Thai-Hindi 10 December 2022

 
prinwut
วันที่  11 ธ.ค. 2565
หมายเลข  45334
อ่าน  548

Thai-Hindi 10 December 2022

- (พูดเรื่องโยนิโสมนสิการต่อ) เพราะเหตุว่า ได้ยินคำแต่ไม่รู้จักเพราะฉะนั้นเท่าที่เขาได้ยินคำว่า โยนิโสมนสิการ เขาคิดอย่างไร (เข้าใจว่า มนสิการเป็นเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวงนอกจากนี้ไม่เข้าใจ)

- เพราะฉะนั้นเขาสามารถที่จะรู้ว่า ชีวิตแต่ละขณะของเขาเป็นอะไร เห็นอะไร คิดอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เขารู้ความจริงอย่างนี้แต่ยังไม่รู้จักธรรมซึ่งไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นเรา เป็นของเราหรือเรื่องราวต่างๆ แต่เป็นธรรมคือ สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น มนสิการ เป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ก็มีแต่ไม่รู้

- เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังเห็น มีมนสิการเจตสิกไหมเพราะไม่ใช่มีแต่จิตเห็น มีเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิตเห็นด้วย (มี)

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง มีใครรู้บ้างว่า ขณะเห็นมีมนสิการเจตสิกเกิดกับจิตเห็น (ไม่มีใครรู้) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า มีเจตสิก ๑ ซึ่งใส่ใจในสิ่งที่จิตรู้

- นี่เป็นความลึกซึ้งซึ่งขณะนี้มีทั้งเอกัคคตาเจตสิกและมนสิการเจตสิก ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงใครจะรู้ว่า ขณะนี้มีมนสิการซึ่งไม่ใช่เอกัคคตาและมีเอกัคคตาซึ่งไม่ใช่มนสิการซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์เดียวกับจิต

- จิตเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์เพราะมนสิการใส่ใจในสิ่งที่จิตรู้และเอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นในอารมณ์เดียว เพราะฉะนั้นจิตนั้นจึงสามารถที่จะรู้แจ้งอารมณ์ทุกขณะได้

- เพราะฉะนั้นขณะที่จิต ๑ เกิดขึ้นต้องมีเจตสิกทั้ง ๗ เกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุดน้อยกว่านั้นไม่ได้

- จิตเกิดดับเร็วมากหลากหลายเป็นประเภทต่างๆ แต่ต้องเจตสิก ๗ ดวงนี้เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง

- จิตที่โกรธเกิดกับความโกรธมีเจตสิก ๗ ดวงนี้เกิดร่วมด้วยรึเปล่า

- ไม่ลืมเลย ถ้าไม่มีผัสสเจตสิกจิตจะเกิดขึ้นเห็นได้ไหม

- เมื่อผัสสเจตสิกเกิดทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเพราะผัสสะกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตาและเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นมีสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิตเห็นคือ ความรู้สึกในสิ่งที่จิตรู้แจ้ง

- ความรู้สึกที่เกิดกับจิตเห็นเป็นความรู้สึกประเภทไหน (รู้สึกเฉยๆ ) ถ้าความรู้สึกเฉยๆ เพราะอะไร

- ถามเขาว่า เห็น ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นมีความรู้สึกอะไรเกิดร่วมด้วย (ความรู้สึกที่เฉยๆ ) เพราะอะไรจึงรู้สึกเฉยๆ (เพราะตอนสีกระทบตาไม่เหมือนตอนที่แข็งกระทบกาย มันอ่อนมาก)

- ถูกต้อง แล้วขณะที่เห็นแล้วชอบ มีความสุข ขณะนั้นสุขเวทนาเกิดกับจิตเห็นได้ไหม (ถ้าเป็นโสมนัสนั่นไม่ใช่เป็นเวทนาที่เกิดกับเห็น)

- นี่เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ถ้าเราข้าม เราคิดว่าฟังแล้วจะไม่สามารถเข้าใจความยึดมั่นในความรู้สึกไม่ว่าจะเกิดกับจิตประเภทไหน

- ถ้ามีการฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ ขณะนั้นก็สามารถที่จะละความไม่รู้ในเห็นว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นขณะที่ฟัง คิดไตร่ตรอง ไม่ใช่ขณะที่ได้ยินเสียง

- เดี๋ยวนี้เขากำลังฟังรึเปล่า กำลังคิดไตร่ตรองเข้าใจคำที่ได้ยินรึเปล่า ขณะนั้นเป็นอาช่าหรือเป็นมนสิการเจตสิก เพราะฉะนั้นเข้าใจรึยัง มนสิการเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะทุกประเภท

- กำลังพิจารณาถูกต้องขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่ถูกต้องเป็นโยนิโสมนสิการ

- คนที่ฟังแล้วไม่เข้าใจขณะนั้นต้องมีมนสิการ แต่เมื่อไม่เข้าใจก็เป็นอโยนิโสมนสิการ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้

- จิตเห็นมีโยนิโสมนสิการเกิดร่วมด้วยได้ไหม (ไม่ได้) นี่คือเริ่มเข้าใจมั่นคง ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แล้วไม่คิด เพราะอะไร

- แต่ถามว่า กำลังเห็นอย่างนี้ โยนิโสมนสิการเกิดกับจิตเห็นได้ไหม (ไม่ได้) มีอโยนิโสมนสิการได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (เป็นเพราะตอนที่เห็นเป็นวิบาก)

- เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรู้จิต ๑ ขณะว่า เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศลซึ่งเป็นเหตุ หรือว่าเป็นวิบาก ผลของกุศลหรืออกุศล เป็นอกุศลวิบากหรือกุศลวิบากและจิตที่ไม่กุศลอกุศลก็เป็นจิตที่เป็นกิริยาๆ หมายความว่า ไม่ใช่เหตุและไม่ใช่ผล

- เพราะฉะนั้นการฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา เป็นธรรมแต่ละ ๑

- เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้จำแต่ให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ ทุกครั้งที่เห็นเป็นผลของกรรม ผลของกรรมเริ่มตั้งแต่เกิดและหลังจากนั้นก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นจิตที่เห็นได้ยินพวกนี้จึงมีเจตสิกเพียง ๗ ดวงเกิดร่วมด้วยเพราะกรรมทำให้เจตสิก ๗ ดวงนี้เกิดพร้อมกับจิต

- ถ้าไม่มีกรรม จะมีเห็นไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นพระอรหันต์มีกรรมไหม (มีผลของกรรมแต่จิตที่คิดเป็นกริยาไม่ได้เป็นกรรม)

- พระอรหันต์ จิตที่เกิดต่อจากขณะที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นอรหัตผลต่อจากนั้นไปจะไม่มีกุศลหรืออกุศลใดๆ ทั้งสิ้นต่อจากนั้นไม่ใช่ก่อนนั้น

- คนที่ยังมีกิเลสมีผลของกรรมและต่อจากนั้นก็เป็นกรรมต่อไปเป็นกุศลหรืออกุศลที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า

- เป็นพระอรหันต์แล้วเห็นไหม (มี) เป็นผลของกรรมใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ไม่มีกรรมหลังจากที่เป็นพระอรหันต์แล้วแต่มีผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วจนกว่าจะปรินิพพาน

- ก่อนเป็นพระอรหันต์มีมนสิการเจตสิกไหม เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วมีมนสิการเจตสิกไหมก่อนเป็นพระอรหันต์มีมนสิการเจตสิกไหม ก่อนเป็นพระอรหันต์มีมนสิการกี่ชาติ (มี ๔ ชาติ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา)

- เพราะฉะนั้นต้องชัดเจน เป็นกุศลอกุศลเมื่อไหร่ เป็นวิบากเมื่อไหร่ เป็นกิริยาเมื่อไหร่เพราะธรรมสำหรับเข้าใจ

เพราะฉะนั้นตอบให้ฟังสิคะพระอรหันต์มีมนสิการกี่ชาติ (มี ๒ วิบากและกิริยา)

- คนธรรมดามีมนสิการกี่ชาติ คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ (มี ๔ ชาติ) อะไรบ้าง (วบาก กุศลอกุศล กิริยา)

- กิริยาที่ไม่ของพระอรหันต์เกิดกับจิตอะไร (มี ๒ ปัญจทวารวัชชนะและมโนทวารวัชชนะ)

- ก็เป็นความเข้าใจขึ้นเมื่อได้รับการถาม ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีมนสิการไหม (มี)

- มีมนสิการกี่ชาติเดี๋ยวนี้ (มีทั้ง ๔) เพราะฉะนั้นกิริยาจิตมนสิการที่เป็นกิริยาของคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์กับคนที่เป็นพระอรหันต์เหมือนกันไหม

- เพราะฉะนั้นถามว่า จิตที่เป็นกิริยามีมนสิการเกิดร่วมด้วยกับมนสิการที่เป็นกิริยาของพระอรหันต์เหมือนกันไหม (ไม่ต่างกัน)

- ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็เหมือนพระอรหันต์สิคะ (ไม่ต่างกัน) แน่ใจนะคะ (ความเข้าใจของเราไม่มี แต่ยกตัวอย่างของท่านอาจารย์ว่า เห็นได้ยินอะไรเหมือนกันแม้เหมือนกันแต่ความเข้าใจต่างกัน อยากให้พูดถึงตรงนี้ด้วย)

- นี่เป็นความละเอียด นี่เป็นความลึกซึ้ง ถ้าไม่มีความเข้าใจโดยตลอดก็เป็นเรา ละกิเลสไม่ได้

- เปลี่ยนจิตที่เป็นปัญจทวารวัชชนะไม่ให้เกิดขึ้นทำกิจรู้ว่าอารมณ์กระทบที่ทวารไหนไม่ได้เปลี่ยนประเภท เปลี่ยนลักษณะ เปลี่ยนกิจการงานของปัญจทวาราวัชชนะไม่ได้เลย เป็นธรรม

- แต่ว่าสำหรับคนที่ยังมีอนุสัยกิเลส ปัญจทวาราวัชชนะเกิดขึ้นทำกิจรู้อารมณ์ที่กระทบแต่ขณะนั้นยังมีอนุสัยกิเลส

- เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วจิตทุกดวงจะไม่มีแม้อนุสัยกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตที่จะทำให้อกุศลเกิด ไม่มีเลย

- เดี๋ยวนี้มีมนสิการเจตสิกไหม ไม่สงสัยแล้วใช่ไหม เจตสิกนี้มีแน่นอน

- ความเข้าใจเป็นมนสิการหรือเป็นปัญญา ฟังดีๆ ขณะที่กำลังเข้าใจ ความเข้าใจเป็นมนสิการเจตสิกหรือเป็นปัญญาเจตสิก (เป็นปัญญาเจตสิก) มีมนสิการไหม (มี)

- มนสิการ ไตร่ตรองด้วยความแยบคายด้วยความถูกต้องทำให้เกิดปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นปัญญาเจตสิกไม่ใช่มนสสิการเจตสิกและมนสิการเจตสิกไม่ใช่ปัญญาเจตสิก

- เพราะฉะนั้นมนสิการเจตสิกพิจารณาไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ แต่ความเข้าใจที่เกิดแล้วเป็นมรรคมีองค์ ๘

- เพราะฉะนั้นต้องฟังธรรมเพื่อละความเป็นเราที่ละเอียดมาก เพราะฉะนั้นความเข้าใจจริงๆ เท่านั้นที่เป็นมรรค


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 11 ธ.ค. 2565

- ตอนนี้เข้าใจจิตเจตสิก ๗ ดวงที่เกิดกับจิตแล้วใช่ไหม ไม่ใช่เราสักอย่าง

- เดี๋ยวนี้อะไรกำลังปรากฏ (เห็น) เพราะฉะนั้นมนสิการเจตสิกปรากฏหรือเปล่า ผัสสเจตสิกปรากฏหรือเปล่า เวทนาเจตสิกปรากฏหรือเปล่า นี่เป็นการที่รู้ความต่างว่า แล้วแต่อะไรจะปรากฏ แสดงว่าขณะนั้นจิตรู้สิ่งนั้นๆ จึงปรากฏได้

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะในชีวิตประจำวันปกติจะสามารถเข้าใจความจริงและละความยึดถือว่าเป็นตัวตนได้ไหม

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง

- ถ้าไม่รู้ว่า เห็น ได้ยิน ชอบ ไม่ชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเป็นอะไร สามารถละความไม่รู้และการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังเกิดตอนนี้)

- เพราะฉะนั้นเข้าใจรึยัง ความเข้าใจระดับนี้เป็นความเข้าใจระดับไหนที่กำลังเห็น (เป็นขั้นต้นๆ )

- เป็นขั้นฟัง พอรึยัง เพราะฉะนั้นเราต้องพูดถึงเห็นอีก พูดถึงได้ยินอีก พูดถึงมนสิการอีกทั้งหมดเพื่อไม่ลืมว่า ไม่ใช่เรา จนกว่าจะตรงสิ่งที่มีและสิ่งที่เข้าใจตรงกับที่ได้ฟังมาแล้วว่าเป็นความจริง

- เพราะฉะนั้นถ้าฟังเรื่องเห็น เข้าใจเรื่องเห็นแต่ยังไม่รู้ตรงเห็นที่ค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่เห็น ยังไม่ถึงการที่จะเป็นปัญญาที่มั่นคงกว่านี้

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้แข็งมีจริงปรากฏแต่ไม่ใช่เพียงคิดตามที่ได้ฟังว่า ไม่ใช่เราแต่เพื่อเข้าใจแข็งที่ปรากฏเป็นแข็งจริงๆ เท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่นเลย

- ถ้าไม่เข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนมั่นคงจากการฟัง ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏจะไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่กำลังปรากฏตามลักษณะที่ไม่ใช่เราเลย

- เห็นกำลังปรากฏว่าเห็น ควรรู้ยิ่งคือ รู้ว่าเห็นนี้แหละเป็นสิ่งที่สามารถรู้ในขณะที่เห็นเกิดแล้วก็ดับได้จึงสามารถที่จะคลายความยึดถือว่าเราเห็น

- ถ้าไม่เข้าใจตรงเห็นก็เป็นแต่เพียงคิดเรื่องเห็นเท่านั้น

- เห็นมีจริงกำลังเห็น เห็นเกิดจริงๆ ดับจริงๆ แต่ถ้ายังมีสิ่งอื่นปรากฏด้วย การเห็นเข้าใจเห็นในขณะที่กำลังเห็นเกิดไม่ได้

- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจมั่นคงขึ้น เห็นกำลังมีถ้าไม่รู้จักเห็นในขณะที่เห็นปรากฏจะไปรู้อย่างอื่นไม่ได้ต้องเข้าใจสิ่งที่ปรากฏคือ เห็น เพิ่มขึ้น

- ถ้าไม่เริ่มเข้าใจในขณะที่เห็นกำลังมีให้เข้าใจ จะไม่สามารถเ

ข้าใจอะไรได้เลย

- เดี๋ยวนี้มีมนสิการเจตสิกไหม ไม่ใช่เราเข้าใจหรือเราพิจารณาแต่ขณะที่ฟังแล้วไตร่ตรองพิจารณาขณะนั้นเป็นธรรมแต่ละอย่าง

- เพราะฉะนั้นกำลังได้ยินเสียง มนสิการใส่ใจในเสียง

- ขณะกำลังฟังมีจิตที่มนสิการเกิดและเข้าใจคำที่ได้ฟัง

- ขณะที่เข้าใจมีมนสิการเจตสิกเกิดพร้อมกันแต่มนสิการไม่ใช่ความเข้าใจซึ่งเป็นปัญญาเจตสิกและปัญญาเจตสิกก็ไม่ใช่มนสิการเจตสิกแต่เกิดพร้อมกันในขณะที่เข้าใจ

- ถ้าฟังแล้วยังไม่เข้าใจแต่กำลังไตร่ตรอง ขณะนั้นก็มีมนสิการเจตสิกแต่ยังไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย

- ถ้ากำลังพิจารณา ค่อยๆ เข้าใจถูกขณะนั้นก็เป็นมนสิการเจตสิกที่เป็นโยนิโสมนสิการเจตสิกพิจารณาถูกต้องตามความเป็นจริง

- ขณะที่เป็นกุศล ไตร่ตรองด้วยความเข้าใจเป็นโยนิโสมนสิการแต่ยังไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยจึงเป็นกุศลที่ประกอบด้วยธรรมฝ่ายดีแต่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

- เพราะฉะนั้นกุศลจึงมีหลายประเภทที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เช่น ในขณะที่ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นเพราะโยนิโสมนสิการเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควรที่จะช่วยเหลือคนอื่น

- เพราะฉะนั้นกุศลทุกประเภท รักษาศีล เว้นการฆ่าสัตว์ ให้ทาน ช่วยเหลือคนอื่น ทั้งหมดเป็นมนสิการซึ่งเป็นโยนิโสแต่ว่ายังไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เข้าใจไหม

- เดี๋ยวนี้เข้าใจไหม (เริ่มเข้าใจ) เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจ ขณะที่เข้าใจ เป็นความเห็นถูกต้อง เป็นสภาพธรรม เป็นปัญญาเจตสิกเกิดกับโยนิโสมนสิการ ถ้าโยนิโสมนสิการไม่เกิดขณะนั้นไม่สามารถเข้าใจได้

- มีคุณอาช่า มีคุณอาคิ่ล มีคุณมธุไหม (ไม่มี) ไม่มีแต่จำไว้ว่ามีด้วยเหตุนี้การฟังจึงต้องไตร่ตรองตามความเป็นจริง เป็นโยนิโสมนสิการจนกว่าปัญญาจะเข้าใจมั่นคงขึ้น

- เพราะฉะนั้นปัญญานี้แหละที่เข้าใจค่อยๆ เจริญขึ้นเมื่อมีการพิจารณาและไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น

- ปัญญาที่เข้าใจความจริงนี้แหละค่อยๆ เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังเมื่อได้ไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคงว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเท่านั้นที่ปัญญาสามารถรู้ได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาจะรู้ไม่ได้เลย

- ถ้าไม่มีปัญญาที่เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจะสามารถละความเป็นตัวตนความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม

- มีหนทางอื่นอีกไหมที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้น

- เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคงขึ้นจนกระทั่งมีการรู้ตรงลักษณะตามที่เข้าใจโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราไปทำให้เกิดขึ้นแต่เพราะเข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ตรงลักษณะที่ปรากฏได้

- เพราะฉะนั้นการจะรู้ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม ๑ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปก็คือ ขณะที่ฟังไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจขึ้น เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงก็จะเป็นหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงได้ ถ้าเป็นคำสอนอื่นที่ไม่ใช่อย่างนี้จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึเปล่า

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เข้าใจความหมายของธรรม ๑ ที่พิจารณาไตร่ตรองที่เป็นคำที่เราใช้คำว่ามนสิการเจตสิกหรือยัง

- เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการอยู่ไหน อโยนิโสมนสิการอยู่ไหน (อยู่ที่จิต)

- เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการอยู่ที่จิตทุกขณะใช่ไหม (อยู่ที่จิตทุกขณะไม่ได้) เพราะฉะนั้นเข้าใจดี มีคำถามอะไรไหม

- (คุณราเยสกล่าวว่า ส่วนใหญ่ที่สนทนากัน มนสิการก็เป็นอกุศลแต่บางทีก็มีความเข้าใจจากการพิจารณาก็เป็นโยนิโสมนสิการที่นำทางให้เกิดความเข้าใจทีละนิดทีละหน่อย) ถูกต้อง

- ขณะใดไม่มีมนสิการเจตสิก (ไม่มี) ทุกคนเข้าใจดี มนสิการเจตสิกเป็นโลกุตตรได้ไหม (คุณมานิชตอบว่า ได้เพราะมนสิการเกิดกับจิตทุกดวง)

- แล้วมนสิการเป็นโลกุตตรเมื่อไหร่ (ตอนที่เป็นโสดาปัตติมรรค …… อรหัตตผล)

- รวมทั้งหมดเป็นโลกุตตรธรรมเท่าไหร่ (มี ๘ บวกนิพพานเป็น ๙) ถูกต้อง เป็นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงใช่ไหม

- ผัสสเจตสิกเป็นโลกุตตรธรรมได้ไหม (เป็นได้) เมื่อไหร่ (ตอนที่โลกุตตรจิตเกิด) เก่งมาก ทุกคนเข้าใจดีต้องมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้หรือเปลี่ยนได้

- เข้าใจดีกันแล้วใช่ไหม ยังมีเวลาเหลือ จะถามอะไรก็ได้ให้ชัดเจนมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้น

- (คุณมธุอยากรู้เรื่องอาวัชชนจิต) จิตมีหลายประเภทเพราะฉะนั้นต้องทราบว่า จิตนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นวิบากหรือเป็นกิริยา แล้วยังต้องรู้ว่า จิตทุกประเภทเกิดขึ้นทำกิจการงาน

- จิตที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นชาติอะไรแต่ต้องเกิดขึ้นทำกิจ กิจทั้งหมดที่จิตจะทำมี ๑๔ กิจ

- เราคิดว่าเราทำโน่นทำนี่แต่ความจริงเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจการงานเท่านั้น จิตที่เกิดขึ้นไม่ทำกิจไม่ได้เลยเพราะเกิดขึ้นเพื่อทำกิจ ๑

- โลกุตตรจิตมีกิจไหม ขณะที่เห็นมีกิจไหม เพราะฉะนั้นเราจะเรียนเรื่องกิจ ๑๔ กิจของจิต เพราะจิตจะต้องเกิดขึ้นทำกิจ ๑ ใน ๑๔ กิจ

- จิตขณะแรกเกิดขึ้นทำกิจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นขณะแรกคือขณะเกิด จิตเกิดขึ้นรู้แน่นอนเป็นชาติอะไร (เป็นวิบาก) เก่งมาก

- แล้ววิบากจิตมีกิจไหม (ทำกิจเกิด) ภาษาบาลีใช้คำว่า “ปฏิสนฺธิจิต” หรือว่า วิญญาณจิตก็ได้ ปฏิสนฺธิแปลว่า เฉพาะสืบต่อ หลังจากที่จิตสุดท้ายของชาติก่อนดับเป็นปัจจัยให้จิตนี้เกิดขึ้นโดยกรรม ๑ ในสังสารวัฏฏ์เป็นปัจจัย

- จิตที่เกิดขณะแรกมีกี่ขณะ (ขณะเดียว) เกิดอีกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นในชาติ ๑ มีจิตขณะแรก ๑เท่านั้น เป็นผลของกรรม ๑ ในสังสารวัฏฏ์ที่ทำให้จิตนี้เกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนไม่มีระหว่างคั่นเลย

- จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับทันทีเป็นปัจจัยให้จิตของชาตินี้เกิดขึ้นเป็นขณะแรกสืบต่อจากจุติจิตจึงเป็นปฏิสันธิกิจ

- เลือกให้กรรม ๑ ให้ผลได้ไหม ไม่ใช่กรรมอื่นจะเอากรรมนี้ที่เลือกให้ผลได้ไหม แม้กรรมก็ไม่ใช่อะไรเลยเป็นธรรมที่ได้กระทำแล้ว ถึงเวลาที่จะให้ผลจึงทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้

- ถ้าไม่ถึงเวลาของกรรมนั้นที่จะให้ผล กรรมนั้นก็ไม่ได้ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด นี่เป็นเหตุที่ทุกคนเลือกเกิดไม่ได้

- จิตแรกที่เกิดขึ้น เลือกไม่ได้ แล้วแต่กรรม ๑ ให้ผล เป็นอนัตตาใช่ไหม

- ทุกคนต้องตายเพราะเป็นจิตขณะสุดท้ายที่กรรมทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้เลือกที่จะเกิดใหม่ได้ไหมว่า จะเกิดเป็นอะไร

- เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อมีเหตุที่ได้กระทำแล้วเมื่อจากโลกนี้ไปขณะสุดท้ายดับเป็นปัจจัยให้กรรม ๑ ในกรรมทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นเป็นขณะแรกทำปฏิสนธิกิจ

- ตายแล้วต้องเกิดแน่นอนแต่เลือกไม่ได้ว่ากรรมไหนจะทำให้เกิดเป็นอะไร เพราะฉะนั้นทันทีที่ตายจิตที่เกิดเป็นชาติอะไร เป็นกุศลได้ไหม เป็นอกุศลได้ไหม เป็นกิริยาได้ไหม (ไม่

ได้)

- ก็เข้าใจดีเพราะฉะนั้นก็ให้รู้ว่า ตายหมดเดี๋ยวนี้แล้วเกิดทันทีเป็นผลของกรรม ๑ ที่ทำให้เกิดโดยไม่รู้ว่า เป็นผลของกรรมไหน

--ทุกคนเกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นผลของกรรมอะไร (กุศลกรรม)

- ดีมากเพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่า เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นผลของอกุศลและเกิดดีเกิดในสวรรค์ที่ไหนๆ ก็เป็นผลของกุศลซึ่งวันนี้เราจะพูดเพียงกิจแรกของจิตในชาตินี้ซึ่งต้องเป็นวิบากเป็นผลของกรรมเกิดขึ้น แล้วแต่ว่ากุศลกรรมให้ผลหรืออกุศลกรรมให้ผล ถ้ากุศลกรรมให้ผลก็เกิดดีเป็นมนุษย์เป็นอะไรถ้าผลของอกุศลก็ทำให้เกิดไม่ดีเป็นเดรัจฉาน เกิดในนรก ฯลฯ สำหรับวันนี้ก็ยินดีด้วยในกุศล

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 12 ธ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ยินดีในกุศลของทุกท่าน ทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
siraya
วันที่ 13 ธ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 13 ธ.ค. 2565

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 14 ธ.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ