ความทุกข์ของชีวิตเกิดจากอะไร

 
chatchai.k
วันที่  5 ก.ย. 2565
หมายเลข  43626
อ่าน  200

คนที่อยากมีความสุขในครอบครัว ในชีวิต ก็จะต้องพิจารณาก่อน รู้ก่อนว่าความทุกข์ของชีวิตเกิดจากอะไร ถ้ายังไม่รู้แหล่งจริงๆ ว่าเกิดจากอกุศล มาจากกิเลส ก็แก้ไม่ได้ และทั้งๆ ที่รู้ว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะให้กิเลสค่อยๆ บางลงไป หรือลดน้อย ลงไป หรือไม่คิดที่จะมีกุศลเพิ่มขึ้น ถ้าไม่คิดที่จะมีกุศลเพิ่มขึ้นแล้วจะไปแก้ตรงอื่นก็แก้ไม่ตรงจุด


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 7


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 12 พ.ย. 2566

เมื่อรู้ว่าอกุศลเป็นทุกข์และเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหลาย ก็ควรศึกษาธรรม ฟัง พิจารณาให้รู้จริงๆ ว่า บังคับบัญชาสภาพธรรมทั้งหลายไม่ได้เพราะสภาพธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่คิดว่าจะถึงนิพพานโดยเร็ว เพราะเพียงความรู้ขั้นฟังเท่านั้นไม่ทำให้ใครถึงนิพพานได้ แต่อย่างน้อยที่สุดการฟังก็ทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นในสภาพธรรมที่ไม่เคยรู้ไม่เข้าใจมาก่อนเลยว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง ผู้ที่ฟังพระธรรมยังดับกิเลสไม่ได้ แต่ก็จะเข้าใจพระธรรมมากขึ้น และอกุศลก็จะค่อยๆ ลดลง เมื่อไม่มีปัญญาแล้วพยายามจะดับอกุศลก็เป็นไปไม่ได้ และไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น

ระหว่างความรู้กับความไม่รู้ อะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน ตามที่ว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม แม้ในเรื่องพระธรรม พุทธบริษัทก็ควรรู้ว่ามีพระไตรปิฏก และแต่ละปิฏกกล่าวด้วยเรื่องอะไร พระธรรมจริงๆ นั้นเป็นเรื่องสภาพธรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะต้องฟังและพิจารณาให้เข้าใจมากขึ้น จนปัญญาเกิดขึ้นทำหน้าที่ของปัญญาได้

เช่น ขณะที่เห็นดอกไม้สวย โลภะเกิดขึ้นทำกิจของโลภะ ไม่มีเราไม่มีตัวตนเลย ขณะที่โทสะเกิดไม่ชอบสิ่งใด โทสะก็ทำกิจของโทสะ ก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตน แสดงให้เห็นว่า เราไม่รู้เลยว่าสภาพธรรมมีลักษณะอย่างไร ทำกิจการงานอย่างไร ไม่รู้ว่ามานะความสำคัญตนเกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไร แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เวลาเกิดความสำคัญตนขึ้น สติก็ยังระลึกได้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นอกุศล เมื่อรู้ว่าอกุศลไม่ดีก็เริ่มเห็นโทษของอกุศลทีละเล็กละน้อย แต่ถ้าไม่รู้ว่าอกุศลไม่ดีโกรธก็ไม่ดี ก็คิดว่าต้องโกรธ เพราะถ้าโกรธแล้วคนอื่นจะได้เชื่อฟังหรือทำอะไรให้

เช่น มีคนหนึ่งบอกว่าอาหารไม่อร่อย ถ้าไม่โกรธคุณแม่ก็ไม่ทำให้ใหม่ นี่ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจในเหตุในผลจริงๆ ว่า แท้ที่จริงนั้นความทุกข์เกิดกับใคร คนที่กำลังโกรธนั้นเองเป็นทุกข์ พระธรรมทั้งหมดแม้พระสูตรก็ต้องสอดคล้องกับพระอภิธรรมด้วย แต่พระอภิธรรมนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงละเอียดขึ้น เพื่อเป็นเหตุให้ปัญญาของสาวกคือผู้ฟังเกิดขึ้นพิจารณาตนเอง

สิ่งหนึ่งซึ่งสังคมแก้ไม่ได้ ก็คือ สังคมพยายามแก้คนอื่นโดยไม่แก้ตัวเอง เช่นที่มักจะได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่า ปัญหาชีวิต ปัญหาบ้านเมือง ปัญหาเศรษฐกิจปัญหาสังคม ปัญหาของโลก สารพันปัญหานั้น มีทางเดียวที่จะแก้ได้ก็คือ พระพุทธศาสนา

แต่โดยมากนั้น ชาวพุทธพยายามให้คนอื่นศึกษาเพราะเห็นว่ามีประโยชน์มากจำเป็นมากต้องศึกษา แต่คนที่อยากจะให้คนอื่นศึกษานั้น ตนเองศึกษาหรือเปล่า ถ้าคนที่พูดไม่ศึกษาก็จะไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าต้องการให้คนอื่นศึกษา เท่ากับต้องการแก้คนอื่นให้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ไม่แก้ตัวเอง ตัวเองเคยเห็นอกุศลของตัวเองไหม ถ้ายังไม่เห็นอกุศลของตนเองก็ไม่มีทางที่กุศลจะเจริญขึ้น

เมื่อได้ฟังพระธรรมส่วนละเอียดมากขึ้น ก็จะรู้ว่าอกุศลธรรมมีหลายขั้น อกุศลอย่างหยาบเป็นเหตุให้เกิด กายทุจริต วจีทุจริต ทางกายมีประหัตประหารเบียดเบียน ยึดถือทรัพย์ของคนอื่นที่เจ้าของไม่ได้ให้เอามาเป็นของตน ทางวาจา ก็มีกิเลสขั้นหยาบที่ทำให้พูดเท็จ คำพูดที่น่าฟังกับคำพูดที่ไม่น่าฟัง เกิดจากจิตที่ต่างกัน คำพูดหยาบ ต้องเกิดจากอกุศลจิตที่มีกำลังมาก คำพูดที่แสดงถึงความสำคัญตน ก็เกิดจากอกุศลที่ตรงกันข้ามกับสภาพจิตใจที่อ่อนโยน มีเมตตา มีความเป็นเพื่อนอย่างจริงใจ

ทั้งหมดนี้เป็นธรรม ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ว่าอกุศลมีมากแค่ไหน และจะเห็นโทษภัยของอกุศล เริ่มคิดที่จะขัดเกลากิเลส นี่คือคุณประโยชน์ของพระธรรมแต่ถ้าไม่มีการพูดเรื่องธรรมเหล่านี้เลย ไม่ให้เกิดปัญญาจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรทำกิจของปัญญาได้ โลภะก็ต้องทำกิจของโลภะ มานะก็ต้องทำกิจของมานะ โทสะก็ต้องทำหน้าที่ของโทสะ เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ต่อเมื่อไรปัญญาเกิดเมื่อนั้น ซึ่งเปรียบเสมือนแสงสว่าง ที่ทำให้เห็นสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง และจะรู้พระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงพระมหากรุณา แสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา สำหรับพวกเราสมัยนี้

นี่เป็นเรื่องธรรมทั้งหมด ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วก็จะรู้ว่าอกุศลมีมากแค่ไหน และจะเห็นโทษภัยของอกุศล เริ่มคิดที่จะขัดเกลากิเลส นี่คือคุณประโยชน์ของพระธรรม แต่ถ้าไม่มีการพูดเรื่องธรรมเหล่านี้เลย ไม่ให้เกิดปัญญาจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรทำกิจของปัญญาได้ โลภะก็ต้องทำกิจของโลภะ มานะก็ต้องทำกิจของมานะ โทสะก็ต้องทำหน้าที่ของโทสะ

เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ต่อเมื่อไรปัญญาเกิดเมื่อนั้น ซึ่งเปรียบเสมือนแสงสว่าง ที่ทำให้เห็นสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง และจะรู้พระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงพระมหากรุณา แสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา สำหรับพวกเราสมัยนี้

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ