Thai-Hindi 12 November 2022

 
prinwut
วันที่  13 พ.ย. 2565
หมายเลข  45087
อ่าน  414

Thai-Hindi 12 November 2022


- อย่าลืมทุกครั้งที่สนทนาธรรมต้องรู้ว่าเพื่ออะไร จุดประสงค์ที่สนทนาธรรมเพื่ออะไร

- เข้าใจนะคะ เพราะฉะนั้นเราพูดเรื่องจิตทำไม ทำไมเราพูดเรื่องจิต

- เดี๋ยวนี้มีจิตไหม จิตอะไรทีละหนึ่ง (มีได้ยิน) ได้ยินคืออะไร (เป็นจิต) เป็นจิตหมายความว่าอะไร (เป็นธรรมที่รู้ชัด)

- อย่าลืม ต้องพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มีจริงๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยิน มีจริงแน่นอนเพราะกำลังได้ยิน

- ไม่ใช่พูดเรื่องอื่นมากมายแต่ไม่รู้ที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ นั่นไม่ใช่ความประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงให้เข้าใจความจริงที่มีอยู่เดี๋ยวนี้

- เมื่อวานนี้ได้ยินไหม (น่าจะเป็น) ถามว่าอย่างไร (น่าจะมี)

หมายความว่าอย่างไร “น่าจะ” ถามว่า ได้ยินไหม (ที่ตอบแบบนั้นเพราะเราไม่สามารถเจาะจง) นั่นไม่ใช่คำตอบ ถามอะไรตอบตรงคำถามเท่านั้น เมื่อวานนี้มีได้ยินไหม ได้ยินไหมเมื่อวานนี้ ได้ยินอะไรหรือเปล่า

- ไม่เปลี่ยนเรื่องเลย พูดคำไหนกำลังพูดเรื่องนั้นเท่านั้นไม่ใช่ไปคิดเรื่องอื่น

- เมื่อวานนี้คุณอาช่าได้ยินรึเปล่า (ได้ยิน) ผิดค่ะ ฟังคำถาม เมื่อวานนี้คุณอาช่าได้ยินรึเปล่า (อาช่าไม่มีแต่มีการได้ยิน)

- เดี๋ยวนี้ที่ได้ยินมีอาช่าไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นได้ยินไม่ใช่อาช่าแน่นอน ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วหมดไปใช่ไหม

- เมื่อไหร่จะเข้าใจอย่างนี้ว่า ไม่มีอาช่า ได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับไม่เหลือเลย ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นสุญญตา

- ไม่ได้ถามอย่างนั้นแต่ถามว่า ไม่มีอาช่าที่ได้ยินเพราะได้ยินเกิดเป็นได้ยิน ไม่ใช่อาช่า

- เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงว่า ไม่มีอาช่า ไม่มีอะไรเลยนอกจากมีธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป

- ถ้าเราไม่พูดเรื่องได้ยิน เมื่อไหร่จะหมดความเข้าใจว่า อาช่าได้ยิน

- เพราะฉะนั้นก็อยู่ต่อไปในสังสารวัฏ ออกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ไม่ได้เลย

- เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของการฟังเพื่อเข้าใจจนถึงไม่มีอาช่า ไม่มีอะไร นอกจากมีสิ่งที่เกิดแล้วดับตลอดเวลา

- เพราะฉะนั้นธาตุที่เป็นใหญ่คือ ธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุที่เป็นใหญ่ที่เกิดขึ้นรู้ อะไรก็ไม่มีทั้งหมด

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดมีเพราะธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น

- เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่เป็นใหญ่ชื่อว่า มนินทรีย์ เป็นอีกคำหนึ่งของจิต

- เมื่อไหร่ไม่มีจิตตั้งแต่เกิดมา มีจิตตลอดเวลาแต่ไม่รู้จักจิตใช่ไหมถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสเรื่องจิตให้รู้

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนานเท่าไหร่จึงจะทำให้รู้จักจิต รู้จักจิตรึยัง อีกร้อยปีพันปีจะรู้จักจิตไหม (ไม่) จนกว่าจะรู้จักจิตเดี๋ยวนี้

- นี่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ประสูติที่นี่ ตรัสรู้ที่นี่ทรงแสดงธรรมที่นี่ ทรงปรินิพพานที่นี่ คือที่ที่ได้ทรงแสดงแล้วในประเทศอินเดีย

- คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เฉพาะเมื่อพระองค์ยังไม่ปรินิพพาน แต่จะมีอยู่ต่อไปตราบที่มีคนเข้าใจคำของพระองค์เท่านั้น

- เดี๋ยวนี้มีจิตแต่ไม่มีใครรู้จักจิตจนกว่าพระองค์จะตรัสถึงจิตให้รู้ความจริงว่า จิตคืออะไร

- ตอนนี้ทุกคนรู้จักจิตแล้ว เราจะพูดถึงจิตแต่ละหนึ่ง เดี๋ยวนี้อะไรเป็นจิต (ได้ยิน)

- ได้ยินเป็นได้ยิน ทุกครั้งที่เกิดได้ยินเปลี่ยนได้ยินให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นหนึ่งประเภทของจิต

- สงสัยอะไรในจิตได้ยินไหม เพราะฉะนั้นมั่นคง รู้จักจิตประเภทหนึ่งคือ ได้ยิน ไม่ใช่คุณอาคิ่ล ไม่ใช่คุณอาช่า แต่เดี๋ยวนี้เป็นจิตที่เกิดได้ยินแล้วดับ ๑

- ต่อไปรู้จักจิตอะไรอีก (ที่รู้ได้คือจิตที่ปรากฏเพราะฉะนั้นเห็นปรากฏก็เข้าใจได้ แต่ก็รู้ว่าขณะนั้นมีจิตอื่นด้วย) เดี๋ยวก่อนๆ กำลังเห็นแล้วรู้ว่ามีจิตอื่น รู้ได้อย่างไร ใครบอก

- อยากเข้าใจ สามารถจะรู้จริงๆ ได้ไหมเดี๋ยวนี้ ฟังเพราะอยากเข้าใจแต่จะรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ไหม

- เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงจิตทีละหนึ่งและดูว่ามีความเข้าใจในจิตนั้นแค่ไหนหรือยังเลย

- ถ้ากำลังเห็น พูดถึงจิตเห็น จะทำให้เขาค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่เห็นไหม

- กำลังเห็น รู้ชื่อแต่ไม่รู้ลักษณะที่เห็น เป็นประโยชน์อะไร

- เพราะฉะนั้นเขารู้ว่า ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏแต่หนทางที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่พูดเรื่องอื่นในขณะที่กำลังเห็น

- มีจิตที่กำลังเห็น ยังไม่รู้จักแต่ว่าคิดถึงเรื่องอื่นจะไม่มีวันรู้จักแต่กำลังเห็นแล้วพูดเรื่องเห็นอีกๆ ในขณะที่กำลังเห็น จะค่อยๆ ทำให้เริ่มรู้จักสภาพเห็น

- เห็นขณะนั้นเกิดแล้วดับรึเปล่า รู้เห็นที่เกิดดับเดี๋ยวนี้รึเปล่า แสดงความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังปรากฏใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ธรรมลึกซึ้งเพราะอยู่ที่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับแล้วไม่รู้ว่า เห็นเกิดดับนั่นลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า ทุกสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วดับหมดเลยทันที ต้องไม่ลืมเพื่อที่จะได้เริ่มเข้าใจทีละหนึ่ง

- เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรมรึเปล่า เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ เห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น เห็นเกิดแล้วดับเป็นสัจจธรรมรึเปล่า

- คนที่ไม่รู้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับ รู้ว่าเห็นเป็นสัจจธรรมรึเปล่า

- เพราะฉะนั้นไม่ลืม เห็นเดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจจธรรมเมื่อสามารถรู้ความจริงของเห็นที่กำลังเกิดดับ ด้วยเหตุนี้อริยสัจที่ ๑ สภาพที่เกิดดับเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งจึงเห็นยาก

- ถ้ารู้แต่ชื่อของจิตมากๆ แต่ไม่รู้เห็นที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ ลึกซึ้งไหม

- มั่นคงในอริยสัจที่ ๑ รึยัง มั่นคงขั้นไหน เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสและอริยสัจที่ ๔ คืออะไร (คือความเข้าใจ) เดี๋ยวนี้รึเปล่า มั่นคงไหมว่าสิ่งนี้เริ่มเป็นอริยสัจที่ ๑ ในอริยสัจ ๔ รอบที่หนึ่ง

- เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจมั่นคงว่า ถ้าไม่มีญาณขั้นที่ ๑ คือ สัจญาณในอริยสัจ ๔ ไม่สามารถที่จะรู้จริงๆ ในสิ่งที่กำลังได้ฟังได้

- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อไม่ประจักษ์แจ้งความจริง แต่เพื่อประจักษ์แจ้งความจริงเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่จะให้ประจักษ์แจ้งเป็นอริยสัจธรรมที่ ๔

- ตอนนี้ให้เขานับ เขารู้จักจิตชื่ออะไรบ้างทีละหนึ่ง ทีละคำ ทีละหนึ่งชื่อ ดิฉันจะนับเอง (เห็น)

- เห็น ภาษาบาลีเป็น จักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณะ จักขุวิญญาณํ แล้วแต่

- หนึ่ง รู้จริงๆ รึยัง (ยัง) ถูกต้อง เพียงรู้ชื่อเข้าใจชื่อแต่เดี๋ยวนี้มีเห็นก็ยังไม่ประจักษ์แจ้งจริงๆ หนึ่งละ ต่อไปจิตอะไรที่ไม่รู้ที่พูดถึง ไม่รู้หนึ่งแล้วนะ

- เดี๋ยวก่อน คุณอาช่ามั่นใจรึยังว่า จิตเห็นเป็นหนึ่งเดียวคือเกิดขึ้นเห็น ทำอื่นไม่ได้เลย

- เดี๋ยวนี้จิตเห็นมีเท่าไหร่ (มีเยอะมาก) แสดงว่ายังไม่รู้จักความจริงว่า หนึ่งขณะเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น

- ทั้งวันขาดจิตได้ไหม เพราะฉะนั้นเร็วแค่ไหนสำหรับจิตหนึ่งขณะจะเกิดขึ้นแล้วก็ดับ จะเกิดขึ้นแล้วก็ดับ จะเกิดขึ้นแล้วก็ดับ รู้เฉพาะสิ่งที่กระทบตาที่เป็นจิตเห็น

- รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึยัง (นิดหน่อย) นิดหน่อยแต่จะรู้จักพระองค์มากขึ้นเมื่อเข้าใจขึ้นทีละน้อย

- รู้แค่นี้เคารพในพระองค์แค่ไหน

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดประเสริฐที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร (การเข้าใจความจริง) ยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งหมด

- เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่มั่นคงกำลังปลูกฝังอธิษฐานเป็นบารมีในการที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น

- ถ้ารู้จักเพียงชื่อจะเป็นบารมีไหม

- เพราะฉะนั้นหนึ่งแล้วจิตเห็น ต่อไปอะไร (การได้ยินที่ภาษาบาลีเรียกว่า โสตวิญญาณ) เดี๋ยวนี้มีไหม

- เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่จะรู้ได้ไหม ถ้าสิ่งนั้นมีแต่ไม่มีเดี๋ยวนี้จะรู้ได้ไหม เพราะฉะนั้นเขามั่นคงไหมว่า วันนี้จะรู้เห็นเพราะเห็นมีจริงๆ ขณะที่กำลังเห็น วันนี้จะรู้ได้ยินเพราะได้ยินจริงๆ ในขณะที่ได้ยินได้ไหม ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลยแต่รู้สิ่งที่กำลังมีที่กำลังปรากฏ

- เพราะฉะนั้น ๒ อย่าง จิตเห็น จิตได้ยิน มีจริงๆ ปรากฏเพราะฉะนั้นรู้เห็นได้ รู้ได้ยินได้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ขณะนั้นแต่ละหนึ่งซึ่งต่างกัน

- อะไร ๒ แล้ว (สัมผัส) เป็นจิตหรือ พูดเรื่องจิตต้องไม่ลืม กำลังพูดเรื่องอะไรไปพูดเรื่องอื่นได้อย่างไร (พูดถึงสัมผัสทางกาย)

- ถามว่า จิตรู้สิ่งที่กระทบกาย ไม่ใช่สัมผัส สัมผัสไม่ใช่จิตแต่จิตรู้สิ่งที่กระทบกาย

- ดีมากเพราะเดี๋ยวนี้มีเห็น และมีได้ยิน และมีจิตที่รู้สิ่งที่กระทบกาย สามแล้วแล้วมีจิตอะไรอีก (ได้กลิ่น) สี่แล้วแล้วมีอะไรอีก (การลิ้มรสตอนนี้ไม่เกิดแต่รู้ว่ามี)

- เพราะฉะนั้นมี ๕ จิตที่รู้ได้ในชีวิตประจำวัน แล้วมีจิตอะไรอีกที่รู้ได้ในชีวิตประจำวัน (คิด)

- ๕ แล้ว ทางตา ทางจมูก ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ห้าแล้วและทางใจอีกหนึ่งเป็นหก

- มีจิตอีกหนึ่งในชีวิตประจำวัน รู้ได้แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะรู้หรือไม่รู้ รู้ไหมว่าขณะไหน (ไม่ทราบ) ขณะที่หลับมีจิตไหม แต่ไม่รู้

- แต่เป็นอะไรที่ไม่เห็น ไม่ใช่จิตที่ได้ยิน ไม่ใช่จิตที่ได้กลิ่น ไม่ใช่จิตที่ลิ้มรส ไม่ใช่จิตที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ใช่จิตที่คิดนึก แต่ยังมีจิตแต่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีไหมจิตนั้น

- เพราะฉะนั้นมีจิตที่ปรากฏ เห็น ๑ ได้ยิน ๑ ได้กลิ่น ๑ ลิ้มรส ๑ รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๑ คิด ๑และมีจิตที่มีแต่ไม่ได้รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช่ไหม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 13 พ.ย. 2565

- เขาอยากจะรู้อะไรเรื่องจิตอีก (ราเยสถามว่า จิตที่รู้ไม่ได้ทางใจกับ ๕ ทวาร คือจิตใดและในเมื่อไม่ปรากฏจะรู้ได้อย่างไร)

- เพราะฉะนั้นเมื่อมี ปัญญาสามารถรู้ได้เมื่อถึงเวลาที่ปัญญาจะรู้อย่างนั้น

- เวลานี้ไม่มีเห็นแต่เราก็รู้ว่าเห็นมีแต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ใช่ไหม

เดี๋ยวนี้ไม่ได้หลับแต่ก็รู้ว่า เวลาหลับไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไรใช่ไหม

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะไม่มีใครรู้เลยว่า ขณะที่หลับจิตรู้อะไร

- เพราะฉะนั้นที่เรานับจิตว่ามีเท่าไหร่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏในชีวิตคือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกแล้วก็หลับคือไม่ใช่การรู้อารมณ์ทางนี้เลย เป็นจิตด้วย

- ขณะที่หลับเป็นจิตประเภทต่างๆ ที่ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ใช่คิดนึก

- เวลาเกิดมีใครรู้บ้างว่าจิตประเภทไหนเกิด เหมือนจิตเห็นไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดแล้วดับแล้วใช่ไหมกำลังหลับรู้ได้ไหม

- เพราะฉะนั้นมีจิตที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถจะรู้จิตนั้นได้และก็มีจิตที่เกิดขึ้นปรากฏจึงสามารถรู้ได้

- ขณะเกิดจิตที่ทำหน้าที่เกิดแล้วมากต่างกัน ไม่ใช่จิตประเภทเดียวที่ทำหน้าที่เกิด

- จิตที่เกิดแล้วเป็นคน จิตที่เกิดแล้วเป็นสัตว์ จิตที่เกิดต่างกัน

- เพราะฉะนั้นจิตเห็น ๑ จิตได้ยิน ๑ จิตได้กลิ่น ๑ จิตลิ้มรส ๑ จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๑ และก็จิตคิดนึกแล้วยังมีจิตที่ทำหน้าที่เกิดขึ้นในขณะที่เราเรียกว่าเกิด เพราะฉะนั้นจิตที่ทำหน้าเกิดในขณะที่เกิด ไม่เห็น ไม่ได้ได้ยิน แต่เป็นจิตต่างประเภทกัน เรากำลังเรียนว่าจิตมีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราเริ่มจากชีวิตประจำวันที่ปรากฏและในชีวิตประจำวันก็มีจิตที่ไม่ได้ปรากฏแต่หลากหลายเพราะเป็นจิตต่างประเภท

- เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าจิตขณะนี้ต่างกันมาก และเราเพิ่งรู้จิตบางประเภทเช่น จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและจิตคิดนึก แล้วจิตที่กำลังนอนหลับสนิท เพราะฉะนั้นจิตที่กำลังนอนหลับสนิท นกก็หลับ แมวก็หลับ คนก็หลับ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขณะนั้นต่างกันตามจิต เพราะฉะนั้นเรากำลังจะเรียนเรื่องจิตต่างๆ กันมีอะไรบ้าง ขณะไหนบ้าง

- เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มเรียนรู้ว่า จิตต่างๆ กันตามประเภทของจิตนั้นๆ

- จิตที่เกิดขึ้นขณะแรกในชีวิตเกิดแล้วเลือกไม่ได้ ไม่มีใครเลือกเกิดให้จิตอย่างนั้นอย่างนี้เกิดแต่จิตเกิดแล้ว

- จิตขณะนี้เกิดเห็นแล้ว เลือกได้ไหมว่าจะเห็นอะไร

- จิตที่ได้ยินเกิดแล้ว เลือกได้ยินเสียงต่างๆ เองได้ไหม

- จิตที่ได้กลิ่นเกิดแล้ว เลือกก่อนไม่ได้ว่าจะได้กลิ่นอะไร

- สิ่งที่มีจริงต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งมีลักษณะที่น่าพอใจ อีกอย่างหนึ่งมีลักษณะที่ไม่น่าพอใจ

- กลิ่นมีหลายกลิ่น กลิ่นที่น่าพอใจก็มี ไม่น่าพอใจก็มี เลือกได้กลิ่นที่น่าพอใจได้ไหม เพราะฉะนั้นมีเหตุที่จะทำให้กลิ่นต่างกัน ให้ทุกอย่างที่เกิดต่างกันเป็นประเภทต่างๆ มากมายหลายนัย

- เพราะฉะนั้นทราบว่า จิตมีมากเกิดดับนับไม่ถ้วนต่างกันเป็นประเภท จิตมีมากมายหลายประเภทแต่สามารถที่จะรู้ว่า จิตที่เกิดเหล่านั้นต่างกันเป็นประเภทๆ

- วันหนึ่งๆ เห็นแต่ไม่รู้ว่า ขณะไหนเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ขณะไหนเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ

- เพราะฉะนั้นจิตเห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่น่าพอในเป็น ๑ จิตเห็นสิ่งที่ดีที่น่าพอใจเป็น ๑ เพราะฉะนั้นจิตเห็นมี ๒ อย่าง

- เพราะฉะนั้นรู้จักจิต ๑๐ อย่างแล้วใช่ไหม ถ้ารู้แล้วบอกอีกครั้งหนึ่ง จิต ๑๐ คืออะไร (เห็น ๒ ได้ยิน ๒)

- เพราะฉะนั้น ๒ นั้นคืออะไร

- เพราะฉะนั้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นจิต ๑ เลือกไม่ได้ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นจิต ๑ เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตเห็นมี ๒

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า จิตเห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของการกระทำที่ดี จิตเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของการกระทำที่ไม่ดีเพราะเหตุไม่ดีผลจึงไม่ดี

- บางคนเกิดมาเห็นแต่สิ่งที่ดีมากมาย บางคนเกิดมาเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีมากมายเป็นเพราะเหตุ ถ้ามีเหตุที่ไม่ดีมากก็ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดีมาก ถ้ามีเหตุที่ดีมากก็ทำให้เห็น ได้ยิน สิ่งที่ดีมาก

- เพราะฉะนั้นการเห็นการได้ยินทุกขณะในชีวิตประจำวันมาจากการเกิดที่ดีและการเกิดที่ไม่ดีที่เราได้ยินบ่อยๆ คือคำว่า กรรม หมายถึงการกระทำที่ดีเป็นเหตุดีที่จะทำให้ผลที่ดีเกิดขึ้น ถ้าเป็นกรรมที่ไม่ดีหรือการกระทำที่ไม่ดีเป็นเหตุที่ไม่ดีที่จะทำให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น

- วันหนึ่งๆ ทำสิ่งที่ดีมากหรือว่าทำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่า

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะรู้ไหมว่า ยืนอยู่เดี๋ยวนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แต่ถ้าศึกษาฟังเหตุผลต่อไปก็จะรู้จักลักษณะของจิตประเภทต่างๆ ว่า จิตไหนเป็นกุศล จิตไหนเป็นอกุศล ไม่ใช่จิตเห็น ไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตได้กลิ่น

- เพราะฉะนั้นฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ถูกต้องขึ้น

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า จิตประเภทไหนเป็นกุศลที่ดีงาม จิตประเภทไหนเป็นอกุศลที่ไม่ดีงามเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผล

- จิตที่เกิดขึ้นขณะแรกยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลยแต่เกิดแล้วเป็นผลของกรรม ๑ ทำให้จิตประเภทนั้นทำให้เกิดผลในชีวิตต่อไปทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นั่นคือผลของกรรมที่กระทำแล้วทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นประเภทนั้นที่จะนำให้ได้เห็นได้ยินสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจต่างๆ กัน

- เรากำลังเรียนเรื่องจิตกันหรือเปล่า มีจิตทุกขณะแต่ไม่รู้เป็นจิตอะไร ประเภทไหน ถามว่าเรากำลังเรียนศึกษาเรื่องจิตกันรึเปล่าเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นแต่ก่อนนี้เราไม่รู้เลยว่า จิตต่างกันทุกขณะเป็นประเภทต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้เรารู้ว่า จิตเกิดขึ้น๑ ขณะแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นจิตขณะแรกที่เกิดไม่ใช่จิตขณะต่อๆ ไป

- เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า จิตหลากหลายมาก เพียง ๑ เกิดแล้วดับไม่ซ้ำกันและไม่กลับมาเกิดอีกเลย

- จิตที่เกิดขณะแรกเกิดแล้วไม่กลับมาอีกเลยแต่จิตขณะนั้นไม่ใช่จิต ๑ ประเภท มีหลายๆ ประเภทต่างกันที่เป็นผลของกรรมดีและกรรมไม่ดี

- ต่อไปเราจะพูดถึงเรื่องจิตแต่ละชนิด จิตขณะแรกเกิดขึ้นเพราะเป็นผลของการกระทำที่ได้กระทำแล้ว

- การกระทำที่กำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้และที่ได้กระทำแล้วนานแสนนานสามารถที่จะทำให้จิตขณะแรกเกิดขึ้นเป็นชาติหรือการเกิดเป็นคนหรือเป็นสัตว์หลากหลายมากตามกรรมที่ได้กระทำ

- เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มเข้าใจให้ถูกต้อง จิตใดเป็นเหตุของกรรม จิตใดเป็นผลของกรรม

- เพราะฉะนั้นวันนี้ทำกรรมอะไรบ้าง เมื่อวานนี้ทำกรรมอะไรบ้าง ตั้งแต่เกิดมาทำกรรมต่างๆ และกรรมที่ได้ทำแล้วสามารถเป็นเหตุให้เมื่อตายไปแล้วก็ทำให้เกิดปฏิสนธิทันที

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องกรรมละเอียดว่า กรรมไหนจะให้ผลอย่างไรในขณะที่มีกำลังแค่ไหน เพราะฉะนั้นกรรมที่ได้ทำแล้วแม้นานมาแล้วแต่มีกำลังมากแสนโกฏกัปป์มาแล้วก็ยังมีกำลังที่จะทำให้เกิดได้ เราจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าที่เราเกิดชาตินี้เป็นผลของกรรมในชาติก่อนที่จะเกิด หรือว่าเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วนานมาก

- เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดทุกชาติทุกวันทุกประเภทสามารถที่จะจำแนกโดยนัยของชาติที่มีการเกิดได้ ๔ประเภท

- เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า ขณะไหนเป็นกรรมที่จะทำให้เกิดผล ขณะไหนเป็นผลที่เกิดจากการกระทำแล้วเราไม่รู้ว่าที่เกิดเป็นคนนี้เป็นผลของกรรมชาติไหน

- ทันทีที่จิตสุดท้ายเกิดขึ้น ๑ ขณะทำกิจพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ กรรมที่ได้กระทำแล้วในชาตินี้และในชาติก่อนๆ กรรม ๑ เท่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดต่อไปเป็นชาติต่อไป

- เกิดชาตินี้เป็นผลของกรรมอะไร ไม่รู้ ขณะนี้เกิดชาตินี้รู้ว่าทำกรรมอะไรบ้างถ้าเป็นผลของกรรมดีก็เกิดเป็นคนเป็นเทวดาได้

- จากโลกนี้ไปขณะตายมีขณะอื่นเกิดทันที ไม่รู้ว่าเป็นผลกรรมอะไร เป็นผลของกรรมดีหรือเป็นผลของกรรมไม่ดีขณะนี้

- มีใครรู้บ้างจากโลกนี้ทันทีเดี๋ยวนี้ก็ได้แล้วไปไหน เกิดเป็นอะไร

- ม้ากัณฐกะทุกคนรู้จัก เกิดเป็นม้าแต่ตายจากโลกนี้ไปแล้วเกิดเป็นเทวดาลงมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งอริยสัจจธรรม

- กรรมที่ได้กระทำแล้วเปลี่ยนไม่ได้เพราะฉะนั้นเมื่อจากโลกนี้ไป แล้วแต่ว่ากรรมใดจะทำให้เกิดเป็นอะไร เพราะฉะนั้นชาตินี้ทำให้ไม่ประมาท ถ้าทำกรรมที่ไม่ดีแล้วชาติก่อนก็มีกรรมที่ไม่ดีซึ่งมีโอกาสที่จะให้ผล หลังจากตายแล้วก็เกิดในภูมิที่ไม่ดี

- ผู้ที่จะไม่เกิดในอบายภูมิอีกเลยแน่นอนคือ พระโสดาบัน แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏจนรู้แจ้งเป็นอริยสัจจธรรมก็เป็นพระโสดาบันไม่ได้ ยังต้องเกิดในภูมิที่ไม่ดีต่อไปได้

- การเกิดปฏิสนธิเป็นผลของกรรมและหลังจากเกิดแล้วก็เห็นเป็นผลของกรรม ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นผลของกรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันว่า เป็นผลของกรรม และกรรมก็คือการกระทำที่เป็นกรรมดี ๑ ไม่ดี ๑

- เพราะฉะนั้นวันนี้ก็รู้จักจิตในชีวิตประจำวันว่าต่างกัน เท่าที่ทราบเดี๋ยวนี้คือ เป็นเหตุที่ดีเป็นกุศล ๑เป็นเหตุที่ไม่ดีเป็นอกุศล ๑ และเมื่อเหตุที่ดีหรือไม่ดีได้กระทำไปแล้วก็จะทำให้เกิดผลคือ วิปากะหรือวิบากคือ จิตที่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบกาย ตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว

- เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เข้าใจการเกิดของจิตแต่ละ ๑ ว่าต่างกันเป็น ๔ ประเภทคือ ๑ กุศล ๒ อกุศล ๓ วิปากะเป็นผลของกุศลและอกุศล สามแล้วเหลืออีกหนึ่งซึ่งเราจะได้กล่าวถึงในคราวต่อไป

- จิต ๑ ขณะต่างกันมากโดยนัยของชาติที่เรากล่าวถึงการเกิดของจิตเป็นกุศล หรืออกุศล หรือเป็นวิบาก หรือกิริยาและยังมีต่างกันโดยนัยอื่นๆ เพียง ๑ ขณะแต่นี่จิตมากต่างกันมากด้วยเหตุต่างๆ กันหลายอย่าง ทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้จริงๆ จนกว่าจะเริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเริ่มรู้ว่า ไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งหมด

- ถ้าไม่เริ่มเข้าใจความละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะเพิ่มขึ้น ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงและติดข้องในสิ่งนั้นนานแสนนานยากที่จะไม่มีได้หรือดับได้เกิดอีกได้

- และนี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของอริยสัจที่ ๑ คือหนทางที่จะรู้ความจริงจนประจักษ์แจ้งความเป็นจริงได้ อริยสัจที่ ๔ มรรคมีองค์ ๘ หนทางที่จะรู้ความจริงลึกซึ้งและนี่กำลังเป็นหนทางที่ลึกซึ้งที่สามารถค่อยๆ เข้าใจจนประจักษ์แจ้งอริยสัจได้

- มิฉะนั้นเราก็เพียงแต่จำชื่อและพูดเรื่องอริยสัจ ๔ แต่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจ

- วันนี้ก็พอสมควรนะคะ สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 13 พ.ย. 2565

"คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เฉพาะเมื่อพระองค์ยังไม่ปรินิพพาน แต่จะมีอยู่ต่อไปตราบที่มีคนเข้าใจคำของพระองค์เท่านั้น"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
siraya
วันที่ 14 พ.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา คุณตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 14 พ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ