หนึ่งชีวิตจากแดนไกล มาไทยเพื่อพบพระธรรม

วันนี้ วันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มีสุภาพสตรีชาวไทยท่านหนึ่งซึ่งปัจจุบันเธอพักอาศัยอยู่ที่ประเทศโมร็อกโก ได้เดินทางมากราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอยู่ร่วมฟังการสนทนาธรรมภาคภาษาอังกฤษ กับกลุ่มผู้ศึกษาธรรมชาวต่างชาติ [Dhamma Study Group - DSG] ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

จากการเปิดเผยความเป็นมาถึงการเดินทางมาในครั้งนี้ ทราบว่า สุภาพสตรีท่านนี้ ได้แต่งงานกับชาวโมร็อกโก และได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศโมร็อกโกกับสามี เมื่อราว ๓๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และความที่สามีของเธอนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้เธอต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามไปด้วย โดยปริยาย

จากคำบอกเล่าของสุภาพสตรีท่านนี้ ท่านเล่าว่า วันหนึ่ง ขณะที่อยู่ที่ประเทศโมร็อกโก เธอได้เปิดดูยูทูป และพบกับคลิปที่มีพระภิกษุรูปหนึ่ง กล่าวโจมตี ว่าร้ายสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ถึงขนาดกล่าวหาสุภาพสตรีท่านนั้นว่า เป็นพระเทวทัต มาทำลายพระพุทธศาสนา เธอเกิดความคิดในทันทีนั้นว่า เหตุใดพระภิกษุรูปนี้ถึงได้กล่าวหาสุภาพสตรีท่านนี้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเช่นนั้น จึงเกิดความสนใจที่จะสืบหาข้อมูลว่า สุภาพสตรีท่านนี้ ซึ่งมีนามว่า สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่พระภิกษุรูปนี้กล่าวหาด้วยถ้อยคำรุนแรงนั้น เป็นใครกันแน่

จากการค้นหาข้อมูล ทำให้เธอได้พบกับคลิปการบรรยายและสนทนาธรรมอย่างมากมายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในยูทูป จากนั้น ก็ได้ติดตามชมและฟังหลายต่อหลายคลิป จึงทราบว่า การกล่าวหาของภิกษุรูปนั้น หาได้เป็นจริงดังที่กล่าวแต่อย่างใดไม่ ในทางตรงกันข้าม เธอพบว่า เป็นบุญอย่างมากของเธอ ที่ได้พบแล้วกับคำสอนที่ถูกต้องแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งพระองค์นั้น จากการกล่าวแสดงด้วยความซื่อตรงอย่างยิ่ง ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สุภาพสตรีท่านนี้ ได้เล่ากราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ หลังการรับประทานอาหารกลางวันในวันนี้ว่า เธอถึงกับสืบหาที่อยู่ของบ้านธัมมะ ซึ่งแต่แรกก็เข้าใจว่า มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ที่จังหวัดลำพูน แต่ภายหลังจึงได้ทราบว่า มูลนิธิฯ มีที่ตั้งอยู่ที่ ซอยเจริญนคร ๗๘ กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านเดิมของเธอที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ นี่เอง

เมื่อเธอเดินทางกลับมาประเทศไทย ได้มีความตั้งใจว่าจะต้องเดินทางมาที่มูลนิธิฯ ให้ได้ ซึ่งเธอได้กล่าวด้วยความภูมิใจว่า นอกจากเธอจะได้มามูลนิธิฯ สมใจแล้ว ยังโชคดีมากที่วันที่เธอมา คือวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เป็นวันที่ท่านอาจารย์เดินทางมามูลนิธิฯ เพื่อแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุลงในพระรัตนบุษยภาชน์จำลอง เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ มูลนิธิพระธรรม ที่เมืองลัคเนา ประเทศอินเดีย พอดี ทำให้เธอได้มีโอกาสกราบเท้าท่านอาจารย์ เป็นครั้งแรกในชีวิต

ในตอนท้ายของการสนทนาหลังอาหารในวันนี้ เธอกล่าวกับท่านอาจารย์ว่า ความที่เธอต้องอยู่ในสังคมของชาวมุสลิม ทำให้เธอไม่สามารถเปิดเผยชื่อหรือตัวตนต่อใครๆ ในสิ่งที่เธอภูมิใจ และดีใจที่สุด ที่ได้พบกับพระธรรมอันสูงค่ายิ่งนี้ และสามีของเธอก็เข้าใจในสิ่งนี้ ทั้งยังเห็นด้วยและสนับสนุนเธอ เป็นการส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้น สามีของเธอก็ฟังพระธรรม ที่เธอเปิดให้ฟัง ด้วยเช่นกัน ยิ่งเมื่อทราบว่าวันนี้ เธอเดินทางมากราบท่านอาจารย์และอยู่ร่วมฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ด้วย สามีของเธอก็รู้สึกตื่นเต้น ดีใจไปกับเธอ ถึงกับโทรศัพท์มาจากโมร็อกโกหลายครั้ง จนเธอต้องปิดโทรศัพท์ เนื่องจากจะรบกวนการสนทนาธรรมที่เธอร่วมฟังและร่วมสนทนาอยู่

สิ่งหนึ่งของคำกล่าวของเธอ ที่ทำให้ผู้ที่ได้ฟังในวันนี้ มีความปีติอย่างยิ่ง คือ เธอกล่าวว่า ความที่เธอเป็นครอบครัวมุสลิมโดยสถานภาพทางสังคม เมื่อเธอตาย ร่างของเธอย่อมถูกนำไปฝังที่กุโบร์ (สุสาน) ตามพิธีของชาวมุสลิม แต่นั่น ไม่ใช่ปัญหาใดๆ ของเธออีกต่อไป เพราะความเข้าใจพระธรรมที่เธอสะสมอยู่ในจิตนี้ ย่อมเป็นที่พึ่งแท้จริงสำหรับเธอ ในสังสารวัฏ อันจะไม่มีใครทำร้ายหรือทำลายไปได้

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ไม่มีสิ่งมีค่าใดในชีวิตนี้ จะมีค่าเท่ากับสิ่งที่ท่านอาจารย์เพียรมอบให้กับทุกคน โดยไม่เลือกว่าผู้นั้นจะเป็นใคร เชื้อชาติหรือศาสนาใด คือ ความเข้าใจพระธรรม อันจะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริงสำหรับทุกคน ในวันหนึ่ง แม้จะอีกยาวไกลเพียงใดก็ตาม จนกว่าจะถึงวันนั้น