การเจริญสติไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัย

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 พ.ค. 2566
หมายเลข  45924
อ่าน  74

การเจริญสติไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัย ไม่ค้านกับพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ว่า ให้พุทธบริษัทเจริญสติปัฏฐานเนืองๆ บ่อยๆ เลย แต่ที่ท่านเข้าใจผิด เพราะไม่เข้าใจการเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง และข้อสำคัญที่สุดที่จะทำให้คลาดเคลื่อนก็คือไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน ท่านได้ยินคำว่า วิปัสสนา เป็นการเจริญกุศลขั้นสูงในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคตรัสรู้หนทางที่เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวที่จะทำให้สัตว์โลกเจริญปัญญา สามารถดับกิเลส ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงเป็นสมุจเฉท

เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องการเจริญวิปัสสนา โดยที่ยังไม่เข้าใจการเจริญสติปัฏฐาน เท่าที่สอบถาม โดยมากต้องการความสงบ ต้องการพักผ่อนจิตใจ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งจุดประสงค์คือ การเจริญปัญญารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง มีสัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ ถูกต้องตามลักษณะของสิ่งนั้น

การละความไม่รู้ จะปราศจากปัญญาไม่ได้ เพราะเหตุว่าทางตาก็ไม่รู้ ทางหูก็ไม่รู้ ทางจมูกก็ไม่รู้ ทางลิ้นก็ไม่รู้ ทางกายก็ไม่รู้ ทางใจก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้อยู่ทุกวันๆ ตั้งแต่ก่อนเจริญสติปัฏฐาน รวมทั้งในอดีตอนันตชาติด้วย ถ้าไม่เจริญปัญญาให้เกิดความรู้ขึ้นแล้ว จะละความไม่รู้นั้นได้อย่างไร

บางท่านก็ถามว่า โลกุตตรจิต โสดาปัตติมัคคจิตก็ดี สกทาคามิมัคคจิตก็ดี อนาคามิมัคคจิตก็ดี อรหัตตมัคคจิตก็ดี เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น เหตุใดจึงละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท แต่ก่อนที่โสดาปัตติมัคคจิตจะเกิดนั้น ผู้นั้นต้องอบรมเจริญปัญญาเนืองๆ บ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งรู้ชัด ละคลายความไม่รู้ ความเห็นผิด บุคคลในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานนั้น ถึงท่านจะเป็นพระภิกษุ ละอาคารบ้านเรือนแล้ว เจริญสติปัฏฐานอยู่เนืองนิจ บางท่านเจริญ ๓๐ ปี ๕๐ ปี ก็ยังไม่บรรลุมรรคผล

เพราะฉะนั้น บุคคลในครั้งนี้ต้องการบรรลุมรรคผลโดยไม่รู้อะไร โดยที่หวังจะไปเจริญความสงบเพียงแค่ ๑๐ วัน ๑๕ วัน เดือน ๑ บ้าง ๒ เดือนบ้าง แล้วจะเป็นไปได้ไหมในสมัยนี้ ซึ่งหาบุคคลที่เป็นอุคฆฏิตัญญู วิปัญจิตัญญู นั้นยากนัก ถ้าจะเป็นได้ ก็เป็นเนยยบุคคล คือผู้ที่ฟัง ศึกษา ตรวจสอบ ใคร่ครวญ พิจารณาเจริญเหตุอย่างมากทีเดียว ผลที่สมควรจึงจะเกิดขึ้นได้

เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เข้าใจสติปัฏฐานว่า ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ และการเจริญสติปัฏฐานไม่เคยเกิดอันตรายเลย เพราะเหตุว่ารู้สภาพของนามและรูปถูกต้องตามความเป็นจริงตามปกติ เคยเห็นอย่างไร ก็เห็นอย่างนั้น ได้ยินอย่างไร ก็ได้ยินอย่างนั้น แต่สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น มากขึ้น ถ้าขณะใดที่ท่านไม่รู้กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าแน่นอน

ถ้าขณะที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่มีสติ ไม่รู้ว่า เป็นสภาพที่ปรากฏทางหู หรือว่าเป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่งทางหู ถ้าไม่รู้อย่างนี้ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านก็ไม่มีโอกาสเป็นพระอริยเจ้า เพราะว่าผู้ที่เป็นพระอริยเจ้านั้นรู้ชัดในโลก ๖ โลก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ว่าจะเป็นในโลกมนุษย์ หรือบนสวรรค์ ก็เจริญสติปัฏฐานได้ เพราะเหตุว่ามีโลก ๖ โลกนี้ ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะประณีต หรือไม่ประณีตก็ตาม ถ้ามีสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพนั้นแล้ว ปัญญาก็รู้ชัดตามความเป็นจริงได้

ถ้าไม่ใช่เฉพาะขับรถยนต์ ไปที่พระจันทร์ เจริญสติปัฏฐานได้ไหม เดี๋ยวจะมีเครื่องกั้นอีก ที่โน่นไม่ได้ ที่นี่ไม่ได้ อยู่ในโลกนี้ได้ ที่อื่นไม่ได้แล้ว จะไม่ได้อย่างไรในเมื่อเห็นก็มี ได้ยินก็มี ได้กลิ่นก็มี คิดนึกก็มี ก็เป็นของจริงทุกๆ ขณะ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าผู้นั้นเจริญสติปัฏฐานแล้วหรือยัง ถ้าผู้นั้นเจริญสติปัฏฐานเนืองๆ บ่อยๆ จะไม่มีอะไรกั้นเลย สติเป็นอนัตตาย่อมเจริญขึ้น แต่โดยมากมีตัวตนที่ไปกั้นสติ ไม่ให้สติเกิด เพราะคิดว่าสติเกิดไม่ได้ โลภะก็ยังเกิดได้ โทสะก็ยังเกิดได้ เพราะมีเหตุปัจจัย ถ้ามีเหตุปัจจัย คือ การฟังเรื่องการเจริญสติเข้าใจแล้ว ทำไมสติจะไม่เกิด ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 41

รับฟัง ... เจริญสติปัฏฐานเนืองๆ บ่อยๆ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ