ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  2 เม.ย. 2565
หมายเลข  42951
อ่าน  1,032

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๕



~
ทุกคนเกิดมาแล้ว ไม่ทราบว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ได้แต่ความไม่รู้และความติดข้องไปเท่านั้น แต่เมื่อมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมชื่อนี้เลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังคำของพระองค์ เหมือนทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ที่มืดสนิท ต้องไม่ลืมความจริงว่า ขณะนี้มีสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้เลย มีความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ต้องตายแล้วก็เกิดแล้วก็ไม่รู้ไปอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ ทำให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายต่างๆ

~ ธรรมต้องไตร่ตรองละเอียดขึ้นๆ เพราะอะไร จึงไม่อยากตาย? ติดข้องที่สุดคืออะไร? เพราะเข้าใจว่า มีเราและเป็นเรา จึงไม่อยากตาย

~ ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเราแน่นอนที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ชอบทุกอย่าง จึงไม่อยากตาย ไม่อยากพ้นจากสิ่งที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้างเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะทำให้ละความเห็นผิดที่เข้าใจว่าธรรมเป็นเรา สามารถที่จะรู้ความจริงจนประจักษ์แจ้ง จนพ้นจากการยึดถือว่าเป็นเรา ถ้ายังเป็นเรา ดับกิเลสอะไรไม่ได้เลย ต้องเป็นอย่างนี้ไป ไม่สิ้นสุด ลึกลงไปๆ ในสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถที่จะพ้นจากความเห็นผิดได้เลย

~
ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ขณะใดที่เข้าใจถูก เริ่มปลูกฝังการที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่มีเรา จนสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า การตรัสรู้ของพระองค์คืออย่างไร ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ๔๕ พรรษา ค่อยๆ ทำให้เข้าใจความจริง ค่อยๆ ปลูกฝังความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเราเลย แต่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยตลอดเวลา

~
ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย คือ การปลูกฝังความมั่นคงที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา

~
ทุกขณะที่เห็น เห็นมีจริงๆ เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็พอใจในสิ่งที่ปรากฏไม่รู้ความจริงว่าเห็นเป็นอะไร ความพอใจติดข้องในสิ่งที่ปรากฏคืออะไร และสิ่งที่ปรากฏคืออะไร แต่ถ้ารู้ความจริง เห็นมีแล้วหมดทุกอย่างที่มีแล้วหมดไม่กลับมาอีกเลย ค่อยๆ สามารถที่จะรู้ จนค่อยๆ ละความจริงของเห็นที่เกิดดับ ก็สามารถที่จะปรากฏชัดขึ้น จนสามารถที่จะละการยึดถือว่าเป็นเราเห็นและไม่มีการเกิดดับเลย เพราะฉะนั้น ต้องรู้ประโยชน์จริงๆ ของการฟัง เพื่อเข้าใจความจริง เพื่อปลูกฝังความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา จนสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่เกิดปรากฏแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลยได้ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ไม่รีบร้อนที่จะไปรู้คำนั้นคำนี้ แต่ต้องพิจารณาทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นความจริงอย่างนี้หรือเปล่า?

~
ถ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างมั่นคงว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนี้แหละเกิดแล้วดับ ก็ไม่มีการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับได้ ฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ ก็ยังเป็นเรา เพราะอะไร เพราะยังไม่ประจักษ์จริงๆ ของสิ่งที่มีในขณะนี้ว่าเกิดจริงๆ ดับจริงๆ เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจพระปัญญาของผู้ที่เราเคารพสูงสุดและเรียกบุคคลนั้นว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

~
สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงแสดงหนทางที่จะให้คนอื่นเริ่มเข้าใจจนสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงนี้ด้วย เพราะฉะนั้น จึงมีรัตนะสูงสุดที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบได้เลยคือพระพุทธรัตนะ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทำให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สูงสุดในด้านรู้จริงและในการที่ดับกิเลสบริสุทธิ์อย่างยิ่งและในพระมหากรุณาที่ให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย รู้จักรัตนะที่ ๑ หรือยัง? มีอะไรที่เหนือกว่าสูงกว่ารัตนะที่ ๑ ไหม? เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์ทุกคำ เป็นรัตนะที่ ๒ เพราะฉะนั้น รัตนะที่ ๒ เป็นแสงสว่างที่สามารถทำให้สิ่งที่อยู่ในความมืดในแสนโกฏิกัปป์สามารถที่จะค่อยๆ ปรากฏว่าเป็นความจริงเดี๋ยวนี้

~
มีอะไรที่มีค่าเป็นแสงสว่างยิ่งกว่าความเข้าใจถูกต้องในความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ไหม? เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้เข้าใจธรรม ขณะนั้นก็เป็นผู้ที่เหมือนคนที่สามารถเห็นแสงสว่างได้

~
คนที่ได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เข้าใจ ก็เหมือนคนตาบอดที่ไม่เห็นแสงสว่าง แต่ถ้าคนนั้นรู้ว่ามีหมอที่สามารถรักษาตาได้ และคนนั้นรู้จักหมอ และไปหาหมอให้หมอรักษา ก็เหมือนกับคนที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่ายังไม่เข้าใจ แต่เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ก็ค่อยๆ ไปหาหมอที่กำลังรักษาตา เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จักว่าหมอจริงๆ รักษาได้จริงๆ เป็นใคร ก็ต้องมีความเพียรที่จะฟังคำที่จะรู้ว่าคนนั้นเป็นหมอจริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องฟังคำพิจารณาคำ นี่เป็นวิริยะซึ่งเป็นบารมี ที่จะรู้จริงๆ ว่าใครเป็นหมอจริงๆ นั่นคือปัญญาบารมี

~
ตาบอดมานานเกินแสนโกฏิกัปป์แล้วก็จะรักษาตาบอดที่บอดมานานหลายแสนโกฏิกัปป์ให้หายได้ ก็ต้องมีความเพียรมีความอดทนที่จะให้หมอเริ่มรักษาทีละคำ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจแต่ละคำจริงๆ เพราะแต่ละคำเป็นยาวิเศษที่จะค่อยๆ รักษาตาบอดซึ่งไม่รู้มานานค่อยๆ สามารถที่จะดีขึ้นได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะรักษาจนตาเริ่มสว่างที่จะเห็นทีละน้อย นั่นคือ ตั้งแต่ขั้นฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นตามลำดับขั้นจนถึงวิปัสสนาญาณ จึงสามารถเป็นขณะที่เห็นแสงสว่างได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ไม่ใช่การรู้ชัดของสิ่งที่ปรากฏอย่างนั้นจริงๆ ก็คือ คนที่เริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มค่อยๆ รักษาจนปรากฏแสงสว่างได้ เพราะฉะนั้น แต่ละชาติในสังสารวัฏในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมาเหมือนตาบอดจนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏ จึงเป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เห็นค่าของรัตนะที่ ๒ หรือยัง? จนกว่าจะเห็นชัดเจน หมดความสงสัย หมดความไม่รู้ หมดความติดข้อง ถึงการดับกิเลส เป็นรัตนะไหม บุคคลนั้น ปัญญาระดับนั้น?

~
เพชรนิลจินดาทรัพย์สมบัติทั้งหมด ข้าทาสบริวารทั้งหมด ไม่เท่ากับรัตนะที่สามารถดับความติดข้องและความไม่รู้และกิเลสได้ตามลำดับ เพราะฉะนั้น บุคคลที่เป็นรัตนะ คือ ผู้ที่ได้รู้ความจริงและดับกิเลส แต่ถึงแม้ว่าจะรู้ความจริงดับกิเลส ก็ไม่เสมอกับรัตนะแรกคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธะรัตนะ มีรัตนะที่ ๑ มีรัตนะที่ ๒ เพื่อจะให้ปัญญาเกิดขึ้นรู้ความจริงอย่างนั้น เป็นรัตนะที่ ๓ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นรัตนะที่ ๑ แล้ว เห็นค่าอย่างยิ่ง จึงฟังพระธรรมเพื่อรู้ว่ารัตนะที่ ๒ สามารถจะทำให้ถึงความเป็นรัตนะที่ ๓ ได้

~
พบพระพุทธเจ้า หมายความว่ารู้จักว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงซึ่งเป็นธรรมสิ่งที่มีจริง จึงรู้จักว่าธรรมมีจริง เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง

~
ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกอย่างเป็นธรรม ชื่อว่ารู้จักธรรมไหม ชื่อว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

~
รู้จักธรรม ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานประมาณไม่ได้เลย เพื่อที่จะรู้ความจริงที่พระองค์ตรัสให้เราได้เริ่มเข้าใจในความเป็นรัตนะของธรรม

~ เกิดแล้วต้องตาย ตั้งแต่เกิดจนตาย ก่อนจะตายอะไรมีค่าที่สุด ถ้าเขาเข้าใจธรรมแล้ว เขาเห็นประโยชน์ที่จะให้คนอื่นเข้าใจอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า นี่คือผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจ เมื่อคนอื่นเข้าใจ รู้คุณของพระองค์ ก็ดำรงตามที่พระองค์ได้ปฏิบัติแล้ว คือ ให้คนอื่นได้เข้าใจคำของพระองค์ด้วย มิฉะนั้นแล้ว คำของพระองค์ก็สูญ

~ เมื่อรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงศึกษาด้วยความละเอียด ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ที่จะไม่ทำให้คำของพระองค์สูญหายหรือเข้าใจผิด อันตรธาน เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้ค่อยๆ ละความเป็นเรา

~
ถ้าไม่เห็นคุณของพระธรรม ไม่เห็นค่าของพระธรรม ก็ไม่แสดงธรรมให้คนอื่นได้เห็นคุณของพระธรรมด้วย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจ คนที่เข้าใจแล้วเห็นประโยชน์ ก็มีความเป็นเพื่อนที่ดีที่จะให้คนอื่นได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าใจพระองค์และดำรงคำสอนของพระองค์ต่อไปด้วย นี่คือ การเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~
ทุกสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตทุกชาติไม่มีค่า เพราะทำให้เกิดแต่ความไม่รู้และความติดข้อง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าคือคุณความดีและสิ่งที่มีค่าสูงสุดคือปัญญาความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ ในบรรดาธรรมทั้งหมด ปัญญามีค่าที่สุด ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มี ทุกคนเกิดแล้วต้องตาย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดคือมีความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยในสังสารวัฏฏ์ ถ้าเข้าใจถูกแล้ว ไม่ลืมที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย นั่นคือ ประโยชน์สูงสุดของการเกิดซึ่งไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่

~
ถ้ามีปัญญาความเห็นถูกต้อง ก็จะเป็นบารมีอื่นๆ ที่จะทำให้สละชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งการที่เข้าใจว่าเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แต่เฉพาะกับคนอื่น แต่ขณะนั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งของตนเอง

~ ประโยชน์สูงสุด คือ เข้าใจพระธรรม มั่นคงขึ้นๆ เป็นอธิษฐานบารมี

~
ทุกคนที่เห็นประโยชน์จริงๆ จะยินดีอย่างยิ่งในกุศลของคนอื่นที่สามารถรู้จักความละเอียดและทำประโยชน์ที่จะดำรงรักษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อๆ ไปให้คนอื่นได้เข้าใจต่อๆ ไป

~
เดี๋ยวนี้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักพระธรรมหรือยัง นี่คือการเป็นสัจจบารมี

~
สัจจบารมี สำคัญมาก ต้องตรงต่อความเป็นจริง ละเอียด จึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความจริง

~ เห็นเป็นคุณมธุหรือเปล่า? ทำไมไม่เป็นคุณมธุ? (เพราะเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่คุณมธุ)

~
คุณมธุทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น จะรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วไปพยายามให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด นั่นผิด ตั้งแต่ต้น

~ จะหมดความยึดมั่นว่าเป็นเราในสังสารวัฏฏ์ ก็ต่อเมื่อประจักษ์ความจริงของสิ่งที่เกิดดับ จึงจะรู้ว่าไม่มีใครเลย ไม่ใช่เรา

~
ไม่ใช่ฟังธรรมเพื่อที่จะทำ แต่เพื่อค่อยๆ ละความไม่รู้ ละคลายการเข้าใจผิดว่าเราทำได้

~ มั่นคงไหมว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดดับ และสามารถที่จะรู้ได้ในความจริง ซึ่งเป็นสัจจบารมี

~ ถ้าเข้าใจถูกต้อง เป็นไปเพื่อละความยึดถือว่าเป็นตัวตน นั่นคือเนกขัมมบารมี เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การรู้คำแปล แต่มีความเข้าใจถูกต้องว่าเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละทุกอย่างที่ไม่ดี ละความยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น เนกขัมมะ เป็นการละคลายกิเลสจนกว่าจะดับ

~ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ไม่มีปัญญา ไม่มีบารมี

~
ค่อยๆ มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ นี่คือ การเริ่มต้น มั่นคง (เป็นอธิษฐาน) ไม่เปลี่ยนที่จะรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดง

~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไป ไม่มีใครไปทำหรือเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้

~
ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เห็น เห็นเกิดได้ไหม ไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นจะเกิดขึ้นเห็นได้ไหม?

~ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีเป็นปกติธรรมดาในชีวิตประจำวัน

~
ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ควรศึกษาด้วยความเคารพ ด้วยความเข้าใจขึ้น เพื่อที่จะรู้จักพระองค์ยิ่งขึ้น


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 2 เม.ย. 2565

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี ยินดีในความดีของอ.คำปั่น
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 2 เม.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 2 เม.ย. 2565

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 2 เม.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sea
วันที่ 2 เม.ย. 2565

กราบนอบน้อมรัตนะที่๑ รัตนะที่๒ และรัตนะที่๓ ด้วยเศียรเกล้า

ถ้าไม่เห็นคุณของพระธรรม ไม่เห็นค่าของพระธรรม ก็ไม่แสดงธรรมให้คนอื่นได้เห็นคุณของพระธรรมด้วย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจ คนที่เข้าใจแล้วเห็นประโยชน์ ก็มีความเป็นเพื่อนที่ดีที่จะให้คนอื่นได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าใจพระองค์และดำรงคำสอนของพระองค์ต่อไปด้วย นี่คือ การเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Lai
วันที่ 2 เม.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพ และกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 3 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Naiyadee
วันที่ 3 เม.ย. 2565

สาธุค่ะ

เจริญธรรม:มีเหตุปัจจัยให้ได้ฟังและเข้าใจธรรมะเพื่อละความไม่รู้

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tim7755tim
วันที่ 3 เม.ย. 2565

ทุกสิ่งเกิดดับ ไม่ใช่เรา เป็นเพียงสิ่งที่เกิดตามเหตุปัจจัยที่พร้อมเกิดขึ้นไม่มีใครทำให้เกิด แล้วจะยังติดข้องอีกหรือ

กราบบูชาคุณพระรัตนตรัยด้วยจิตบริสุทธิ์

กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 4 เม.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Pornkamol
วันที่ 5 เม.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์วิทยากรทุกๆ ท่าน และอนุโมทนาสาธุในกุศลผลบุญของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ สาธุสาธุสาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
tim7755tim
วันที่ 10 เม.ย. 2565

ทุกสิ่ง ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ก็ไม่เกิดปรากฏ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และสัมผัส เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ