โคปกโมคคัลลานสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  3 มี.ค. 2566
หมายเลข  45627
อ่าน  56

สำหรับคำถามของท่านผู้ฟังเรื่องของฌาน ที่เป็นได้ทั้งอกุศลฌานและกุศลฌานนั้น มีข้อความในพระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ... โคปกโมคคัลลานสูตร ข้อความตอนท้ายของพระสูตรนี้มีว่า

วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์แห่งมคธรัฐ ถามท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า ก็เวลานี้ พระอานนท์ อยู่ที่ไหน

ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า

ดูกร พราหมณ์ เวลานี้อาตมาอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน

วัสสการพราหมณ์กล่าวว่า

ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ ก็พระวิหารเวฬุวันนั้น เป็นที่รื่นรมย์ เงียบเสียง และไม่อึกทึกครึกโครม มีลมพัดเย็นสบาย เป็นที่พักผ่อนของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออกเร้นอยู่หรือ

ท่านพระอานนท์ กล่าวว่า

ดูกร พราหมณ์ แน่นอน พระวิหารเวฬุวันจะเป็นที่รื่นรมย์ เงียบเสียง และไม่ อึกทึกครึกโครม มีลมพัดเย็นสบาย เป็นที่พักผ่อนของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออกเร้นอยู่ ก็ด้วยมีผู้รักษาคุ้มครองเช่นท่าน

วัสสการพราหมณ์ กล่าวว่า

ข้าแต่ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ ความจริง พระวิหารเวฬุวันจะเป็นที่รื่นรมย์ เงียบเสียง และไม่อึกทึกครึกโครม มีลมพัดเย็นสบาย เป็นที่พักผ่อนของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออกเร้นอยู่ ก็ด้วยมีพระคุณเจ้าทั้งหลายเพ่งฌาน และมีฌานเป็นปกติต่างหาก พระคุณเจ้าทั้งหลายทั้งเพ่งฌาน และมีฌานเป็นปกติทีเดียว

ถ้าท่านผู้ฟังสังเกตการสนทนาของท่านพระอานนท์ กับวัสสการพราหมณ์จะเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นประโยชน์ของการพึ่งพากันทั้งทางโลกและทางธรรม เช่น ท่านพระอานนท์กล่าวว่า พระวิหารเวฬุวันจะเป็นที่รื่นรมย์ เงียบเสียง และไม่อีกทึกครึกโครม มีลมพัดเย็นสบาย เป็นที่พักผ่อนของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออกเร้นอยู่ ก็ด้วยมีผู้คุ้มครองเช่นท่าน คือ เช่น วัสสการพราหมณ์ ถ้าบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย พระวิหารเวฬุวันยังจะเป็นที่สงบได้ไหม ก็ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยทางโลก

และทางโลกก็ต้องอาศัยทางธรรมโดยที่วัสสการพราหมณ์กล่าวว่า ความจริงพระวิหารเวฬุวันจะเป็นที่รื่นรมย์ เงียบเสียง และไม่อึกทึกครึกโครม มีลมพัดเย็นสบาย เป็นที่พักผ่อนของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออกเร้นอยู่ ก็ด้วยมีพระคุณเจ้าทั้งหลายเพ่งฌาน และมีฌานเป็นปกติต่างหาก

ถึงแม้ว่าเป็นสวนที่น่ารื่นรมย์ แต่ผู้ที่อยู่ในสวนนั้นไม่ใช่ผู้สงบ ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสมณธรรม หรือทรงคุณของสมณะ แม้ว่าสถานที่นั้นจะรื่นรมย์ ก็เอะอะเอิกเกริกได้ แต่ด้วยเหตุที่ว่าพระคุณเจ้าทั้งหลายเพ่งฌาน และมีฌานเป็นปกติต่างหาก ตามคำของวัสสการพราหมณ์ แต่วัสสการพราหมณ์มีความเข้าใจเรื่องฌานในความหมายที่เป็นฝ่ายกุศลฌานเท่านั้น โดยท่านได้เล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังว่า

ข้าแต่ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ กระผมขอเล่าถวาย สมัยหนึ่ง พระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้นแล กระผมเข้าไปเฝ้าพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้นยังที่ประทับ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ณ ที่นั้นแล พระองค์ได้ตรัสฌานคาถาโดยเอนกปริยาย พระองค์ทั้งเป็นผู้เพ่งฌาน และเป็นผู้มีฌานเป็นปกติ แต่ก็ทรงสรรเสริญฌานทั้งปวง

แสดงว่า ถ้าท่านผู้ใดกล่าวพยัญชนะอย่างนี้ผู้นั้นเข้าใจอรรถของฌานเพียงกุศลฌานเท่านั้น

ท่านพระอานนท์กล่าวว่า

ดูกร พราหมณ์ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสรรเสริญฌานทั้งปวงก็มิใช่ ไม่ทรงสรรเสริญฌานทั้งปวงก็มิใช่ พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญฌานเช่นไร

ดูกร พราหมณ์ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มีใจรัญจวนด้วยกามราคะ ถูกกามราคะครอบงำอยู่ และไม่รู้จักสลัดกามราคะอันเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง เธอย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะกามราคะ ทำกามราคะไว้ในภายใน

สำหรับองค์ของฌาน ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา องค์ของฌานโดยความเป็นปัจจัยนั้นได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ เวทนา เอกัคคตา ซึ่งเวทนาอาจจะเป็นโสมนัสเวทนาก็ได้ โทมนัสเวทนาก็ได้ อุเบกขาเวทนาก็ได้

ขณะใดที่ใจเร่าร้อน เพ่ง จดจ่อ ปักใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะนั้นจะไม่ปราศจากวิตกถึงสิ่งนั้น วิจารถึงสิ่งนั้น และแล้วแต่ว่าเวทนานั้นจะระลึกถึงสิ่งนั้นด้วยโสมนัส หรือว่าด้วยโทมนัส หรือว่าด้วยอุเบกขา เป็นองค์ของฌานจริงๆ ซึ่งท่านผู้ฟังสามารถตรวจสอบสภาพธรรมกับจิตใจของท่านได้ โดยเฉพาะที่ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถึงนิวรณธรรมเป็นลำดับไป เริ่มด้วย

ดูกร พราหมณ์ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มีใจรัญจวนด้วยกามราคะ ถูกกามราคะครอบงำอยู่ และไม่รู้จักสลัดกามราคะอันเกิดขึ้นแล้วตามความป็นจริง เธอย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะกามราคะ ทำกามราคะไว้ในภายใน

ที่ว่า ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้มีใจรัญจวนด้วยกามราคะ กามราคะนี้รวมหมด ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เวลาที่ความปรารถนารูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี โผฏฐัพพะก็ดีเกิดขึ้น ถูกกามราคะครอบงำอยู่ ไม่ใช่ว่าห้าม กั้นไว้ไม่ให้เกิดแต่เมื่อเกิดแล้ว ถูกครอบงำด้วยกามราคะ และไม่รู้จักสลัดกามราคะอันเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง นี่สำหรับผู้ที่ไม่รู้วิธีที่จะสลัด หรือละกามราคะ

ห้ามกามราคะไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะยังมีความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง เพราะมีเหตุปัจจัย แต่ถ้าไม่รู้จักสลัดกามราคะอันเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง เธอย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะกามราคะ ทำกามราคะไว้ในภายใน ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 266

ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ รู้วิธีสลัดกามราคะ ไม่มีวิธีอื่น ไม่มีหนทางอื่นที่จะไปกั้นกามราคะ ความยินดีพอใจในรูป สิ่งต่างๆ ที่เห็น ที่สวยงาม ที่น่ายินดี ที่น่าพอใจ ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้ ไม่มีวิธีอื่น ถ้าด้วยการเจริญสมถ-ภาวนา ก็เพียงระงับไว้ แต่ไม่ได้สลัดออกไปได้ นอกจากการเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏ-ฐาน จึงจะเป็นผู้ที่รู้วิธีที่จะสลัดกามราคะเป็นสมุจเฉทได้ตามลำดับขั้น โดยการที่สลัดความยินดีพอใจ ที่เกิดร่วมกับความยินดีที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน แต่ถ้าไม่รู้วิธี ก็ย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะกามราคะ ทำกามราคะไว้ในภายใน ขณะที่เพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ เป็นฌานจิตที่ประกอบด้วยวิตก วิจาร ถ้าขณะนั้นยินดีพอใจ นึกถืงด้วยความสุข ก็เป็นปีติ สุข เอกัคคตา แต่เป็นอกุศลฌาน

ข้อความต่อไปมีว่า

มีใจปั่นป่วนด้วยพยาบาท ถูกพยาบาทครอบงำอยู่ และไม่รู้จักสลัดพยาบาท อันเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง เธอย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะพยาบาท ทำพยาบาทไว้ในภายใน

เวทนาเปลี่ยนแล้ว องค์ฌานยังมีในขณะที่เพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจด้วยพยาบาทนั้น ประกอบด้วยองค์ของฌาน คือ วิตก วิจาร แต่ไม่ใช่ปีติ เพราะว่าขณะนั้นเป็น โทสมูลจิต ต้องประกอบด้วยโทมนัสเวทนา และเอกัคคตาเจตสิก เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นเป็นอกุศลฌาน

ข้อความต่อไปมีว่า

มีใจกลัดกลุ้มด้วยถีนมิทธะ ถูกถีนมิทธะครอบงำอยู่ และไม่รู้จักสลัดถีนมิทธะอันเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง เธอย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะถีน-

มิทธะ ทำถีนมิทธะไว้ในภายใน

ข้อความต่อไปมีว่า

มีใจกลัดกลุ้มด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำอยู่ และไม่รู้จักสลัดอุทธัจจกุกกุจจะอันเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง เธอย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะอุทธัจจกุกกุจจ ทำอุทธัจจกุกกุจจะไว้ในภายใน

อุทธัจจะ เป็นเจตสิกธรรมที่ทำให้จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่านไป กุกกุจจะเป็นเจตสิกธรรมที่รำคาญใจ เดือดร้อนใจในอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว หรือในกุศลกรรมที่ยังไม่ได้กระทำ

มีท่านผู้ใดบ้างไหมที่ไม่เคยทำอกุศลกรรม นึกขึ้นมาด้วยความเป็นตัวตนเดือดร้อนใจว่า ได้กระทำอกุศลกรรมไปมากเหลือเกิน วิธีที่จะสลัดออกนั้นทำอย่างไร ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ความเป็นตัวตนทำให้จิตเดือดร้อน ใจไม่สงบ กระวนกระวาย แต่ผู้ที่รู้วิธีสลัดออก เพราะเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ระลึกในสภาพที่กำลังเดือดร้อนใจนั้น ในขณะที่กำลังรำคาญใจนั้น รู้ว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่งแล้วก็หมดไป และมีนามธรรมรูปธรรมอื่นเกิดสืบต่อเพราะเหตุปัจจัย ที่สติจะต้องระลึกจนกว่าจะรู้ชัด จนกว่าจะชิน จนกว่าจะทั่ว จนกว่าจะละคลายการที่ยึดถือสภาพนามธรรมและรูปธรรมทั้งปวงที่เกิดปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้จริงๆ ไม่ว่าในขณะใดทั้งสิ้น แม้ในขณะที่อุทธัจจกุกกุจจะกำลังเกิด ก็จะต้องรู้วิธีสลัดออก แต่ผู้ที่ไม่รู้วิธี ก็ย่อมเป็นผู้ที่เพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะอุทธัจจกุกกุจจะ ทำอุทธัจจกุกกุจจะไว้ในภายใน ซึ่งเป็นอกุศลฌานในขณะนั้น

ข้อความต่อไปมีว่า

มีใจกลัดกลุ้มด้วยวิจิกิจฉา ถูกวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และไม่รู้จักสลัดวิจิกิจฉาอันเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง เธอย่อมเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ มุ่งหมายเฉพาะวิจิกิจฉา ทำวิจิกิจฉาไว้ในภายใน

เรื่องวิจิกิจฉานี้ก็มีเสมอ สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน บุคคล ทางกายกำลังปรากฏกระทบ ลักษณะนี้เป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม สติไม่ได้ระลึกเนืองๆ บ่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็ย่อมเกิดความสงสัยในสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นด้วยความไม่รู้ชัด

อย่างลักษณะที่ตึง ลักษณะที่ไหว บางท่านก็ไม่รู้ เพราะว่าท่านพยายามที่จะระลึกรู้ธาตุลม แต่ลักษณะที่ตึงไหวเป็นปกติ สติไม่ได้ระลึกรู้ เพราะท่านกำลังหาชื่อของธาตุลมว่า ธาตุลมมีลักษณะอย่างไร แต่ที่ตึงที่ไหวเป็นปกตินี้เอง เป็นลักษณะของธาตุลม เป็นปรมัตถธรรม มีลักษณะปรากฏ

เรื่องของวิจิกิจฉาที่มี เกิดขึ้นเพราะสติระลึกรู้ไม่ทั่ว เพราะฉะนั้น หนทางที่จะสลัดวิจิกิจฉาคืออย่างไร ไม่ใช่วิธีอื่นเลย นอกจากสติระลึกรู้ทันทีว่า ขณะนั้นเป็นแต่เพียงนามธรรม หรือรูปธรรม จึงสามารถที่จะตรงลักษณะสภาพธรรมที่เป็นปกติตามความเป็นจริงได้

ท่านพระอานนท์กล่าวกับวัสสการพราหมณ์ต่อไปว่า

ดูกร พราหมณ์ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ไม่ทรงสรรเสริญฌานเช่นนี้แล

หมายความถึง การเพ่งเล็ง จดจ่อ ปักใจ ด้วยกามราคะ ด้วยพยาบาท ด้วยถีนมิทธะ ด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ ด้วยวิจิกิจฉา

ท่านพระอานนท์กล่าวต่อไปว่า

ดูกร พราหมณ์ ก็พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสรรเสริญฌานเช่นไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม

เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุข เกิดแต่วิเวกอยู่

เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติ และสุข เกิดแต่สมาธิอยู่

เป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน ซึ่งพระอริยะเรียกเธอได้ว่าผู้วางเฉย มีสติอยู่ เป็นสุขอยู่

เข้าจตุตฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่

ดูกร พราหมณ์ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสรรเสริญฌานเช่นนี้แล

วัสสการพราหมณ์กล่าวว่า

ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ เป็นอันว่าพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้น ทรงติเตียนฌานที่ควรติเตียน ทรงสรรเสริญฌานที่ควรสรรเสริญ เอาล่ะ กระผมมีกิจมาก มีกรณียะมาก จะขอลาไปในบัดนี้

ท่านพระอานนท์กล่าวว่า

ดูกร พราหมณ์ ขอท่านโปรดสำคัญกาลอันควร ในบัดนี้เถิด

ต่อนั้น วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์แห่งมคธรัฐ ชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระอานนท์แล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป

พระสูตรนี้ หลังจากที่พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้วไม่นาน ครั้งนั้นท่านพระอานนท์อยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน เพราะฉะนั้น ธรรมที่ท่านพระอานนท์แสดงก็เป็นธรรมที่ท่านได้รู้แจ้งแล้ว และท่านเป็นผู้ที่ทรงจำพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 267

เปิดฟัง ...

โคปกโมคคัลลานสูตร


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ