือผิด ในเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดโลภะมากหรือน้อย ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานรู้ตามความเป็นจริงว่าสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่ตัวตน อาศัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

เพราะเคยสะสมอบรมความเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ รู้สภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง บุคคลนั้นจึงสามารถที่จะบรรลุความเป็นอรหันต์ได้แม้เพียงอายุ ๗ ขวบ ทั้งๆ ที่เป็นวัยที่ควรจะเพลิดเพลินสนุกสนานกับการเล่นสนุกต่างๆ แต่เพราะเหตุใดจึงสามารถบรรลุความเป็นอรหันต์ได้ ก็เพราะรู้สภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ไม่ได้ไปสร้างขึ้นมาปกปิดธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

ท่านจะไปที่ไหนวันนี้ ท่านจะทำอะไร แม้แต่เพียงจะหันหน้าไปทางซ้าย ทางขวา จะพูดอะไร จะคิดนึกตรึกตรองอะไร ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด แต่ที่ท่านจะรู้ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยได้จริงๆ ก็เพราะสติระลึกตามปกติ จึงจะเห็นความเป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดปรากฏตามความเป็นจริงได้ ถ้าหนักใจ ก็เป็นเรื่องของตัวตนกับความต้องการ เป็นเรื่องของความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ กับเป็นเรื่องของอภิชฌา ความต้องการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยไม่เจริญเหตุ

ถ้ารู้อย่างนี้จริงๆ จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไร ไม่กังวลเลย เพราะสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมมากขึ้น เพิ่มขึ้น จึงจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ไม่ใช่ว่าทั้งๆ ที่ยังงง ยังหนักใจอยู่ ก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 227


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ