ขันธ์ 5 เวลาเกิดเกิดพร้อมกันหรือไม่พร้อมกันทั้ง 5 ขันธ์

 
lokiya
วันที่  30 พ.ค. 2565
หมายเลข  43181
อ่าน  534

..


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 31 พ.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขันธ์ หมายถึง สภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ขันธ์ มี ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ (ได้แก่รูปธรรมทั้งหมด) สัญญาขันธ์ (สัญญาเจตสิก สภาพธรรมที่จำ) เวทนาขันธ์ (เวทนาเจตสิก สภาพธรรมที่รู้สึก) สังขารขันธ์ (เจตสิกธรรม ๕๐ มี ผัสสะ เจตนา เป็นต้น) และ วิญญาณขันธ์ (จิตทุกประเภท) ต่างก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปทั้งสิ้น ทุกขณะไม่พ้นไปจากขันธ์ เพราะมีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด

รูปเกิดก่อนนามได้ ไม่จำเป็นต้องเกิพร้อมกัน ดังคำที่ท่านอาจารย์กล่าวดังนี้ครับ

ด้วยเหตุนี้ในปัจจัยต่อไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดง “ปุเรชาตปัจจัย” ซึ่งหมายความถึง รูปธรรมซึ่งเกิดก่อนเป็นปัจจัยให้นามธรรมเกิดขึ้นในขณะที่รูปธรรมนั้นยังไม่ได้ดับไป

แสดงความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยกันของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก สิ่งที่เคยคิดว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุต่างๆ แท้ที่จริงแล้ว ในขณะที่ปรากฏทางตานั้นเป็นแต่เพียงสีสันวัณณะ เป็นรูปชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถจะมองเห็นได้ คือ ปรากฏทางตาได้

เสียงที่กำลังได้ยินนี้ ทุกท่านก็คงจะมีความคิดตามอรรถบัญญัติว่า เสียงนั้นหมายความว่าอะไร และยังรู้อรรถบัญญัติจากรูปร่างนิมิตสัณฐานว่า ใครเป็นผู้พูด แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้ โดยพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ขณะจิตขณะหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นเห็นก็ตาม หรือเกิดขึ้นได้ยินเสียงต่างๆ ก็ตาม รูปธรรมซึ่งเกิดก่อนแล้วยังไม่ดับไป ทั้งๆ ที่มีอายุเพียงการเกิด – ดับของจิต ๑๗ ขณะ ก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้นามธรรมเกิดขึ้นในระหว่างที่รูปธรรมนั้นยังไม่ดับ

ความหมายของ “ปุเรชาต” ชาต คือ เกิด ปุเร คือ ก่อน

เพราะฉะนั้น “ปุเรชาตปัจจัย” คือ สภาพธรรมซึ่งเป็นปัจจัยโดยการเกิดก่อน ซึ่งได้แก่รูปธรรมนั่นเองเป็นปัจจัยแก่นามธรรม โดยรูปธรรมนั้นต้องเกิดก่อนนามธรรมและยังไม่ดับไป เพราะเหตุว่ารูปทุกรูปที่จะเป็นปัจจัยได้ ต้องเป็นปัจจัยเฉพาะในฐีติขณะ ไม่ใช่ในอุปาทขณะของรูป นอกจากในขณะปฏิสนธิกาลขณะเดียวเท่านั้น ซึ่งหทยวัตถุเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต

เพราะฉะนั้นหทยวัตถุที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิตในอุปาทขณะ หลังจากปฏิสนธิขณะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปใดๆ เป็นปัจจัยก็ตาม จะต้องเป็นปัจจัยได้เฉพาะในขณะที่เป็นฐีติขณะ คือ พ้นจากอุปาทขณะของรูป และรูปนั้นยังไม่ดับ จึงเป็นฐีติขณะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 31 พ.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขันธ์ ๕ ไม่พ้นจากขณะนี้เลย ซึ่งเป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
สภาพธรรมในส่วนนามธรรม ที่เป็นขันธ์ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ส่วน ที่เป็นรูปขันธ์ ก็คือ รูปทั้งหมด

รูปธรรม เกิดขึ้นตามสมุฏฐานของตนๆ แล้วก็ดับไปไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน รูปมีมากมายมีทั้งรูปที่เป็นภายในและภายนอก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ

รูปแต่ละกลุ่มจะไม่ปะปนกัน กล่าวคือ รูปที่เกิดจากกรรม ไม่ใช่รูปกลุ่มเดียวกันกับรูปที่เกิดจากจิต เป็นต้น และที่สำคัญ รูปจะไม่ปะปนกันกับนามธรรมอย่างเด็ดขาด

อายุของรูปเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ มีอายุที่ยาวนานกว่าจิต (และเจตสิก) เพราะจิตมีขณะย่อย ๓ อนุขณะ คือ ขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป สั้นแสนสั้นจริงๆ ไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้งความเป็นไปของสภาพธรรมได้เลย

สำหรับ นามธรรม แล้ว ขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยตามควรแก่จิตขณะนั้นๆ ซึ่งแน่นอน ในขณะนั้น เกิดพร้อมกันทั้งจิต และเจตสิก

ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจความจริง ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมก็ตาม ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาก็เพื่อความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมนั้นๆ ได้เลย ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 31 พ.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
lokiya
วันที่ 1 มิ.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ