ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ที่สำนักปฏิบัติเท่านั้นหรือ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  3 มี.ค. 2566
หมายเลข  45628
อ่าน  65

. ผมได้ฟังคำบรรยาย ณ ที่แห่งหนึ่ง ท่านบรรยายเรื่องสติปัฏฐานว่า การเจริญสตินี่ ก่อนจะไปสู่สำนักปฏิบัติควรจะซ้อมๆ ที่บ้านเสียบ้าง หรือว่ากลับจากสำนักปฏิบัติแล้ว ก็มาซ้อมๆ ที่บ้านบ้างให้คล่องแคล่วขึ้น และท่านสรุปตอนท้ายว่าอย่างไรก็ดีปัญญาจะเกิดขึ้นได้ที่สำนักปฏิบัติเท่านั้น

สุ . เรื่องของผล เป็นเรื่องที่ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติวิปัสสนาถ้าไม่พิจารณา เหตุผลโดยละเอียดรอบคอบ ท่านจะไม่ได้รับผลที่ต้องการ คือ ปัญญาที่รู้ชัดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

ถ้าท่านกล่าวว่า เวลาที่ไปสู่สำนักปฏิบัติแล้ว ท่านมีความรู้ชัดในลักษณะของนามและรูปมากกว่าการที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริง ในขณะนั้นจะเป็นการติด ในขณะนั้นจะเป็นความยินดี ในขณะนั้นจะเป็นความพอใจในสิ่งที่ท่านเข้าใจว่าเป็นความรู้ชัด แต่ไม่ใช่การละ การคลาย ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งจริงๆ ว่า ไม่ว่าจะเป็นนามอะไร ไม่ว่าจะเป็นรูปอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น แต่ท่านกลับยินดีพอใจใคร่ที่จะให้เกิดปัญญาอย่างนั้นมากขึ้น และเวลาที่ท่านมีชีวิตปกติธรรมดา สติอาจจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แต่ท่านกลับเห็นว่า รู้ไม่ชัดเท่ากับการที่ท่านไปสู่สำนักปฏิบัติ ซึ่งไม่ชื่อว่าเป็นปัญญาที่รู้แจ้ง ไม่ชื่อว่าเป็นปัญญาที่รู้ชัดจริงๆ

เพราะฉะนั้น ความรู้ชัดจริงๆ สำหรับผู้ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องมีความรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นปรากฏนั้น เสมอกันหมด ไม่ว่าจะเป็นนาม หรือรูปทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ที่นี่ หรือที่อื่น ปัญญาที่จะแทงตลอดรู้ชัดในอริยสัจธรรมได้ ต้องรู้ชัดว่า สภาพธรรมทั้งหลายนั้นเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรม เสมอกันจริงๆ จึงจะละคลายการติด การยินดี การพอใจ แม้ในความรู้ หรือแม้ในสิ่งที่ท่านเข้าใจว่าเป็นความรู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรม

ถ้าท่านผู้ใดกล่าวว่า เวลาที่ท่านไปสู่สำนักปฏิบัติแล้ว ก็รู้ชัดในสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม และการรู้แจ้งอริยสัจธรรม จะต้องไปรู้ที่สำนักปฏิบัติ ถ้าเจริญสติเป็นปกติแล้ว จะไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็หมายความว่า ท่านไม่ได้เจริญอบรมปัญญาที่จะรู้แจ้ง ที่จะเห็นความเสมอกันของนามธรรมและรูปธรรมทั้งปวง จนถึงขั้นที่จะละคลายความยินดีพอใจในนามรูปทั้งปวงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้ และ ขอให้ท่านตรวจสอบว่ามีข้อความนี้ไหมในพระไตรปิฎกที่ว่า การรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น จะต้องไปรู้แจ้งที่สถานที่ปฏิบัติ หรือที่สำนักปฏิบัติ ทำไมท่านถึงจะพูดหรือคิดเอง ในเมื่อในพระไตรปิฎกไม่มีข้อความที่ว่านี้

เมื่อการเจริญเหตุ คือ ปัญญาสมบูรณ์ สมควรแก่ญาณหนึ่งญาณใดที่จะเกิดขึ้น ญาณนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งการรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้า ไม่ได้จำกัดสถานที่เลย ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 265

การรู้แจ้งอริยสัจธรรมของบุคคลที่เป็นพระอริยสาวกที่ปรากฏในพระไตรปิฎก จะเห็นได้ว่า สำหรับผู้ที่เป็นฆราวาสแต่ละท่านนั้น อย่างพระเจ้าสุทโธทนะ พระราช บิดาของพระผู้มีพระภาครู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ไหน

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะกล่าวว่าต้องไปสู่สำนักปฏิบัติจึงจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ จะค้านกับพระไตรปิฎกไหม เป็นความคิดความเห็นของท่านที่ไม่รู้ว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น ต้องเป็นการเจริญเหตุให้สมควรแก่ผล เมื่อผลพร้อมที่จะเกิดแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ที่ใด ผลคือการรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็เกิดได้

มารดาและภรรยาท่านยสกุลบุตร รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยสาวกที่ไหน

นางขุชชุตตรา พระนางสามาวดีและหญิงบริวาร รู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ไหน

ท่านวิสาขามิคารมารดา รู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ไหน

ปุณณทาสีซึ่งเป็นทาสีของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ไหน

ถ้าท่านศึกษาการรู้แจ้งอริยสัจธรรมของพระอริยสาวกในพระไตรปิฎกที่เป็นฆราวาส ท่านจะเห็นว่า ท่านเหล่านั้นรู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะที่เป็นชีวิตปกติธรรมดาของท่าน

บางท่านรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล ในขณะที่กำลังทำอาหาร อยู่ในครัว เป็นชีวิตปกติธรรมดา แม้แต่ผู้ที่เป็นพระภิกษุ ท่านก็จะต้องมีปกติเจริญ สติปัฏฐาน และเมื่อท่านอบรมปัญญาสมควรแก่การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านก็รู้แจ้งอริยสัจธรรม เช่น ภิกษุที่ถูกงูกัดในขณะที่กำลังฟังธรรม พิจารณาธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น บรรลุความเป็นอรหันต์ที่ไหนก็ได้ ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ก็รู้แจ้งแทงตลอดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่ต้องรอ ไม่ต้องคอย ไม่ต้องผลัดว่าจะต้องไปรู้แจ้งที่อื่น เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น เป็นการรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เสมอกันหมดไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานที่ใด ก็เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น

ชาวนาผู้หนึ่งเสียใจที่นาของตนถูกน้ำท่วมเสียหายมาก มีความเศร้าโศกเสียใจพระผู้มีพระภาคทรงเล็งเห็นอุปนิสัยของการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยสาวกของชาวนาท่านนั้น เพราะฉะนั้น ก็ได้เสด็จไปโปรด ทรงแสดงธรรมให้ชาวนานั้นคลายความโศกเศร้า และบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นชีวิตจริงๆ ในขณะนั้นไม่ได้ไปเปลี่ยน ไปเทศนาบอกว่าให้ไปที่อื่น

สำหรับท่านพาหิยะ ที่ท่านเป็นเอตทัคคะในการตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ได้โดยเร็วพลัน ขณะที่พระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ท่านพระพาหิยะก็ได้ไปเฝ้า ฟังธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะนั้น เพราะว่าพิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่ปรากฏแล้วก็หมดไป เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ท่านผู้ฟังสามารถตรวจสอบได้ว่า ปัญญาของท่านนั้นสมควรแก่การที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้าแล้วหรือยัง ถึงแม้ว่าท่านจะไปสู่สถานที่สงบ เงียบสงัดแล้วก็เข้าใจว่าปัญญารู้แจ้งในสภาพของนามธรรมและรูปธรรมชัดเหลือเกิน แต่เวลาที่ท่านมีชีวิตปกติประจำวัน ซึ่งทุกๆ ขณะก็เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น สติระลึกจริง แต่ว่าปัญญาไม่รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ขอให้ท่านทราบว่า ท่านยังไม่พร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม

เพราะฉะนั้น ชีวิตของฆราวาสจะเจริญอบรมอย่างไร ปัญญาจึงจะสมบูรณ์จนกระทั่งสามารถที่จะแทงตลอดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยสาวกได้ หรือว่าชีวิตของบรรพชิตก็เช่นเดียวกัน เวลาที่กำลังสงบ มีความคิดความเข้าใจว่า รู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรม แต่เวลาอื่น เช่น เวลาบิณฑบาต เวลาแสดงธรรม เวลากระทำกิจของสงฆ์ สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม รู้ชัดในสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเสมอเหมือนกันหมดหรือไม่ ถ้าในขณะนั้นไม่เป็นอย่างนั้น ก็ยังไม่พร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้า

เพราะฉะนั้น ควรเจริญสติปัฏฐานกันอย่างไร และในขณะไหน จึงจะเป็นการ อบรมเจริญปัญญาให้รู้ชัดได้จริงๆ พร้อมกับสติที่ระลึกรู้ในลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งมีหนทางเดียวเท่านั้น คือ เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะให้ปัญญารู้ชัดในความเสมอกันของนามธรรมและรูปธรรมทั้งปวงได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 266

เปิดฟัง ...

การรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่จำกัดสถานที่


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ