ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ The Revanta เมืองลัคเนา เมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ๑๑ กันยายน ๒๕๖๕

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  26 ก.ย. 2565
หมายเลข  44247
อ่าน  957

เมื่อช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะ ได้เดินทางไปยังอาคาร The Revanta เมืองลัคเนา เมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สถานที่จัดงาน "การนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และ สนทนาธรรม" ที่ทางมูลนิธิพระธรรม ประเทศอินเดีย (Dhamma Foundation India) โดยคุณอาช่า สินธุ ประธานมูลนิธิ และคุณอาคิล สินธุ ได้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ แก่คณะเจ้าหน้าที่ตำรวจของกรมตำรวจเมืองลัคเนา (เมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย) ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และให้ความอุปการะ สนับสนุน การทำงานในการเผยแพร่พระธรรมของมูลนิธิพระธรรม ประเทศอินเดีย (Dhamma Foundation India) โดยความอุปถัมภ์ของ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ประเทศไทย อย่างดียิ่งเสมอมา

ในการนี้ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จากประเทศไทย ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบโล่ และของที่ระลึก แก่กรมตำรวจแห่งเมืองลัคเนา ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ชาวอินเดีย ที่ให้การสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิพระธรรม แห่งประเทศอินเดีย (Dhamma Foundation India) อีกด้วย

ภายหลังจากการมอบโล่ และของที่ระลึกแก่กรมตำรวจแห่งเมืองลัคเนา ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ชาวอินเดีย ที่ให้การสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิพระธรรม แห่งประเทศอินเดีย (Dhamma Foundation India) เสร็จแล้ว ก็ได้เริ่มการสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี เพื่อการประดิษฐานพระธรรม ณ แดนพุทธภูมิ ครั้งที่ ๒ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ณ เมืองลัคเนา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕

โอกาสนี้ นายตำรวจระดับสูงของเมืองลัคเนา Mr. Nilabbja ChoudharyJoint commissioner of police, Lucknow, Deputy commissioner of police, Mr. Shivasimpi Channappa (Indian Police services) พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากสำนักงานตำรวจ เมืองลัคเนา ได้ให้เกียรติเข้ารับโล่ และของที่ระลึก จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จากการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งให้ความอุปการะ สนับสนุน การทำงานในการเผยแพร่พระธรรม ของมูลนิธิพระธรรม ประเทศอินเดีย (Dhamma Foundation India) ด้วยดีเสมอมา

ในงานนี้ ได้มีประชาชนชาวอินเดีย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้าราชการ ผู้พิพากษา ตลอดจนนักธุรกิจชาวอินเดีย ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นเกียรติ ร่วมรับฟังและร่วมสนทนา ในการสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการเดินทางมาประดิษฐานพระธรรม ณ แดนพุทธภูมิ ตามเจตนารมณ์ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นครั้งที่ ๒ เป็นจำนวนมาก

ลำดับต่อไป จะขอนำภาพและความการสนทนามาบันทึกไว้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ดังต่อไปนี้

อ.สุจินต์ : วันนี้ เป็นโอกาสพิเศษ ที่คงจะไม่มีอีก ในสังสารวัฏ เพราะว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็ต้องหมดไป เพียงครั้งเดียว ในสังสารวัฏ เพราะฉะนั้น วันนี้ ก็จะเป็นวันที่เรามีโอกาส ได้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกคนได้ยินชื่อมาตลอดเวลา แต่ว่า การที่จะได้รู้จักพระองค์จริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย

เพราะฉะนั้น วันนี้ ก็เป็นโอกาสที่ มูลนิธิพระธรรม (Dhamma Foundation) และ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (Dhamma Study and Support Foundation) ได้มาพบปะกับข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ดูแลมูลนิธิพระธรรมอย่างดี เพราะฉะนั้น ก็ขอถือโอกาสขอบคุณในความดี ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ค่ะ

ข้อความบางตอนจากการสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี ในวันนี้ :

อ.สุจินต์ : ความจริงของสิ่งที่มีจริง ลึกซึ้ง สุดที่จะประมาณได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณา แสดงความละเอียดของทุกอย่าง ที่ละเอียดยิ่ง เพื่อให้รู้ว่า อยู่ในโลกที่ไม่รู้อะไรเลย ตามความเป็นจริง

ทุกอย่างในชีวิตของแต่ละคน หลากหลายมาก เพราะเหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้นต่างกัน ไม่ว่าในโลก หรือชีวิตเดี๋ยวนี้ หรือสมัยก่อน แสนโกฏิกัปป์นานมาแล้ว หรือต่อไปข้างหน้า ก็เป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้อย่างนี้ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วตลอดชีวิต จะมีทุกวันที่ไม่เหมือนกันเลย เช้าก็ไม่เหมือนตอนกลางคืน แต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประมวลสภาพธรรมะซึ่งนับไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก จะไม่เป็นอย่างนั้นอีกเลย ต้องมีสิ่งใหม่เพราะเหตุใหม่ ทำให้มีความหลากหลายของชีวิตตั้งแต่เกิด ทุกวัน

ไม่มีใครสามารถที่จะประมาณระดับของความพอใจ ตั้งแต่พอใจนิดหน่อย แล้วก็พอใจมาก เพียงแค่เห็นฝุ่น แล้วก็มีความไม่พอใจมากกว่านั้น หลากหลายมาก ได้ยินคำพูดบางคำ บางคนไม่พอใจเล็กน้อย แต่คำพูดบางคำสั้นๆ แต่ทนฟังไม่ได้เลย โกรธมาก ใครเลือกได้? ใครยับยั้งไม่ให้เกิดได้ ใครไม่ให้หมดไปได้? นี่คือความจริง ซึ่งเกิดให้รู้ แต่ไม่รู้ เพราะไม่เคยคิดถึงสิ่งที่มี ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ จึงต้องอาศัย การ "ฟังทุกคำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรู้ความจริง และค่อยๆ เข้าใจความจริง ยิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ไม่ใช่สำหรับฟังเฉยๆ แล้วลืม แต่ "ฟัง" ไม่ใช่ "เพียงได้ยิน" ฟังแล้ว "เข้าใจคำที่ได้ยินแค่ไหน?" แล้วก็ พอไหม? เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป เพื่อรู้ว่า ทุกคำ พระองค์กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ลืมนะคะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า สิ่งที่มีจริงทุกขณะ ไม่ว่าวันไหน เดือนไหน ปีไหน "เห็น" ไม่ได้เห็นซ้ำกับสิ่งที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เห็นเมื่อวานนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นเมื่อกี้นี้เอง

ไม่มีใครสามารถจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ เพราะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นผู้ที่ฟัง-เคารพในความจริง ตรงต่อความจริง จึงสามารถเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อีกครั้งหนึ่งนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ไม่ว่าอะไรที่มีทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ ความโกรธ ความชอบ เห็น ได้ยิน ทั้งหมดเหล่านี้ หลากหลายมาก แต่ประมวลได้เป็น ๒ อย่าง

ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จะคิดนึกเรื่องต่างๆ ทั้งหมด มีสภาพธรรมที่เกิดจริงๆ รู้สิ่งนั้นจริงๆ แล้วก็ดับไป สิ่งที่มีจริง ประมาณไม่ได้เลย เป็นแต่ละหนึ่งเท่านั้น ในสังสารวัฏ

แต่ว่า เตือนอีกแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า แม้ว่าความจริงจะหลากหลายมาก ไม่ซ้ำกันเลย เพราะว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก แต่แม้กระนั้น สิ่งที่มีจริง มากมายมหาศาล ประมาณไม่ได้ ก็ต่างกันเป็น ๒ อย่าง

อย่างหนึ่ง ทีละหนึ่ง จะได้เข้าใจชัดเจน อย่างหนึ่ง "สิ่งนั้นเกิดขึ้นรู้" เดี๋ยวนี้ ทุกคนเห็นดอกไม้ มีสภาพธรรมะหนึ่งที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกเห็น ไม่ใช่สิ่งที่เห็น

เพราะสิ่งที่มีจริงมี ๒ อย่าง ๒ อย่างคือภาวะความเป็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีความเป็นอย่างนั้น เป็นสภาวะของธรรมะนั้น ที่ว่า เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเห็น รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ว่าเป็นอย่างนี้ที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากเป็นสิ่งที่สามารถกระทบตา เป็นปัจจัยที่ทำให้ "เห็น" เกิดขึ้น เห็นสิ่งนั้นเท่านั้น ไม่ใช่เห็นสิ่งอื่น

สิ่งที่ถูกเห็นมีจริงๆ เพราะกำลังมีเห็น ทำให้สิ่งนั้นปรากฏว่ามี ไม่ต้องมีชื่ออะไรเลย ไม่ต้องเรียกภาษาฮินดี ไม่ต้องเรียกภาษาไทย ไม่ต้องเรียกภาษาอังกฤษ ไม่ต้องเรียกภาษาอะไร เพราะสิ่งนั้นมีภาวะเป็นสิ่งที่ถูกเห็น ใครเปลี่ยนสิ่งที่ถูกเห็นเดี๋ยวนี้ให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้เชื่อ แต่ให้รู้ความจริง ซึ่งไม่เคยมีใครคิดเลย

ธรรมะ ละเอียด ลึกซึ้ง "เห็นคน" ได้ไหม? สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นแต่เพียงสีสัน ต่างๆ ไม่ต้องเรียกสี แต่ก็หลากหลายมาก แต่ความละเอียดกว่านั้นคือ ต้องเห็นทีละหนึ่ง จะเห็นพร้อมกันทั้งขาว ทั้งแดง ทั้งเหลือง ไม่ได้ เพียงสีสันที่ปรากฏหนึ่ง เป็นคนได้ไหม? เป็นเก้าอี้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าคน ก็คือ "ธรรมะหนึ่ง" แต่ไม่ใช่ "เพียงหนึ่ง" จะเป็นคนได้

นก เห็นไหม? แมว เห็นไหม? เพราะฉะนั้น "เห็น" ไม่ใช่แมว "เห็น" ไม่ใช่นก "เห็น" ไม่ใช่คน เห็นเป็นเห็น จริงหรือเปล่า? นี่คือความจริง ที่ใช้คำว่า สัจธรรม เคยได้ยินคำว่า อริยสัจ ๔ แต่ไม่รู้ว่าอะไร?

เพราะฉะนั้น "เห็น" มีจริงๆ เป็นอริยสัจจะ หรือเปล่า? เป็นธรรมะ เปลี่ยนไม่ได้ เป็นคนไม่ได้ เป็นนกไม่ได้ เป็นงูไม่ได้ เห็นเป็นเห็น ถ้ามีเห็นหนึ่งขณะ เป็นคนไม่ได้ เป็นนกไม่ได้ แต่เห็น เกิดดับเร็วมาก ทำให้สิ่งที่เห็น ที่ไม่เหมือนกัน ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ

เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่า ตรัสรู้ความจริงก็คือ สามารถที่จะเข้าใจเห็น แต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เริ่มรู้จักสิ่งหนึ่งที่มีจริงแล้วใช่ไหม? มีสภาพรู้ แน่นอน กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ กำลังได้ยิน เป็นสภาพที่รู้เสียงที่ปรากฏให้ได้ยิน เพราะฉะนั้น เห็นไม่ใช่นก ไม่ใช่คน แต่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เรากล่าวว่า คนเห็น นกเห็น เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ความจริงเมื่อไหร่ คือ เริ่มรู้ธรรมะ เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? นี่ไม่กี่คำ

แต่พระองค์ประทับที่ประเทศนี้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ทรงแสดงพระธรรมมากมาย นับคำไม่ได้ ล้วนแต่เป็นคำที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้คนที่ได้ฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่ง สามารถเข้าใจความจริงได้

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 27 ก.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน คุณอาช่า คุณอาคิลและทุกๆ ท่าน

เป็นความปีติยินดียิ่งที่พระธรรมได้กลับมาประดิษฐาน ณ แดนพุทธภูมิอีกวาระหนึ่ง เป็นโอกาสของชาวอินเดียและผู้สนใจซึ่งสะสมบุญมาจะได้พบพระธรรมและศึกษาพระธรรมอบรมปัญญาให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไพรศรี
วันที่ 27 ก.ย. 2565

อนุโมทนา สาธุครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Kalaya
วันที่ 27 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ สุจินต์อาจารย์วิทยากร และทุกๆ ท่าน ทั้งชาวไทย ชาวอินเดีย ที่ได้ดำเนินตามรอยพระบาทในการน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ ในโอกาสนี้ สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
siraya
วันที่ 27 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ