เงินและทองคำนั้น ไม่เป็นอริยทรัพย์แท้จริง
เงินและทองคำนั้น เป็นของไม่สมควรแก่สมณะ ไม่เป็นอริยทรัพย์แท้จริง ทองคำและเงินนี้เป็นเหตุให้เกิดความโลภ นำมาซึ่งความมัวเมาให้เกิดความลุ่มหลง ความคับแค้นเป็นอันมาก ไม่มีความยั่งยืนมั่นคง ทำให้บาดหมางทะเลาะวิวาท
สำหรับในเถรีคาถาที่จะยกมากล่าวถึงในที่นี้ คือ สุภากัมมารธีตาเถรีคาถา เป็นเรื่องของพระสุภาภิกษุณีซึ่งเป็นธิดาของนายช่างทอง เป็นผู้ที่พระอุบลวัณณา เถรีแนะนำแล้วได้บรรลุวิชชา ๓ ในวันที่ ๘ นับตั้งแต่วันที่บวช ซึ่งในขณะที่บรรลุนั้นก็ได้นั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้วพระผู้มีพระภาคก็ได้กล่าวสรรเสริญ สำหรับท่านพระสุภากัมมารธีตาเถรี ท่านก็ได้กล่าวกะญาติของท่านซึ่งชักชวนให้ท่านสึก มีข้อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นญาติของเรา แต่ไฉนจึงมาทำเป็นเหมือนศัตรู ชักชวนเราในกามทั้งหลายเล่า คนที่เป็นญาติก็ต้องหวังดีต่อกัน ในเมื่อเป็นญาติก็ควรที่จะพอใจสนับสนุน ในเรื่องของความเจริญในทางธรรม ในเรื่องของการที่จะพ้นทุกข์ต่างๆ แต่ญาติเหล่านั้นมาชักชวนให้สึก เป็นญาติแต่กลับทำตนเหมือนกับศัตรู และท่านกล่าวต่อไปว่า
อาสวะทั้งหลายย่อมไม่สิ้นไปเพราะเงินและทอง และท่านกล่าวถึงเมื่อครั้งยังเป็นสาวนุ่งห่มผ้าสอาด ได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา แล้วท่านก็ได้รู้แจ้งอริยสัจจ์เป็นผู้ที่ไม่ประมาท เมื่อท่านรู้แจ้งอริยสัจจ์เป็นผู้ไม่ประมาทท่าน ก็ละความยินดีอันแรงกล้าในกามทั้งปวง เห็นภัยในกายของตน จึงปรารถนานิพพานเครื่องออกจากกิเลส จะเห็นได้ว่า ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นฆราวาสบางคนก็ยังคงเป็นฆราวาสอยู่ แต่ว่าบางคนไม่มีอัธยาศัยที่จะเป็นฆราวาสต่อไป อย่างพระสุภาภิกษุณีนี้เป็นต้น เมื่อท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านก็ละความยินดีอันแรงกล้าในกามทั้งปวง เห็นภัยในกายของตนคือในอุปทานขันธ์ ๕ ปรารถนานิพพานเครื่องออกจากกิเลส ท่านละหมู่ญาติ ทาส กรรมกร บ้าน ไร่นาเป็นอันมาก อันเป็นเครื่องรื่นเริงบรรเทิงใจและทรัพย์สมบัติมิใช่น้อย ออกบวช ท่านกล่าวว่า ก็การที่เราออกบวชในพระสัทธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศดีแล้วด้วยสัทธาอย่างนั้น จะกลับมาสู่กามทั้งหลายอันเราตัดได้แล้วนั้น ไม่สมควรเลย เพราะเราปรารถนาความเป็นผู้ไม่มีห่วงใย ผู้ใดละทองคำและเงินแล้วยังกลับมารับทองคำและเงินนั้นอีก ไฉนผู้นั้นจะเงยหน้าในระหว่างบัณฑิตทั้งหลายได้เล่า เพราะเงินและทองย่อมไม่มีเพื่อความสงบใจ แม้แก่บุคคลนั้น
ที่มา และ ขอเชิญรับฟัง ...




