[คำที่ ๕๗๙] อุปฺปถ

 
Sudhipong.U
วันที่  8 ต.ค. 2565
หมายเลข  44556
อ่าน  314

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อุปฺปถ

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อุปฺปถ อ่านตามภาษาบาลีว่า อุบ - ปะ - ถะ มาจาก อุ บทหน้า ลงในความหมายว่า นอก [ซ้อน ปฺ] กับคำว่า ปถ (ทาง) รวมกันเป็น อุปฺปถ หมายถึง นอกทาง, ทางผิด ซึ่งไม่ใช่ทางที่ควรดำเนิน ที่เป็นทางที่ไม่ควรดำเนิน เพราะเหตุว่า เป็นทางที่ทำให้อกุศลธรรมเกิดพอกพูนทับถมมากยิ่งขึ้น ทำให้จมอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่เป็นเหตุนำออกจากทุกข์ได้เลย ไม่พ้นไปจากอกุศลธรรมประการต่างๆ มี ราคะ ความติดข้อง ความยินดีพอใจ เป็นต้น ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อุปปถสูตร ดังนี้

เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นทางผิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ราคะ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นทางผิด

ในสารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค อุปปถสูตร มีคำอธิบาย ดังนี้ บทว่า ราโค อุปฺปโถ ความว่า ราคะนั้น มิใช่ทางของผู้ไปสู่สุคติและพระนิพพาน


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งและที่สำคัญ แสดงถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ การที่จะเข้าใจธรรมได้นั้น ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาไปตามลำดับทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด โดยนัยประการต่างๆ มากมาย ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก จะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่เข้าใจผิด

เมื่อกล่าวถึงหนทางแล้ว มี ๒ ทาง คือ ทางที่ผิด กับทางที่ถูก ถ้าเป็นทางดำเนินที่ผิดนั้น ย่อมเป็นทางที่ไม่ทำให้ถึงซึ่งการดับกิเลส ไม่สามารถทำให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่นำสัตว์โลกออกจากทุกข์ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมด เพราะอกุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย ไม่ทำให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมจะเป็นทางที่ถูกต้องไม่ได้เลย มีแต่จะเป็นทางหรือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์เท่านั้น นี้คือความเป็นจริง และกุศลประการใดๆ ก็ตาม ที่กระทำเพื่อปรารถนาลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ ปรารถนาได้รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ หรือแม้แต่หวังการเกิดในภพภูมิที่ดี ก็ไม่ใช่ทางดำเนินที่จะนำไปสู่การดับกิเลสได้เลย ไม่สามารถทำให้ถึงการพ้นจากทุกข์ได้เลย จึงเป็นทางที่ผิดด้วย เพราะยังเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ไม่พ้นจากทุกข์ ส่วนทางดำเนินที่ถูกต้อง ที่เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญาที่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงนั้น ต้องเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา และการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง แม้ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมเป็นทางดำเนินที่จะทำให้ถึงซึ่งการดับกิเลสในภายหน้าได้ในที่สุด

สำหรับการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นนั้น เป็นเรื่องที่ยาวไกลมาก ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ละคลายอกุศลธรรม คือความไม่รู้ ความติดข้อง และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ซึ่งการละความยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคลเป็นตัวตน นั้น ไม่ง่ายเลย เพราะเหตุว่าจะต้องเป็นในแต่ละขณะที่รู้ความจริงว่า สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้เลย ที่น่าพิจารณา คือ การที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นสิ่งที่ยาก บางคนสละวัตถุง่าย มีการสะสมมาที่จะเป็นผู้มีอัธยาศัยในการให้ ก็พร้อมที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น หรือบางคน ก็อาจจะมีจิตใจดี มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอยู่เสมอ แต่แม้กระนั้นการที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ต้องยากกว่า เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของปัญญา เป็นสิ่งที่ละเอียดและลึกซึ้งมาก ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่รู้ลักษณะของธรรมจริงๆ ขณะนั้นก็ไม่สามารถละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้เลย ดังนั้น จึงต้องดำเนินในทางที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่การดำเนินไปในทางที่ผิด ไม่ใช่การประพฤติตามๆ กันไปด้วยความไม่รู้

การจะพ้นจากการดำเนินไปในทางที่ผิดได้นั้น ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความเห็นผิด ความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลาย เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายผิดทั้งหมด พุทธบริษัทในครั้งอดีต มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็เพราะได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฉันใด พุทธบริษัทในยุคนี้สมัยนี้ จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เช่นเดียวกัน ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยในแต่ละคำของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่งในทุกคำ

ขณะที่ฟังพระธรรม เป็นการสะสมความเข้าใจถูก เริ่มที่จะมีความเห็นถูก จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ โดยที่จะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา และประการที่สำคัญ เราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า โอกาสที่เราจะได้เข้าใจธรรมในชาตินี้จะเหลืออีกเท่าใด ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว จะต้องไม่ลืมจริงๆ ว่า ทุกคนกำลังจะตาย เพราะตายเมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ตายได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในเมื่อจะต้องตาย ก็ควรที่จะได้มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ประมาทในการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งยากที่จะได้ฟังและยากที่จะเข้าใจ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นที่พึ่งต่อไป นี้แหละจึงจะเป็นเครื่องป้องกันต้านทานไม่ให้ดำเนินไปในทางที่ผิดโดยประการทั้งปวง


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เข้าใจ
วันที่ 9 ต.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 21 พ.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ