อยากจะให้อาจารย์เจริญสติให้ดู

 
สารธรรม
วันที่  6 ก.ย. 2565
หมายเลข  43690
อ่าน  338

มีท่านผู้ฟังถามว่า อยากจะให้อาจารย์เจริญสติให้ดู สติเป็นนามธรรม เป็นสภาพที่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยที่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ไม่ใช่ว่าการเจริญสติปัฏฐานนั้นเจริญให้ดูได้ เจริญให้คนอื่นดูไม่ได้เลยคะ เหมือนความนึกคิดเวลานี้ของทุกท่าน จะให้คนอื่นรู้ความคิดของแต่ละคนในขณะนี้ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความคิดนึกเป็นนามธรรม เพราะว่าสติเป็นนามธรรม แต่ว่าในขณะที่สติเกิดขึ้นนั้น ผู้ที่มีสติรู้เองว่าในขณะนั้นรู้ลักษณะของอารมณ์อะไรที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติ เจริญสติได้ตามปกติ ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความผิดปกติเลย ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน ยืน เดิน เคลื่อนไหว เหยียดคู้ พูด นิ่ง คิดอยู่ที่หนึ่งที่ใด

ท่านพระสารีบุตร ในขณะที่ท่านกำลังนั่งถวายงานพัดพระผู้มีพระภาค ในขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมกับทีฆนขปริพาชก ที่ถ้ำสุรขาตานั้น ท่านพระสารีบุตรบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะที่กำลังถวายอยู่งานพัด ไม่มีการผิดปกติเลย จะผิดปกติได้อย่างไร ในชั่วขณะจิตไม่กี่ขณะที่บรรลุมรรคผล บางท่านก็อาจจะเคยพัด ลองกลับทวนไปคิดถึงความรู้สึกในขณะนั้นซิคะว่า ในขณะที่กำลังพัดนี้ คิดอะไรบ้างหรือเปล่า พัดไปคิดไปได้ไหม เมื่อพัดไปคิดไปได้ กำลังพัดแทนที่จะคิด สติก็เกิด แทนที่จะคิดตรึกไปในกามวิตก พยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก สติที่เจริญอยู่เนืองๆ เจริญอยู่บ่อยๆ พิจารณารู้ลักษณะของนามและรูปทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง โดยที่คนอื่นก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้สังเกตได้ เพราะว่าเป็นอากัปกิริยาตามปกติทุกอย่างไม่ใช่ฝืนหรือไม่ใช่บังคับ แต่ไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติก็รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเพราะเหตุปัจจัยนั้น

เพราะฉะนั้น เวลาที่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะเจริญสติปัฏฐาน ในขณะที่รับประทานอาหาร การรับประทานอาหารก็เป็นปกติ ขณะที่กำลังพูดการพูดก็เป็นปกติ ขณะที่กำลังทำงานชนิดหนึ่งชนิดใดก็เป็นปกติ นี่จึงจะเป็นการเจริญสติ ไม่ใช่การบังคับสติ ทุกคนที่เจริญสติปัฏฐานไม่ต้องตามอย่างใคร ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งทำอย่างไรๆ อีกคนก็ทำตามๆ กันไป โดยที่ไม่พิจารณาเหตุผล โดยที่ไม่รู้เหตุว่าทำอย่างนั้นเพราะอะไร ก็เป็นการฝืนอัธยาศัย ไม่ใช่เป็นการที่ว่ากำลังเห็นอะไร กำลังได้ยินอะไรอีกคนอาจจะไม่ได้ยิน แต่คนที่ได้ยินใส่ใจพิจารณารู้สภาพของเสียงก็ได้ รู้สภาพได้ยินก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องตามคนอื่น แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมี โลภะเกิด หรือโทสะเกิด หรือมีเมตตาจิตเกิด เจริญสติในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นตัวของท่านเองจริงๆ เหมือนที่พระภิกษุในครั้งกระโน้น หรือว่าอุบาสกอุบาสิกาในครั้งกระโน้นได้เจริญสติปัฏฐานกัน ได้บรรลุมรรคผลกัน เพราะเหตุว่าบางท่านบอกว่าชาติหน้าเกิดเป็นผู้หญิงก็ดี จะได้เจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะทำกับข้าว ซักผ้า หั่นผัก แกงต้ม อะไรก็แล้วแต่ก็จะเจริญสติได้ แต่ชีวิตของอุบาสกเจริญสติยากเพราะว่าเป็นเรื่องการงานที่จะต้องไปติดต่อกับคนโน้นคนนี้ ผู้นั้นลืมๆ คิดถึงพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่บรรลุมรรคผลได้ ลืมคิดถึงท่านอื่นๆ ในครั้งอดีต ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือทาสทาสี ก็เจริญสติปัฏฐานได้ มีนามมีรูป มีการระลึกได้เมื่อไร ก็รู้ลักษณะของนามรูปเมื่อนั้นมากขึ้น ละคลายมากขึ้นจนกว่าปัญญานั้นจะสมบูรณ์ ไม่ใช่จำกัดว่าชีวิตของธุรกิจการงานยุ่งยากแล้วก็เลยเจริญสติปัฏฐานไม่ได้

สติจะทำให้เกิดโทษไม่ได้เลย ผู้ที่เจริญสติทำการงานได้ แต่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏด้วยสติสัมปชัญญะปกติสมบูรณ์ทุกประการ นี่เป็นความรวดเร็วของจิต นี่เป็นชีวิตปกติธรรมดาซึ่งไม่ใช่เป็นการผิดปกติเลย ในชีวิตจริงๆ ของแต่ละคนที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สำหรับสำนักของพระผู้มีพระภาคก็คงไม่มีผู้ใดสงสัย ว่าบรรพชิตทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายนั้น ท่านเจริญสติกันตามปกติในชีวิตประจำวันตามวินัยบัญญัติ ถ้าท่านผู้ใดสงสัยว่าพระภิกษุในครั้งกระโน้น ท่านเจริญสติปัฏฐานกันอย่างไรทำกิจการงานได้ไหม บิณฑบาตได้ไหม ไปรับนิมนต์ในที่ต่างๆ ได้ไหม ก็ขอให้ดูในพระวินัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเจริญสติปัฏฐานในครั้งอดีต อย่างพระวิหารเชตวัน แม้แต่เทวดาก็สรรเสริญ นี่คือสำนักของพระผู้มีพระภาคในครั้งโน้น ไม่มีการผิดปกติ แต่เป็นปกติของเพศบรรพชิต แม้แต่เทวดาก็ยังมากราบทูลสรรเสริญ [ตอนที่ 18]

รับฟัง ... การบรรลุธรรมชองบุคคลต่างๆ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ