ตัวตนนั้นไม่มี แต่มีเห็น ได้ยิน คิดนึก สุข ทุกข์

ไม่มีตัวตน แต่ก็ต้องมีเห็น มีได้ยิน ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ตัวตนนั้นไม่มี แต่มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ เมื่อมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จะต้องดำรงชีวิต ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีตัวตน แล้วไม่มีอะไรเลย ก็ไม่ต้องรับประทานอาหาร ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะไม่มีอะไร แต่นี่มี แต่ไม่ใช่ตัวตน มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีร่างกาย มีสุข มีทุกข์ เมื่อเกิดมามีร่างกาย ที่จะไม่รับประทานอาหารก็ไม่ได้ แต่การรับประทานอาหาร หรือการเห็น ก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อย่างผู้เป็นพระอริยบุคคล เช่น พระโสดาบัน หรือแม้แต่พระอรหันต์เอง ท่านก็รู้ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่มีนามธรรม มีรูปธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังไม่ปรินิพพาน ยังต้องมีนามธรรม และรูปธรรมเกิดอยู่ จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย
เมื่อมีนามธรรม และรูปธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องเสวยพระกระยาหาร คนธรรมดาที่ไม่รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตัวตน แต่ก็มีสภาพธรรมซึ่งเกิด แล้วจะไปบังคับไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ อย่างเวลานี้กำลังเห็น มีปัจจัยให้สีเกิด ได้ยินเห็นชัดว่า เกิดโดยเราไม่ต้องการหรือปรารถนา หรือจะสร้าง หรือจะทำก็ไม่ได้ นอกจากมีโสตปสาท แล้วมีจิต การได้ยินก็เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ก็เป็นนามธาตุ รูปธาตุ ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ที่ว่าไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นมี แต่บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วเกิดขึ้นแล้วดับไปด้วย สิ่งใดที่เกิดแล้วดับไปแล้ว หาไม่ได้อีกเลย แล้วตัวตนจะอยู่ที่ไหน ก็เพียงชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ขณะหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับ ก็เป็นนามธรรม และรูปธรรม
ขอเชิญรับฟัง


